“เห็นชัดว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดา ท่านคือผู้เยี่ยมยุทธ์” หวังเป่าเล่อผงะไปชั่วครู่ ประโยคที่เขาเอ่ยนั้นไม่ได้พูดออกมาทางวาจา แต่แอบพึมพำในใจ
เห็นเขาหนังหนาเช่นนี้ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นวิธีเดียวเขาใช้ต่อสู้ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ เป็นวิธีที่เพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ตนเอง ความเชื่อมั่นนี้สามารถเปลี่ยนเป็นแรงขับเคลื่อนได้ อีกทั้งทำให้ตนมีความแน่วแน่ และกลายเป็นยอดคนได้
หลายปีที่ผ่านมานี้เขาก็ใช้วิธีนี้จนชำนาญแล้ว และเพราะเหตุนี้จึงได้โอกาสดีๆ หลายครั้ง หนึ่งในบรรดาความสำเร็จครั้งใหญ่นั้นก็คือหนทางลดน้ำหนักของตัวเขาเอง
แต่ตอนนี้ สิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจกลับถูกกระดาษรูปมนุษย์ล่วงรู้ มันทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกประหลาดใจพอตัว ดังนั้นเขาจึงรีบเปลี่ยนท่าทีทันใด เขามองไปทางกระดาษรูปมนุษย์ด้วยความเคารพ มองจากสีหน้าแล้วก็ไม่เห็นท่าทีผิดปรกติอันใด พูดว่าเป็นใบหน้าจริงใจก็ไม่เกินจริงไปนัก
แต่ว่าในใจเขากลับแอบทดลองพึมพำอีกประโยค
“ข้าก็แค่ให้กำลังใจตนเองเท่านั้น ให้ตนเองไม่เสียความมั่นใจเวลาเจอพวกมหาศิษย์แห่งเต๋าเหล่านั้น….เฮ้อ นี่นับเป็นความผิดหรือ” ”
ในขณะที่ความคิดอันหดหู่ของหวังเป่าเล่อผุดขึ้นมานั้น กระดาษรูปมนุษย์ข้างกายเขาก็เหลือบมองมาคราหนึ่ง แม้ไม่ได้กล่าวคำแต่แววตาของเขาก็บ่งบอกว่าเข้าใจ นี่ทำให้หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง แน่ใจว่าตนเองเดาถูก
แต่กระดาษรูปมนุษย์ไม่ได้ต่อบทสนทนานี้กับเขา ไม่ว่าเซี่ยต้าลู่เบื้องหน้าตนผู้นี้พูดจริงหรือมุสา ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขามากนัก เขาเห็นว่าการร่วมมือกันของทั้งสองนับว่าพร้อมสรรพ อีกทั้งตอนนี้ก็นับว่าน่าพอใจ ดังนั้นเมื่อทุกอย่างดำเนินต่อได้อย่างปกติ ก็นับว่าเป็นวิถีทางที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
เขาสัมผัสได้ว่ากระดาษรูปมนุษย์มองตนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พลันหายไป ความรู้สึกของหวังเป่าเล่อกลับมาปกติอีกครั้ง แต่ในก้นบึ้งหัวใจก็ยังอดที่จะคิดคำนึงไม่ได้ เขารู้สึกว่าแม้โอกาสที่กระดาษรูปมนุษย์สามารถรับรู้ได้ถึงความในใจของเขานั้นจะมีอยู่ แต่ก็ไม่มากนัก
“หรือว่าเป็นวิธีอื่นกันนะ หรือว่ายังต้องมีเงื่อนไขอะไรอื่นอีก? “ในระหว่างที่หวังเป่าเล่อคิดหาคำตอบ เขาก็ไม่ได้สนใจว่ากระดาษรูปมนุษย์จะล่วงรู้ความคิดของตนหรือไม่ ต่อให้จับได้ก็ไม่เป็นไร เพราะนี่ก็คือความคิดที่คนส่วนใหญ่สมควรจะมีอยู่แล้ว
หากไม่คิดเช่นนี้ ก็เห็นชัดว่าเป็นการเสแสร้ง
“คิดไม่ออก ช่างมันแล้วกัน ข้าเองก็ไม่ได้มีจิตคิดร้ายกับท่าน นี่เป็นการร่วมมืออย่างจริงใจ ดังนั้นแล้วก็ไม่ควรจะไปคิดเล็กคิดน้อยอีก” หลังหวังเป่าเล่อพึมพำในใจเสร็จ ก็ปล่อยวางเรื่องนี้ลง แต่เขากลับเพิ่มความระมัดระวังในโลกจริง เมื่อเวลาผ่านไป ผลึกมายาก็ค่อยๆ ปรากฎขึ้นมาทีละอัน จนใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว
ในเวลาเดียวกัน เมื่อผู้ถือครองผลึกได้ศึกษาดูแล้ว ความสงสัยในใจของพวกเขาก็เพิ่มพูนขึ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบนผลึกเหล่านี้มีผนึกอยู่ชั้นหนึ่ง
ผนึกนี้ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สู้ดีนัก โดยเฉพาะในบันทึกของแต่ละตระกูลนั้น ก็ไม่เคยระบุถึงเรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่ว่านี่เป็นการเดินทางมาสุสานดวงดาราครั้งแรก ก็ย่อมไม่เหมือนกับเรื่องทั่วไปอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าตัดสินอะไร
สัญชาตญาณแรกสุด คือการเดาว่านี่….เป็นบททดสอบหรือไม่?
บททดสอบที่แอบซ่อนเอาไว้….ต้องแก้ผนึกนี้ออกให้ได้ ถึงจะนับว่าทำภารกิจครบถ้วน
ความคิดเช่นนี้ ถูกส่งผ่านหมู่คนที่ได้พูดคุยกัน จากนั้นก็ค่อยๆ กระจายไปทั่ว เมื่อมีคนเห็นพ้องกันมากเข้า ไม่ว่าจะเป็นบททดสอบหรือไม่ ผนึกนี้ก็ควรจะต้องถูกปลด เพราะว่า….เมื่อผลึกมายาชิ้นสุดท้ายถูกสาวน้อยที่ใช้พลังศาสตร์มืดชิงไปแล้ว ผลึกทั้งสามสิบก้อนก็ล้วนมีผู้ถือครอง พลังเคลื่อนย้ายขุมหนึ่งก็ค่อยๆ แผ่ซ่านไปทั่วดาวมายานี้
พลังขุมนี้ไม่นับว่าแกร่งกล้านัก แต่คนจำนวนมากก็สัมผัสได้ว่าจากนี้อีกประมาณครึ่งชั่วยาม คลื่นพลังนี้จะถึงจุดสูงสุด เมื่อถึงยามนั้น ตามกฎที่กระดาษรูปมนุษย์ผู้เยี่ยมยุทธ์กล่าวไว้ ทุกคนที่ถือครองผลึกมายา จะถูกเวทเคลื่อนย้ายไปยังบททดสอบถัดไป
ในส่วนของผู้อื่น…ก็จะถือว่าตกรอบทั้งหมด หมดคุณสมบัติในการได้รับโอกาสบ่มเพาะโชควาสนา
ทว่าเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่่ถือครองผลึกมายาเหล่านี้ พวกเขาต่างค้นพบว่าผนึกบนผลึกมายานั้นมีคุณสมบัติต่อต้านพลังเวทเคลื่อนย้าย ถึงแม้พลังที่ขัดกันนี้จะอ่อนเบา แต่พวกเขาไม่กล้าเสี่ยงด้วย หากจะเสียสิทธิ์เพราะไม่ได้ปลดผนึกเป็นเหตุ พวกเขาคงรับผลลัพธ์เช่นนั้นไม่ได้
ดูๆ ไปแล้วผนึกนี้ก็ประหลาดนัก ไม่ว่าแต่ละคนจะคิดใช้วิธีเฉพาะตัวเช่นไร ก็ไม่เป็นผลสักนิด ต่อให้เป็นเด็กสาวกระดิ่งหรือชายหนุ่มผู้สง่างามคนนั้น ก็สิ้นไร้หนทางจะปลดผนึกนี้ ใช้มาหลากหลายวิธีการก็ล้วนแต่ล้มเหลว
พวกเขาทั้งสองคนยังเป็นแบบนี้ คนอื่นๆ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง รวมไปถึงชายหนุ่มชุดดำและหญิงสวมหน้ากากในหมู่คนเหล่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป พลังเคลื่อนย้ายที่อยู่รอบตัวก็ยิ่งชัดเจนขึ้น แต่พลังต้านบนผลึกยังไม่หายไปสักกระผีก นี่ทำให้ของพวกเขาร้อนใจ
ในตอนแรก เหล่าคนที่ไม่ได้ผลึกมายามาครองได้สิ้นกำลังใจไปแล้ว แต่ในเวลานี้แต่ละคนก็พลันเกิดความคิด กระทั่งมีคนตะโกนขึ้นมาว่าตนเชี่ยวชาญด้านการปลดผนึกกับดัก
คนจำนวนนี้มีไม่น้อยทีเดียว แต่เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าทุกคนที่ถือครองผลึกมายาอยู่นั้นหยิ่งทรนงนัก ย่อมไม่สนใจพวกที่พูดง่ายๆ โดยไม่มีหลักฐานเช่นนี้ ส่วนเรื่องที่จะยื่นผลึกมายาให้อีกฝ่ายไปลองดู ไม่เพียงเป็นตัวเลือกสุดท้าย แต่พวกเขายังไม่คิดจะทำเช่นนั้นด้วย
เช่นนี้ อีกไม่นานเวลาก็จะสิ้นสุดแล้ว เหลือเพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น คลื่นพลังเคลื่อนย้ายของดาวมายาพลันรุนแรงขึ้นทุกขณะ ราวกับอยู่ในมหาสมุทรกว้าง ส่วนผลึกมายาทั้งสามสิบชิ้นนั้น ก็เปรียบเหมือนเขาสูงท่ามกลางทะเลกว้าง เดิมที่ควรจะส่องแสงชัชชวาล แต่เพราะมีผนึกนี้อยู่ พวกมันจึงยังคงอยู่ในสภาพเดิม แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนมีม่านบางๆ ปกคลุมอยู่
คล้ายมังกรที่ถูกกักอยู่ และไร้หนทางทะยานสู่นภาก็ไม่ปาน
ทั้งหมดนี้ ทำให้เหล่าผู้ถือครองผลึกมายาจิตใจกระวนกระวาย จังหวะนั้นเอง หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็ พลันลืมตาโพล่งขึ้นมา
“ได้เวลาแล้ว…” เขาพึมพำเสียงเบา นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเจือประกายตื่นเต้น หลังสูดหายใจเข้าลึก เขาก็ข่มความตื่นเต้นนี้ไว้ได้ กลับสู่จิตสงบอีกครั้ง จากนั้นเขาก็หยิบผลึกมายาของตนออกมา ต่อให้รอบด้านไม่มีคน แต่เขาก็ยังแสร้งแสดงสักรอบ อิงตามวิธีที่กระดาษรูปมนุษย์ถ่ายทอดมา เขาก็ใช้นิ้วจิ้มไปยังผลึกมายาเบื้องหน้าคราหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ด้วยหนึ่งดรรชีนี้เอง ผลึกมายาเบื้องหน้าก็พร่าเลือนในทันใด แต่ชั่วพริบตา มันก็พลันกระจ่างชัดอีกครั้ง ผนึกกับดับบนนั้นสลายไป เหมือนเม็ดไข่มุกที่ขจัดฝุ่นผงไปสิ้น เหมือนมันเริ่มสาดแสงราวกับโคมออกมา ตอนนั้นเอง แสงแสบตาก็เกิดเป็นเสียงก้องกังวาลพร้อมแสงจรัส
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ไร้หนทางปกปิด เหมือนคบเพลิงในราตรีที่มืดมิด เพียงกะพริบตาก็ส่องสว่างไปทั้งแปดทิศแล้ว ทุกคนที่อยู่บนดาวมายาสัมผัสถึงมันได้ในทันใด สายตาแต่ละคู่กวาดไปยังตำแหน่งนั้น พวกเขาจ้องมายังทิศทางที่หวังเป่าเล่ออยู่
เงาร่างพร้อมพลังมหาศาลโบยบินมา ราวกับลูกธนูที่พุ่งออกจากแล่งตรงมายังที่นี้ ด้วยเวลาอันจำกัด พวกที่อยู่ห่างออกไปต่างก็ทุ่มสุดความสามารถเพื่อมายังที่ตรงนี้อย่างไม่สนใจสิ่งใด แต่ ก็ไม่อาจมาได้ทันเวลา จำนวนคนที่สามารถปรากฎตัวมาอยู่รอบหวังเป่าเล่อได้ในจังหวะแรกนั้น มีไม่ถึงสามสิบคน
และในจำนวนนั้นก็มีผู้ที่ถือครองผลึกมายาแค่สี่คน
หญิงสาวสวมหน้ากากคือหนึ่งในนั้น แล้วยังมีอีกคนที่หวังเป่าเล่อคุ้นเคย ก็คือเจ้าอ้วนน้อย ส่วนอีกสองคนที่เหลือ…..หวังเป่าเล่อไม่รู้จัก พวกเขาไม่ใช่ผู้ที่จ่ายเงินขึ้นเรือในตอนแรก
ในพริบตาที่ทั้งสี่คนปรากฎตัว นัยน์ตาของพวกเขาเจือความกังขา สิ่งที่อยู่ในมือของหวังเป่าเล่อดูเผินๆ แล้ว ก็เหมือนกับของพวกเขา แต่ดูจากแสงเรืองรองและเสียงปราณกังวาลแล้ว มันก็คือผลึกมายาที่ส่องแสงสะเทือนฟ้า!
“ข้าปลดผนึกได้แล้วหรือ?” สีหน้าหวังเป่าเล่อดูยินดีขึ้นมาอย่างช้าๆ โดยที่ไม่สนใจเหล่าผู้คนรอบทิศ เขาลุกขึ้นแล้วมองผลึกมายาที่อยู่ในมือตนเอง เอ่ยออกมาอย่างไม่จะอยากเชื่อ หลังจากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดังด้วยท่าทางตื่นเต้นสุดขีด
“สหายเซี่ย….” เมื่อเห็นว่าผลึกมายาในมือของหวังเป่าเล่อถูกปลดออกแล้วแน่ๆ คนสี่คนล้อมเขาอยู่ก็พลันส่งเสียงดัง
“ไม่ทราบว่าสหายปลดผนึกได้อย่างไร โปรดสอนด้วย! ”
“สหายใช้วิธีการใดโปรดบอกข้าด้วย ทุกคนร่วมโดยสารเรือลำเดียวกัน ย่อมต้องช่วยเหลือกันจึงจะถูกต้อง” ประโยคสุดท้ายนี้เป็นเจ้าอ้วนที่ตะโกนออกมา
เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ต้องการให้ตนช่วย แต่ขอทราบวิธีโดยตรง นี่ออกจะเกินแผนการที่หวังเป่าเล่อคิดไว้ไปบ้าง แต่เขามีวิธีแก้อยู่ เขาพลันประดับยิ้มบนหน้า แต่ในใจคิดหาหนทางอย่างรวดเร็ว
“ผู้อาวุโสกระดาษรูปมนุษย์ ผนึกให้ข้าอีกรอบเถิดขอรับ” หลังส่งกระแสจิตเสร็จ หวังเป่าเล่อก็ทำท่าเหมือนจะเอ่ยปาก แต่ว่าคำพูดของเขายังไม่ทันได้ออกมา ผลึกในมือก็พลันเลือนราง ผนึกบนนั้นที่เคยหายไป พลันปรากฎขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับมีร่องรอยพลังงานปกคลุม”
“ผนึกนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก ทีแรกข้าใช้กระบวนท่าสารัตถะมหาจักรพรรดิมังกรสยบฟ้าของตนไปขยับมัน ทำให้มันปลดออก แต่ว่าตอนนี้ดูไป….เหมือนจะไม่สามารถปลดได้แล้ว หากคิดอยากจะปลดมันให้สมบูรณ์ เกรงว่าจะต้องใช้สารัตถะมากกว่านี้ถึงจะได้” หวังเป่าเล่อนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาพลันประกายคล้ายคำนึงคิด หลังจากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันไปมองเจ้าอ้วนน้อยที่ถามถึงวิธีปลดผนึก
“สหาย ไม่ใช่ข้าไม่อยากบอกให้วิธีให้เจ้ารู้ แต่วิธีที่ข้าใช้นั้น…คือกระบวนท่าสารัตถะมหาจักรพรรดิมังกรสยบฟ้าที่สืบทอดกันมาในตระกูลข้า วิชานี้…ไม่อาจให้คนนอกล่วงรู้ได้”
……………..