บทที่ 1433 ในที่สุดก็ปะทุ Ink Stone_Fantasy
ถึงแม้จะได้รับความเมตตาจากราชันสวรรค์ แต่ขอแค่เป็นขุนนางใหญ่ที่ได้เข้าประชุมในราชสำนัก ก็ล้วนมีสวนของตัวเองที่อุทยานหลวง มาเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์เฉยๆ ก็พอได้ แต่กลับไม่อนุญาตให้พวกขุนนางใหญ่คนไหนนำกำลังทหารมาเฝ้าเองส่วนตัว เพราะสวนทุกแห่งจะมีกองทัพองครักษ์ของตำหนักสวรรค์เฝ้าอยู่หลายคนแล้ว ทำแบบนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนหรือสัตว์เทพบุกเข้ามาสร้างความเสียหายด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ตอนนี้ย่อมเป็นคนของกองมังกรดำเฝ้าทั้งหมด
พระตำหนักอุทยานของราชันสวรรค์ก็ไม่สะดวกจะให้ล่วงล้ำเข้าไปโดยพลการ แต่สวนของขุนนางใหญ่พวกนั้น เหมียวอี้ยังสามารถฉวยโอกาสตอนที่ขุนนางใหญ่ไม่อยู่และอ้างว่าจะตรวจสอบเพื่อเข้าไปดูได้
เหมียวอี้เห็นเฟยหงอารมณ์ไม่ค่อยดี ถ้าอยากจะอยู่ที่นี่ก็ยังต้องอาศัยให้เฟยหงคลี่คลายความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแม่เฒ่าลวี่ เดิมทีอยากจะพานางไปเดินเล่นที่สวนของพวกขุนนางใหญ่สักหน่อย ดูว่าสวนพวกนั้นมีอะไรที่หาพบได้ยาก อยู่เป็นเพื่อนให้เฟยหงผ่อนคลายอารมณ์ ทว่าเฟยหงกลับไม่อยากเดินเข้าไปในสวนของขุนนางใหญ่พวกนั้นอีก อยากจะไปดูที่อื่นแทน เหมียวอี้ทำได้เพียงล้มเลิก
ที่อุทยานหลวง มีกลายที่ที่เหมียวอี้จะต้องให้ความสนใจ และจะพลาดง่ายๆ ไม่ได้ เพราะนั่นคือพระตำหนักอุทยานของราชันสวรรค์ ที่อุทยานหลวงแห่งนี้ ราชันสวรรค์ก็ไม่ได้มีแค่พระตำหนักอุทยานแห่งเดียว กลุ่มของเหมียวอี้ไปตรวจสอบดูทีละจุด
เรือโหลวฉวนจอดอยู่ริมทะเลสาบสีมรกตที่ติดกับทุ่งดอกไม้ ทำให้คนรู้สึกสดชื่นอิ่มใจ บนยอดเขาหิมะสูงมีตำหนักตั้งตระหง่านโดดเด่น สามารถมองเห็นทิวทัศน์หิมะกับท้องฟ้าที่ทอดตัวยาวเหยียดสูงต่ำสลับกันได้ บนทะเลทรายที่กว้างใหญ่มีตำหนักใหญ่ที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ราวกับเรือมังกรอเวจี สามารถดูพระอาทิตย์ตกดิน ทะเลอันกว้างไพศาลที่หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ได้ สิ่งที่ซ่อนอยู่ในคลื่นทะเลสีมรกตยังมีตำหนักผลึกใส ทิวทัศน์ใต้ทะเลงดงามไร้ที่เปรียบ…
พระตำหนักอุทยานทุกแห่งของราชันสวรรค์ล้วนอยู่ในจุดที่มีเอกลักษณ์ที่สุดของอุทยานหลวง งดงามอลังการ ฟุ่มเฟือยที่สุด ทุกที่ล้วนมีสัตว์เทพคอยเฝ้าป้องกัน เหมียวอี้พาทุกคนเดินดูจนทั่ว เรียกได้ว่าได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่ เพียงแต่น่าเสียดายที่เข้าไปดูข้างในไม่ได้
เดิมทีเหมียวอี้อยากจะนำคนไปเที่ยวตามจุดลาดตระเวนของตัวเองต่อ แต่ใครจะคิดว่าจะได้รับคำสั่งจากเบื้องบนอย่างกะทันหัน ให้ตรวจสอบและยึดสวนของเทพประจำดาวทั้งแปดที่อุทยานหลวง
เหมียวอี้ตกตะลึง พุ่งเป้าไปที่เทพประจำดาวแปดคนในรวดเดียวเลยเหรอ? ตำหนักสวรรค์มีเทพประจำดาวทั้งหมดเพียงสามสิบหกคนเท่านั้น
เขารีบกลับไประดมกำลังพลให้ไปล้อมสวนแปดสวนนั้น ที่จริงก็ตรวจสอบไม่เจออะไรอยู่ดี เพราะเจ้าของสวนไม่สามารถนำกำลังพลมาประจำอยู่ที่นี่ได้ ในแต่ละสวนจะมีคนงานที่คอยเก็บกวาดทำความสะอาดในระยะยาวเพียงไม่กี่คนเท่านั้น คนที่ถูกทิ้งให้ทำงานแบบนี้อยู่ที่นี่ได้ ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ลูกน้องคนสนิทอะไร ที่จริงเป็นแค่คนทำงานจิปาถะให้เท่านั้น
“พวกเจ้าทำอะไร? ไม่รู้เหรอว่าที่นี่คือที่ไหน?”
กำลังพลกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาในสวน คนงานคนหนึ่งที่เฝ้าอยู่ที่นี่เหมือนจะเป็นพ่อบ้าน เขารวบรวมเพื่อนอาชีพไม่กี่คน แล้วชี้ดาบใส่หน้าเหมียวอี้พร้อมตะคอกอย่างเดือดดาล พยายามทำหน้าที่เฝ้าสวนอย่างเต็มที่
“ใครขัดขืนฆ่าทันที!” เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบตะโกนเสียงต่ำ นี่คือประสงค์ของเบื้องบนเช่นกัน
เสียงระเบิดดังออกจากธนู ท่ามกลางเสียงเฟี้ยวๆ ลูกธนูสิบกว่าสายยิงออกไปอย่างไม่ปรานี ยิงพ่อบ้านล้มนองเลือดคาที่
คนงานที่เหลือตกใจจนโยนอาวุธทิ้ง จากนั้นสวีถังหรานก็โบกมือ “จัดการ!”
เชือกมัดเซียนถูกโยนออกมามัดพวกเขาเอาไว้ คนกลุ่มหนึ่งกรูเข้าไปควบคุมตัว แล้วลากไปไว้อีกด้านหนึ่งโดยตรง
เหมียวอี้นำคนเข้ามาในลานบ้าน กำลังพลที่อยู่ข้างหลังแยกย้ายกันไปตรวจสอบโดยรอบแบบพลิกแผ่นดินทันที ค้นหาแบบไม่พลาดสักซอกมุม ขอเพียงมีเงินวางไว้นิดหน่อย ทั้งหมดก็จะถูกขึ้นทะเบียนเก็บยึดเป็นของหลวงหมด
เมื่อตรวจสอบและยึดทรัพย์เสร็จสิ้น พวกเขาก็ออกมาจากสวน แล้วกำลังพลธงพยัคฆ์ดำก็รีบปิดสวนแห่งนี้ไว้อย่างรวดเร็ว
ส่วนกำลังพลกลุ่มอื่นๆ ก็ตรวจสอบและยึดทรัพย์อีกเจ็ดสวนเสร็จแล้ว กำลังทยอยกันมาเจอกับเหมียวอี้ มอบสมุดบัญชีรายการสิ่งของที่ตรวจสอบและยึดให้ คนทั้งหมดที่จับตัวมาถูกกดให้นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น โดยมีดาบและทวนจ่อคอคนพวกนี้อยู่
แต่ละคนที่กำลังนั่งคุกเข่าโศกเศร้าร้อนใจเหมือนบุพการีจะตาย ในดวงตาฉายแววหวาดกลัวอย่างที่ยากจะปิดบังได้ ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีจุดจบผลลัพธ์เป็นอย่างไร
ขณะที่เหมียวอี้มองดูคนพวกนี้ ในใจก็แอบรู้สึกปลงอนิจจัง เดินมาถึงขั้นที่โดนประหารทั้งตระกูลแล้ว เทพประจำดาวแปดท่านนั้นก็เกรงว่าจะมีโอกาสตายมากกว่ารอดเช่นกัน ก่อนหน้านี้แต่ละคนยังเป็นขุนนางที่เรืองอำนาจจนทำให้คนเอื้อมไม่ถึงอยู่เลย นึกไม่ถึงว่าชั่วพริบตาเดียวจะตกลงจากที่สูงแล้ว ตำแหน่งที่มีอำนาจของตำหนักสวรรค์พวกนี้ ดูท่าแล้วก็เป็นไม่ได้ง่ายๆ เหมือนกัน พอไม่ระวังตัวขึ้นมาก็จะต้องตกลงเหวลึก
บนแนวภูเขาที่อยู่โดยรอบ ในสวนพวกนั้นที่อยู่รอดปลอดภัย คนงานของขุนนางระดับสูงพวกนั้นพากันวิ่งออกมาดูความเคลื่อนไหวทางนี้ พวกเขาก็อกสั่นขวัญแขวนเช่นกัน แม้แต่กลุ่มเทพธิดาที่อยู่ในพระตำหนักอุทยานของราชันสวรรค์ก็วิ่งออกมาเช่นกัน พวกนางรวมตัวกัน บ้างก็ขี้มาทางนี้ บ้างก็สุมหัวกระซิบกระซาบกัน
จ้านหรูอี้ที่ยืนอยู่ข้างเหมียวอี้มีสีหน้าเคร่งเครียด มองดูตลาดสวรรค์พลางพึมพำว่า “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว…”
เหมียวอี้หันกลับไปมองนางแวบหนึ่ง เดิมทีอยากจะพอว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้า แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้พูดออกมา
เกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ ตำหนักสวรรค์แอบมีคลื่นใต้น้ำสะสมมาหลายเดือนแล้ว ในที่สุดครั้งนี้ก็ได้ปะทุออกมาเสียที เกิดเป็นเหตุการณ์ที่เหมือนคลื่นโหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง
ถึงแม้ว่าคนมากมายจะรู้ว่านี่คือเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว แต่เวลาปะทุขึ้นมาก็แทบจะไม่มีเค้าลางอะไรเลย กำลังพลกลุ่มใหญ่แทบจะลงมือพร้อมกัน ทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่ทันได้แจ้งข่าวบอกกัน ตอนที่สวนแปดแห่งนี้โดนค้นและยึดของ จวนของเทพประจำดาวทั้งแปดของตำหนักสวรรค์ก็โดนทหารสวรรค์กลุ่มใหญ่ล้อมไว้เช่นกัน
การจัดการขุนนางแปดคนนี้ ตำหนักสวรรค์ก็มีราคาที่ต้องจ่ายไม่น้อยเช่นกัน เพราะเมื่อขึ้นมาอยู่ถึงตำแหน่งนี้แล้ว ก่อนจะเกิดเรื่องก็พอจะรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลเช่นกัน เทพประจำดาวสามสิบหกคนแทบจะใช้แผนมัจฉาตายตาข่ายขาด[1] เตรียมตัวที่จะสู้ตายสักตั้ง ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่มีอยู่ในมือลูกน้องพวกเขา ถึงแม้จะมีไม่เยอะเท่ากองทัพองครักษ์ แต่ก็ถูกพวกเขารวบรวมไว้ในมือของคนที่ไว้ใจได้ คนที่อยู่ในตำแหน่งอย่างพวกเขา ไม่มีใครอยากนั่งรอความตายเฉยๆ ตอนที่เคราะห์ร้ายกำลังจะมาถึงตัวเทพประจำดาวแปดคนนั้น ก็ได้แอบวางกำลังพลเอาไว้ต่อสู้เข่นฆ่ากับทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์แล้ว เพียงเพื่ออยากได้หนทางรอดชีวิตสักทาง
ภายใต้การปิดล้อมที่แน่นหนาของทัพใหญ่ สุดท้ายเทพประจำดาวทั้งแปดก็ไม่มีใครรอดพ้นเคราะห์ร้าย มีหกคนที่สู้รบจนตาย อีกสองคนบาดเจ็บสาหัสและถูกจับตัวไป แต่สุดท้ายก็ยังไม่รอดชีวิตสักคน ตำหนักสวรรค์ไม่มีทางปล่อยให้เหลือผู้รอดชีวิตเพื่อไต่สวนให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โตเช่นกัน คนในครอบครัวของเทพประจำดาวก็โดนสังหารแทบหมดเกลี้ยง ไม่ต่างอะไรกับการล้างตระกูล ที่มหัศจรรย์ก็คือสมาชิกครอบครัวคนสำคัญของเทพประจำดาวทั้งแปด หรือพูดได้อีกอย่างว่าญาติสายตรงส่วนใหญ่หนีไปหมดแล้ว
ที่จริงเทพประจำดาวทั้งแปดก็เตรียมตัวนานแล้ว ได้บอกความลับกับคนในครอบครัวล่วงหน้าแล้วเตรียมให้หนีไป ไปที่ไหนแล้วก็ไม่รู้เช่นกัน ในภายหลังจะปรากฏตัวอีกหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้ หลังจากค้นยึดทรัพย์ในบ้านแล้ว ก็ไม่ได้มีทรัพย์สินของตระกูลเยอะเท่าไร เพราะได้เคลื่อนย้ายออกไปล่วงหน้าแล้ว เตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อรับมือกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด เหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ครอบครัว
แต่สำหรับตำหนักสวรรค์แล้ว พวกตัวละครเล็กๆ ที่หนีไปได้ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือการจัดการกับอำนาจอิทธิพลของเทพประจำดาวแปดคนนั้น
ขุนนางผู้มีอำนาจที่มีเกียรติเพียงชั่วคราว ชั่วพริบตาเดียวก็สลายหายไปราวกับเมฆหมอก เหลือไว้เพียงกลิ่นคาวเลือดที่ติดนานไม่สลายไป
กำลังพลของตำหนักสวรรค์ก็เสียหายอย่างหนักเช่นกัน แค่กองทัพองครักษ์อย่างเดียวก็รบตายไปสองล้านกว่าคนแล้ว ผู้บาดเจ็บมีอีกนับไม่ถ้วน อวี่จ้งเจินบาดเจ็บสาหัส…
จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่าเทพประจำดาวทั้งแปดที่บริหารงานมาหลายปีนั้นรวบรวมกำลังได้มากขนาดไหนยามจนตรอก จะเห็นได้ว่าการสู้หนึ่งศึกนั้นน่าเวทนาขนาดไหน
ถ้าไม่ใช่เพราะเบื้องบนรักษาความเงียบมาตลอด ไม่เคยปล่อยให้ข่าวหลุดว่าจะทิ้งเทพประจำดาวแปดคนนี้ ถ้าบอกทั้งแปดล่วงหน้าให้ทั้งแปดได้เตรียมตัวมากพอ เกรงว่าตำหนักสวรรค์ก็คงจะเสียหายหนักกว่า หรือไม่ทั้งแปดคนก็คงหนีไปตั้งนานแล้ว
แต่ก็ช่วยไม่ได้ สู้กันมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าอยากจะเก็บรักษากำลังคนไว้ก็ต้องเสียสละชีวิตบางส่วนไป แต่สิ่งนี้ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าประมุขชิงจะต้องประนีประนอมและยอมถอยให้สี่อ๋องสวรรค์
“ถึงแม้สี่อ๋องสวรรค์จะได้อำนาจสืบสวนซ้ำคนที่ติดกับดักที่ตลาดผี แต่ก็อย่าลืมว่าคนถูกสืบสวนผ่านมือประมุจชิงมาแล้วรอบหนึ่ง ในมือประมุขชิงกุมหลักฐานของ ‘การวางแผนก่อกบฏอย่างลับๆ
‘ เอาไว้มากมาย ทุกคนล้วนไม่อยากทำให้เรื่องใหญ่โต เพื่อที่จะปกป้องชีวิตคนให้มากกว่าเดิม สี่อ๋องสวรรค์ก็ทำได้เพียงทิ้งเทพประจำดาวทั้งแปดให้เป็นเครื่องสังเวยแลกกับการที่ประมุขชิงยอมถอยให้”
กลิ่นคาวเลือดยังไม่ทันสลายหายไป กองทัพองครักษ์ก็ย้ายคนแปดคนไปแทนที่ตำแหน่งเทพประจำดาวทั้งแปดนั้นทันที เติมคนตั้งแต่ข้างบนลงไปข้างล่าง เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อฝั่งเหมียวอี้เช่นกัน เนี่ยอู๋เซี่ยวต้องไปรับตำแหน่งที่อาณาเขตของอำนาจท้องถิ่น จึงขอคนจากเหมียวอี้ไปแล้ว ขอคนในตำแหน่งสำคัญไปชุดหนึ่ง
โป๋เยว เซี่ยงไป่กง รองแม่ทัพภาคสองคนนี้ก็ไปแล้วเช่นกัน
เดิมทีเนี่ยอู๋เซี่ยวบอกไว้แล้วว่าจะพาคนไปด้วยแค่หนึ่งพันคน แต่จนใจที่ข้างบนมีคนแอบจงใจทำให้คนข้างล่างวุ่นวาย สถานการณ์ร้ายแรงกว่าที่เนี่ยอู๋เซี่ยวจินตนาการไว้ ดังนั้นภายในเวลาสองเดือน เขาจึงนำคนจากมือเหมียวอี้ไปแล้วสามพันกว่าคน
รองผู้บัญชาการใหญ่ทัพกลางสองคนของเหมียวอี้ไปแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ของแต่ละธงพยัคฆ์ก็ไปเกินครึ่ง เดิมทีทัพกลางก็คือทัพสนิทใกล้ชิดกับเนี่ยอู๋เซี่ยวที่สุด คนที่ต้องการพาไปด้วยจึงมีเยอะที่สุด
กองมังกรดำใต้สังกัดของเหมียวอี้จึงจำเป็นต้องมีการปรับบุคลากรครั้งใหญ่ คนมากมายที่ประสบความสำเร็จได้ยากเมื่ออยู่ภายใต้การแข่งขันก่อนหน้านี้พากันดีใจไม่หยุด เพราะมีตำแหน่งว่างเยอะเกินไปแล้ว
โอกาสนี้หาพบได้ยาก เหมียวอี้รีบฉวยโอกาสเลื่อนตำแหน่งให้ลูกน้องคนสนิท เหยียนซิวกับหยางเจาชิงเลื่อนเป็นรองผู้บัญชาการใหญ่ทัพกลาง กลายเป็นมือซ้ายและมือขวาของจ้านหรูอี้แล้ว เนื่องจากความอยู่เป็นของหยางชิ่ง เหมียวอี้จึงปล่อยอำนาจให้แล้วนิดหน่อย เป็นเพราะไม่มีทางเลือกเช่นกัน ไม่สะดวกจะทิ้งให้ตำแหน่งของหยางชิ่งต่างกับตนมากเกินไป หยางชิ่งก็กลายเป็นผู้บัญชาการทัพกลางแล้วเช่นกัน
สวีถังหรานออกจากทัพกลาง กลายเป็นรองผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ฟ้า
พอเนี่ยอู๋เซี่ยวยื่นมือเข้ามาครั้งนี้ ก็เรียกได้ว่าทำให้กำลังของกองมังกรดำลดลงมาก นักพรตบงกชรุ้งส่วนใหญ่ถูกเขาพาไปด้วยแล้ว
โชคดีที่ตอนนี้กองมังกรดำยังไม่ต้องรับภารกิจที่ต้องต่อสู้เข่นฆ่ากัน ตอนนี้มีหน้าที่แค่เฝ้าสวน ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องอยู่ที่อุทยานหลวงนี้นานเท่าไร
เนี่ยอู๋เซี่ยวเองก็รู้ว่าครั้งนี้ขูดรีดฐานบ้านของเหมียวอี้โหดเกินไป และบางทีอาจจะเป็นเพราะต้องการแสดงความขอบคุณ จึงตั้งใจให้ลูกน้องไปเฟ้นหาหญิงงามสองคนมาให้เหมียวอี้ จะให้พาเข้าอุทยานหลวงนั้นเป็นไปไม่ได้ จึงเปลี่ยนให้กลายเป็นคนในครอบครัวเหมียวอี้แล้วส่งไปยังที่พักชั่วคราวแทน
เหมียวอี้ไม่เห็นด้วยซ้ำว่าพวกนางหน้าตาเป็นอย่างไร แต่รู้ว่าถ้าสามารถถูกเนี่ยอู๋เซี่ยวทำเป็นของกำนัลมามอบให้ได้ ความสวยจะต้องไม่ธรรมาแน่นอน แต่ว่าเขาไม่สนใจ และไม่กล้ารับตัวไว้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่มีทางจะแก้ตัวกับอวิ๋นจือชิวได้ จึงมอบเป็นรางวัลให้หยางชิ่งกับหยางเจาชิงเสียเลย ผลคือคือ ‘สองหยาง’ นี้ปฏิเสธ เหมียวอี้จึงฝืนจับยัดให้พวกเขา ไม่เอาก็ต้องเอา
ที่มอบให้ ‘สองหยาง’ ก็มีสาเหตุเหมือนกัน ถ้าเป็นพี่พิภพเล็ก หน้าตาของชิงจวี๋กับหลินผิงผิงก็ยังนับว่าไปวัดไปวาได้ แต่ถ้าเทียบกับคนที่ถูกเลือกมาจากพิภพใหญ่ที่มีจำนวนมากกว่า พวกนางก็ยังดูธรรมดาไปนิด หยางเจาชิงยังดีหน่อย แต่หยางชิ่งเริ่มหน้าบึ้งแล้ว ถึงอย่างไรเขากับเหมียวอี้ก็มีความสัมพันธ์ของพ่อตากับลูกเขย แต่ลูกเขยคนนี้กลับส่งผู้หญิงมาให้พ่อตาตัวเองทรยศแม่ยาย แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน!
ชิงจวี๋กับหลินผิงผิงก็ยิ่งหมั่นไส้จนคันฟัน สำหรับทั้งสอง สิ่งนี้คือภัยพิบัติที่คาดไม่ถึงจริงๆ
หารู้ไม่ว่าเป็นเพราะเหมียวอี้รู้สึกว่าตัวเองเป็นวัวสันหลังหวะ เพราะเขาแต่งงานมีเมียเยอะเกินไป ส่วนหยางชิ่งนั้นบริสุทธิ์เกินไปจนทำให้เขาอึดอัดนิดหน่อย ดังนั้นเมื่อมีโอกาสจึงอยากดึงหยางชิ่งให้ลงน้ำมาด้วยกัน ทุกคนจะได้เท่าเทียมกันสักหน่อย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉินเวยเวยเขาจะได้ไม่ลำบากใจเกินไป เพราะพ่อเจ้าก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?
ถึงแม้สี่อ๋องสวรรค์จะยอมถอยให้แล้ว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้คนของประมุขชิงนั่งอยู่ในตำแหน่งที่อาณาเขตของตนได้อย่างมั่นคง ถ้าคนของประมุขชิงนั่งอยู่ในตำแหน่งอย่างมั่นคงไม่ได้ เช่นนั้นก็จะโทษพวกเขาไม่ได้แล้ว
การต่อสู้อย่างลับๆ ก็ย่อมอยู่ในที่ลับ ส่วนลมฝนกลิ่นคาวเลือดของคนตายนับไม่ถ้วนในที่แจ้งก็เหมือนจะผ่านไปแล้ว
ในวันนี้ พอการประชุมราชสำนักที่ ‘ตำหนักฟ้าดิน’ ของวังสวรรค์จบลง ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูงเหลือบมองเทพประจำดาวทั้งแปดที่นำมาเติมใหม่แวบหนึ่ง เหมือนจะอารมณ์ดีไม่น้อย สายตาย้ายไปมองอ๋องสวรรค์อิ๋งที่ยืนอยู่เบื้องล่าง แล้วจู่ๆ ก็กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ช่วงนี้ทุกคนลำบากกันมามากแล้ว ไม่สู้ไปเที่ยวเล่นที่อุทยานหลวงด้วยกันหน่อยไหม?”
…………………………
[1] มัจฉาตายตาข่ายขาด 鱼死网破 อุปมาว่า สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่เจ้าตายที่ตายก็เป็นข้าที่รอด