ตอนที่ 1983

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,983 :  หมู่เกาะเทียมสวรรค์

 

ได้ยินคำอธิบายของอาวุโสที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนรอบดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับ ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ

 

ในที่สุดเขาก็สังเกตเห็นว่า เหนือขึ้นไปบนฟ้าของภูเขาไฟลูกมหึมาปรากฏเกาะเล็กเกาะน้อยมากมายลอยล่องอยู่ในอากาศ แต่ละเกาะก็มีอาคารปลูกสร้างเรียงรายเอาไว้

 

ไม่นานต้วนหลิงเทียนยังพบว่า เกาะเล็กเกาะน้อยมากมายนั้น คล้ายจะห้อมล้อมเกาะลอยขนาดใหญ่เกาะหนึ่ง มองไปดั่งดาวล้อมเดือนก็ไม่ปาน

 

เกาะลอยขนาดใหญ่นี้สมควรเป็น ‘เกาะหลัก’ ไม่ผิดแน่

 

“เกาะลอยขนาดใหญ่ที่เจ้ากำลังมองอยู่นั้น เป็นเกาะหลักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ๆเจ้ากำลังจักเข้าไปอยู่อีกด้วย”

 

ทันใดนั้นเองอาวุโสลาดตระเวนพลันกล่าวไขข้อข้องใจต้วนหลิงเทียนออกมาอย่างประจวบเหมาะ

 

“สำหรับหมู่เกาะย่อยๆที่อยู่ใกล้เกาะหลักที่สุดนั้น เป็นที่อยู่อาศัยของอาวุโสเพลิงทองแดงทั้งหลายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟทั้งศิษย์สายตรงของแต่ละคนและศิษย์ที่แท้จริง…เรียกว่าอาวุโสแต่ละคนรวมถึงศิษย์สวนตัวทั้งศิษย์ที่แท้จริงจักมีเกาะส่วนตัวเป็นของตัวเอง”

 

อาวุโสที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนรอบนอกดินแดนศักดิ์สิทธิ์กล่าวอธิบายออกมา

 

“ศิษย์ที่แท้จริง?”

 

คำกล่าวของอาวุโสกระตุ้นความสนใจของต้วนหลิงเทียนขึ้นมา

 

เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่อง ‘ศิษย์ที่แท้จริง’ เขาจึงมองถามอาวุโสลาดตระเวนด้วยความสงสัย “อาวุโส แล้วศิษย์ที่แท้จริงคืออะไรหรือ?”

 

เมื่อต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมา อาวุโสลาดตระเวนก็กล่าวตอบกลับไปทันที “ศิษย์ที่แท้จริงนั้นถือเป็นศิษย์ที่โดดเด่นของลัทธิบูชาไฟเรา และเป็นดั่งเสาหลักในอนาคตของลัทธิบูชาไฟเรา”

 

“มีสองวิธีที่จักสามารถเป็นศิษย์ที่แท้จริงได้ หนึ่งคือบรรลุพลังฝึกปรือขอบเขตเซียนสวรรค์ ส่วนอีกอย่างนั้นจำต้องเป็นอัจฉริยะที่ร้ายกาจดั่งปีศาจ และมีพรสวรรค์รากวิญญาณสีครามขึ้นไป”

 

อัจฉริยะปีศาจที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีครามขึ้นไป?

 

ด่านพลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์?

 

ได้ยินคำตอบของอาวุโสลาดตระเวน ลูกตาต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหดเล็กลง ขณะเดียวกันก็ตระหนักได้ถึงความหมายของคำว่า ‘ศิษย์ที่แท้จริง’ ของลัทธิบูชาไฟ

 

ศิษย์ที่แท้จริงเป็นดั่ง ‘อนาคต’ ของลัทธิบูชาไฟ!

 

ด้วยเหตุนี้เรื่องที่ทุกคนสามารถมีเกาะส่วนตัวที่ลอยล่องอยู่รอบๆเกาะหลักก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

 

“อาวุโส…”

 

ทันใดนั้นคล้ายนึกอะไรได้ออก ต้วนหลิงเทียนจึงกล่าวถามออกมาอีกครั้ง “แล้วผู้อาวุโสเพลิงเงิน กับอาวุโสเพลิงทอง รวมถึงจ้าวลัทธิและผู้คุมกฏเล่า อาศัยอยู่ในเกาะหลักด้วยงั้นหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนมองไปยังเกาะหลักขนาดมหึมาเบื้องหน้าไกลตา

 

“ย่อมไม่”

 

อาวุโสลาดตระเวนได้ยินคำถามนี้ก็ส่ายหัวพร้อมกล่าวปฏิเสธออกมาทันที “ในลัทธิบูชาไฟของพวกเรา ผู้ใดก็ตามที่มีฐานะตั้งแต่อาวุโสเพลิงเงินขึ้นไป จักอาศัยอยู่ในหมู่เกาะเทียมสวรรค์”

 

“หมู่เกาะเทียมสวรรค์?”

 

ต้วนหลิงเทียนสงสัย

 

“ตามข้ามา”

 

อาวุโสลาดตระเวนกล่าวบอกต้วนหลิงเทียนก่อนที่ร่างของมันจะเหินนำต้วนหลิงเทียนขึ้นฟ้าไปในแนวดิ่ง

 

ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างตามไปติดๆ

 

ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็พบว่าอาวุโสพาเขาเหินร่างขึ้นไปเหนือเพดานบินของเกาะหลัก กระทั่งยังเหินร่างขึ้นไปบนฟ้าสูงอย่างไม่หยุดหย่อน

 

หลังจากเหินขึ้นมาสูงแล้วพอต้วนหลิงเทียนก้มลงไปมองยังเกาะหลัก เขาก็ได้เห็นโครงสร้างทั้งหมดของมัน

 

เกาะหลักนี้มีขนาดใหญ่โตมหึมานัก พื้นที่ของมันเกรงว่าจะไม่ได้ด้อยไปกว่าพื้นที่แท่นบูชาเต่าทมิฬที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้เลย มีขุนเขาลำน้ำ พืชไม้สีเขียวนานาพรรณ ยังมีอาคารปลูกสร้างตั้งอยู่มากมาย

 

อาคารปลูกสร้างถูกก่อสร้างเป็นส่วนสัด แยกย้ายกระจายตัวกันออกไปอย่างไม่แออัด มองจากไกลๆแลดูเป็นระเบียบเรียบร้อยสบายตานัก

 

‘เรียกว่าหมู่เกาะเทียมสวรรค์…คงไม่ใช่ว่าอยู่เหนือก้อนเมฆขึ้นไปสูงลิ่วอะไรทำนองนั้นหรอกนะ?’

 

เมื่อเห็นว่าอาวุโสยังคงเหินนำเขาขึ้นไปบนฟ้าสูงกระทั่งเจียนทะลุหมู่เมฆไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะคาดเดาในใจ

 

จนเมื่อร่างอาวุโสนำเขาเหินขึ้นทะลุหมู่เมฆ และได้เห็นฉากเรื่องราวเบื้องหลังม่านเมฆหมอก ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเขาเดาได้ถูกต้อง

 

“นี่คือหมู่เกาะเทียมสวรรค์งั้นหรือ?”

 

หลังเหินร่างทะยานขึ้นฟ้าจนพ้นแนวเมฆมาแล้ว ความสนใจของต้วนหลิงเทียนก็ไปหยุดอยู่ที่หมู่เกาะไกลตา

 

เกาะเหล่านี้ลอยล่องอยู่เหนือเกาะหลัก อีกทั้งแลคร่าวๆหมู่เกาะเบื้องหน้ายังแบ่งสูงต่ำออกเป็น 4 ระดับ

 

ที่ระดับสูงสุดมีเพียงเกาะเดียวที่ลอยล่องอยู่กลางหาว

 

ถัดลงมาปรากฏเกาะลอยอยู่ 5 เกาะ

 

ชั้นถัดไปพบเป็นเกาะลอยทั้งสิ้นจำนวน 10 เกาะ

 

ด้านล่างสุดนั้นมีทั้งสิ้น 50 เกาะ

 

“มิผิด! ที่เจ้าเห็นคือหมู่เกาะเทียมสวรรค์!”

 

อาวุโสลาดตระเวนพยักหน้ารับ ก่อนจะกล่าวออกมาอีกกครั้งว่า “เจ้าเห็นเกาะเทียมสวรรค์ที่ลอยอยู่สูงสุดหรือไม่ นั่นคือสถานที่บ่มเพาะของจ้าวลัทธิบูชาไฟเรา! และในปัจจุบันท่านจ้าวลัทธิยังคงอยู่ในช่วงกักตัวฝึกตน”

 

อาวุโสลาดตระเวนมองเกาะที่ลอยล่องอยู่เหนือสุดพร้อมกล่าวถึงจ้าวลัทธิบูชาไฟออกมาด้วยน้ำเสียงเคารพ

 

“จ้าวลัทธิบูชาไฟ?”

 

พอได้ยินคำของอาวุโสลาดตระเวนลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดหยีลงทันใด ลึกลงไปในแววตายังเผยประกายเยียบเย็นวูบวาบ

 

ทุกวันนี้ล้วนเป็นเพราะจ้าวลัทธิบูชาไฟยังไม่ออกจากการกักตัวฝึกตน ภรรยาและลูกน้อยของเขาจึงยังมีชีวิตอยู่ แม้จะถูกกักขังไว้ในหอคุมกฏของลัทธิบูชาไฟ แต่ก็ยังไม่ถูกประหารแต่อย่างใด

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อจ้าวลัทธิบูชาไฟออกจากการปิดด่านฝึกตน ไม่พ้นภรรยาและลูกสาวตัวน้อยของเขาต้องถูกตัดสินประหารแน่!

 

กระทั่งยังจะเป็นการประหาร 9 ชั่วโคตร!

 

หากเป็นไปได้เขาก็หวังให้จ้าวลัทธิบูชาไฟมันปิดด่านไปชั่วชีวิตไม่ต้องออกมา

 

แต่เขารู้ดีว่าเวลาออกจากการปิดด่านของอีกฝ่ายได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

 

“5 เกาะที่ลอยต่ำลงมาระดับหนึ่งนั้น จักเป็นเกาะส่วนตัวของท่านรองจ้าวลัทธิรวมถึงท่านผู้พิทักษ์ทั้ง 3”

 

อาวุโสลาดตระเวนกล่าวออกมาอีกครั้ง

 

ดึงสติต้วนหลิงเทียนให้กลับมารู้สึกตัว

 

เรื่องที่ลัทธิบูชาไฟมีชนชั้นรองจ้าวลัทธิ 2 คน เขาเคยได้ยินมาก่อนแล้ว

 

ยิ่ง 3 ผู้พิทักษ์นั้น เรียกว่าเป็นอะไรที่นามระบือลือเลื่องนัก!

 

กล่าวกันว่าผู้พิทักษ์ทั้ง 3 ของลัทธิบูชาไฟ มีลำดับอาวุโสสูงนัก ยังเป็นยอดฝีมือที่ดำรงอยู่มาเนิ่นนาน ฐานะของ 3 ผู้พิทักษ์แทบไม่ด้อยไปกว่า มหาธรรมชาชาทั้ง 4 ของลัทธิอารามทมิฬที่มีพลังอำนาจทัดเทียมกับลัทธิบูชาไฟแม้แต่น้อย เรียกว่าอำนาจที่อยู่ในมือทั้ง 3 มหาศาลถึงขั้นสามารถกำหนดตัวจ้าวลัทธิได้!

 

‘เซี่ยจง!’

 

เมื่อนึกถึงมหาธรรมราชาทั้ง 4 ของอารามทมิฬขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึง เซี่ยจง ผู้ที่เคยบุกไปเยือนตำหนักเมฆาครามและฆ่าอาวุโสกู่มี่ทั้งองครักษ์เกราะทมิฬไปนับสิบ ยังทำร้ายเขาและชิงตราผนึกมารไปจากมือเขา!

 

เท่าที่เขารู้มา

 

เซี่ยจงนั้นเป็นบุตรชายของ ราชันราชสีห์ขนทอง ผู้เป็นหนึ่งใน มหาธรรมราชาทั้ง 4 ของลัทธิอารามทมิฬ!

 

และตั้งแต่เกิดเรื่องครั้งนั้น เขาก็มองเซี่ยจงเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้มาตลอด!

 

แต่เป็นเพราะพลังฝีมือของเซี่ยจงมันกล้าแข็งเกินไป เขาจึงทำได้แค่เก็บความแค้นนี้เอาไว้ชั่วคราว

 

อย่างไรก็ตามถึงวันที่พลังฝีมือของเขาสูงพอ เขาจะบุกไปฆ่าเซี่ยจงนั่นให้ตายเพื่อล้างแค้นให้อาวุโสกู่มี่และช่วงชิงตราผนึกมารกลับคืน!

 

‘เซี่ยจงเจ้าล้างคอรอข้าไว้ให้ดี…สักวันเจ้าจะได้รู้ฤทธิ์ของคนที่เจ้าเห็นเป็นมดปลวกว่ามันร้ายแค่ไหน! และชีวิตเจ้าจะจบลงคามือมดปลวกในสายตาเจ้าอย่างไร!!’

 

ลูกตาต้วนหลิงเทียนทอแววอำมหิต จิตสังหารอันน่ากลัวเอ่อล้นออกมาวูบหนึ่ง

 

จนเมื่อเสียงของอาวุโสลาดตระเวนดังขึ้นอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนจึงรู้สึกตัว แววตาอำมหิตทั้งจิตสังหารสลายหายไป

 

“อีก 10 เกาะถัดมาเป็นสถานที่พักส่วนตัวของอาวุโสเพลิงทองทั้ง 10 ของลัทธิบูชาไฟเรา…อย่างไรก็ตามโดยมากแล้วเกาะลอยทั้ง 10 นี้จักว่างเปล่า เพราะอาวุโสเพลิงทองทั้ง 10 นั้นถูกส่งไปรับผิดชอบเรื่องราวสำคัญ ไม่ว่าจะแท่นบูชาจตุรลักษณ์รวมถึงเหมืองลำดับที่ 1 ที่เจ้าพึ่งจากมา”

 

“นอกจากนั้นในเมื่อเจ้าเองก็มาจากแท่นบูชาเต่าทมิฬซึ่งเป็น 1 ในแท่นบูชาจตุรลักษณ์ ข้าจึงมั่นใจว่าเจ้าเองก็คงรู้ดีว่าแท่นบูชาจตุรลักษณ์กับเหมืองลำดับที่ 1 สำคัญต่อลัทธิบูชาไฟของพวกเราเช่นไร”

 

อาวุโสลาดตระเวนยังคงกล่าวต่อไป

 

ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับฟัง

 

เขาย่อมรู้เรื่องนี้เป็นธรรมชาติ

 

แท่นบูชาจตุรลักษณ์ของลัทธิบูชาไฟนั้น ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่คัดคนและเพาะสร้างศิษย์ยอดฝีมือเพื่อส่งเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ยังเป็นปราการหน้าปกปักษ์ทั้ง 4 ทิศของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ลัทธิบูชาไฟ

 

เมื่อมีคนบุกเข้ามาจู่โจมลัทธิบูชาไฟ ผู้ที่จะลงมือต้านรับศัตรูเป็นแนวหน้าย่อมเป็นแท่นบูชาจตุรลักษณ์!

 

สถานที่สำคัญเช่นนี้ มีเพียงอาวุโสเพลิงทองกุมบังเหียนไว้เท่านั้น ถึงจะสร้างความมั่นใจให้แก่ทุกคน

 

สำหรับพื้นที่เหมืองอย่างเหมืองหลักลำดับที่ 1 นั้น ก็เป็นดั่งด่านสำคัญที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟ เมื่อศัตรูทะลวงฝ่าแนวรับของแท่นบูชาจตุรลักษณ์เข้ามาได้ ก็เป็นกองกำลังอาวุโสที่ดูแลเหมืองจะออกหน้าต้านทานเป็นแนวรับที่ 2

 

นอกจากนั้นพื้นที่เหมืองก็เป็นดั่งรากฐานสำคัญของลัทธิบูชาไฟ

 

เช่นนั้นอาวุโสเพลิงทองทั้งสิ้น 6 คนจึงสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเฝ้าระวังแทบตลอดเวลา

 

ด้วยเหตุนี้จึงยากที่คนในลัทธิบูชาไฟจะได้พบเห็นอาวุโสเพลิงทองทั้ง 10

 

โดยปกติแล้วหากจะพบอาวุโสเพลิงทอง ก็ต้องไปเยือนแท่นบูชาจตุรลักษณ์ เพราะจ้าวแท่นบูชาทั้งหลายซึ่งเป็นอาวุโสเพลิงทอง ก็มักจะเฝ้าประจำที่แท่นบูชาจตุรลักษณ์ไม่ไปไหน

 

ส่วนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น อาวุโสทั้งหลายล้วนเป็นอาวุโสเพลิงเงินและอาวุโสเพลิงทองแดงทั้งสิ้น

 

และอาวุโสเพลิงเงินกับอาวุโสเพลิงทองแดงทุกคนจะได้รับการจัดสรรหน้าที่ ตามคำสั่งของรองจ้าวลัทธิทั้งสอง แน่นอนว่าพลังฝีมือของรองจ้าวลัทธิก็เพียงด้อยกว่าจ้าวลัทธิและผู้พิทักษ์ทั้ง 3 เท่านั้น พลังฝีมือยังเหนือกว่าอาวุโสเพลิงทองทั้ง 10 เสียอีก

 

เช่นนั้นแล้วยามลัทธิบูชาไฟมีภัย รองจ้าวลัทธิทั้ง 2 ก็เหมือนแนวรับด่านที่ 3!

 

และหากศัตรูมีพลังฝีมือกล้าแข็งบุกมาจริงๆ ด้วยแนวรับ 3 แนวก็ยังพอถ่วงเวลาให้ผู้พิทักษ์และจ้าวลัทธิเคลื่อนไหวสนับสนุนได้ทันกาล…

 

‘ลัทธิบูชาไฟสมแล้วที่เป็น 1 ใน 3 มหาอำนาจยักษ์ใหญ่ กำลังรบของพวกมันนับว่าแข็งแกร่งอยู่ในระดับแนวหน้าของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจริงๆ…’

 

ต้วนหลิงเทียนลอบทอดถอนอยู่ในใจ

 

“สำหรับอีก 50 เกาะที่เหลือเจ้าคงเดาได้แล้ว ว่ามันคือสถานที่พักของอาวุโสเพลิงเงิน”

 

อาวุโสลาดตระเวนยังคงกล่าวสืบต่อ

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เพราะเขาเองก็เดาได้แต่แรก

 

“หมู่เกาะเทียมสวรรค์เหล่านี้หากมองจากที่ไกลๆยังไม่เป็นไร…แต่เจ้าห้ามมิให้เข้าใกล้พวกมันเด็ดขาด เพราะอย่าว่าแต่เจ้า…กระทั่งหากเป็นข้าเผลอเข้าไปใกล้ ก็ต้องถูกลงโทษสถานหนัก!”

 

กล่าวถึงจุดนี้แววตาของอาวุโสลาดตระเวนก็เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวอย่างลึกล้ำ

 

อาวุโสลาดตระเวนนั้น ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าอาวุโสเพลิงทองแดงคนหนึ่ง ยังมีคุณสมบัติไม่ถึงที่จะย่างกรายเข้าใกล้หมู่เกาะเทียมฟ้า

 

“ไปกันเถอะ! ข้าจะพาเข้าไปขึ้นทะเบียนศิษย์ฝ่ายใน ตอนนี้พวกเราย้อนกลับไปยังเกาะหลักกัน”

 

อาวุโสลาดตระเวนกล่าวออกอีกครั้ง ก่อนที่จะเหินร่างนำดิ่งลงไปยังเกาะหลัก

 

หลังได้ยิน ต้วนหลิงเทียนก็เหาะตามอีกฝ่ายไปยังเกาะหลักด้านล่างทันที

 

เมื่อเข้าใกล้เกาะหลัก ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นศิษย์มากมายบนเกาะ

 

คนเหล่านี้สวมเครื่องแบบเฉพาะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เห็นได้ชัดว่าพวกมันล้วนเป็นศิษย์ฝ่ายใน

 

แต่บริเวณหน้าอกของทุกคนล้วนปักไปด้วยสัญลักษณ์เพลิงสีแดงสด คล้ายเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกฐานะ

 

นี่เป็นชุดเครื่องแบบสำหรับศิษย์ฝ่ายในโดยเฉพาะ รูปแบบจึงไม่คล้ายกับของศิษย์แท่นบูชาจตุรลักษณ์ ที่มีลายปักเพลิงเป็นรูปสัตว์กลางตัว

 

‘ในชุดของอาวุโสเพลิงเงินไม่ว่าจะในเขตลงทัณฑ์หรือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงอาวุโสเพลิงทองแดงที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนคนนี้กลับมีลายปักนั่นที่อกเหมือนกัน…ดูเหมือนนี่จะเป็นสัญญลักษณ์บ่งบอกว่าเป็นคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์’

 

หลังสังเกตดูรอบเดียว ต้วนหลิงเทียนก็คาดเดาเรื่องนี้ได้ไม่ยาก