บทที่ 704 ทุ่มเงินสร้างสถานศึกษา

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 704 ทุ่มเงินสร้างสถานศึกษา

หลินเป่ยเฉินไม่แน่ใจว่าอานมู่ซีรู้ตัวหรือไม่ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่

“เอ่อ แล้วทำไมท่านถึงต้องใช้ชื่อ ‘เป่ยเฉิน’ ต่อท้ายชื่อยาทุกชนิดด้วยล่ะ?”

หลินเป่ยเฉินลองถาม

อานมู่ซีตอบเสียงเรียบว่า “เพราะมันเป็นยาที่ผลิตออกมาจากโรงหลอมโอสถเป่ยเฉินไงล่ะขอรับ”

หลินเป่ยเฉินพูดว่า “แต่ท่านเป็นคนทำทั้งหมดเลยนะ ทำไมไม่เปลี่ยนเป็นยาปลุกกำหนัดมู่ซี หรือยาถ่ายพยาธิมู่ซีดูบ้างเล่า?”

อานมู่ซียิ้มแห้ง ตอบว่า “ข้าน้อยก็เคยพยายามใช้ชื่อตัวเองแล้วขอรับ แต่ไม่มีใครเห็นชอบเลยสักคน ทุกคนลงความเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่าชื่อของคุณชายหลิน เหมาะสมต่อการนำมาต่อท้ายชื่อยาแต่ละชนิดเป็นที่สุด คุณชายหลินคงไม่รู้ว่าต่อให้เป็นยาสามัญธรรมดาเพียงใด ขอเพียงใส่คำว่าเป่ยเฉินลงไปเท่านั้น ผู้คนก็จะซื้อหามันเหมือนเป็นยาวิเศษทีเดียวขอรับ และอีกไม่นาน ยาจากโรงหลอมโอสถเป่ยเฉิน ก็จะต้องครองตำแหน่งอันดับหนึ่งในตลาดยาของจักรวรรดิเป่ยไห่แน่นอน… เมื่อถึงตอนนั้น ชื่อเสียงของคุณชายก็จะโด่งดังไปทั่วจักรวรรดิเลยล่ะขอรับ”

หืม?

หลินเป่ยเฉินไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน

เมื่อได้ยินคำตอบของอานมู่ซี เด็กหนุ่มก็มีดวงตาเป็นประกายแวววาวขึ้นมาแล้ว

จริงด้วยสินะ

ทำไมเขาไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มาก่อน?

เขาสามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่ตนเองได้ผ่านการขายยาเหล่านี้

นอกจากจะได้เงินมหาศาลแล้ว

ยังได้พลังศรัทธาอีกมากมายด้วย

นับเป็นวิธีที่ได้ผลดีเยี่ยมโดยที่ตนเองไม่ต้องเหนื่อยแรงด้วยซ้ำ

แต่ถึงอย่างนั้น หลินเป่ยเฉินก็ยังเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่เต็มใจ พูดว่า “มันไม่สำคัญหรอกนะว่าข้าจะมีชื่อเสียงโด่งดังหรือไม่ แต่เหตุผลสำคัญก็คือประชาชนในจักรวรรดิเป่ยไห่จะต้องสามารถเข้าถึงยาคุณภาพสูงเหล่านี้ได้ทุกครัวเรือน เพราะฉะนั้น เราจะตั้งราคายาทุกตัวให้ต่ำกว่าท้องตลาด ท่านต้องไม่ลืมว่าสุขภาพของประชาชนก็เกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงของจักรวรรดิเช่นกัน พี่ใหญ่อาน ท่านกับข้าร่วมมือกัน ถือเป็นสวรรค์ดลบันดาลให้ผู้คนได้พบเจอโชคดีโดยแท้ ฮ่าฮ่าฮ่า อีกไม่นาน ชื่อเสียงของท่านก็จะต้องโด่งดังไปทั่วจักรวรรดิเช่นกัน โฮะโฮะโฮะ”

อานมู่ซีสะดุ้งโหยงก่อนสอบถามว่า “คุณชายจะขายยาเหล่านี้ในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดอย่างนั้นหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว โรงหลอมโอสถของพวกเราเดิมทีก่อตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยรักษาอาการป่วยไข้ให้แก่ผู้คนอยู่แล้ว ถ้าตั้งราคาขายสูงมากเกินไป ก็จะถือว่าทำผิดเจตนาเดิมก่อนการก่อตั้ง”

แต่นี่คือคำโกหกทั้งเพ

ถ้าพวกเขาตั้งราคายาสูงมากเกินไป ผู้คนที่เป็นชาวบ้านตาดำๆ ก็คงไม่สามารถซื้อหามารับประทานได้เป็นแน่แท้ และหลินเป่ยเฉินก็จะต้องเสียภาพลักษณ์ ความศรัทธาที่เขาควรได้รับ ก็คงหายไปในอากาศ

อานมู่ซีได้ยินดังนั้นก็พูดอะไรไม่ออกอยู่เนิ่นนาน

แต่หลังจากที่ปรับเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกของตนเองได้แล้ว นักหลอมโอสถหนุ่มก็เสแสร้งแกล้งกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “ข้าเข้าใจแล้วขอรับว่าเพราะเหตุใด คุณชายหลินถึงเป็นผู้ที่ถูกเลือกจากเทพีกระบี่ นับว่าคุณชายหลินมีจิตใจกว้างใหญ่ไพศาล มีความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ทุกคน ข้าน้อยซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง และข้าน้อยขอรับปากว่าจะมุ่งมั่นทำงานหนักรับใช้คุณชายต่อไปขอรับ”

หืม?

หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าอานมู่ซี

อยู่ดีๆ ทำไมนักหลอมโอสถคนนี้ถึงตื่นเต้นขึ้นมาล่ะเนี่ย?

อย่าบอกนะว่าหมอนี่เชื่อทุกอย่างที่เขาพูด?

ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย

หลังเดินออกมาจากโรงหลอมโอสถเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มก็ต้องพบเจอผู้คนที่มาจากโรงโม่แป้งเป่ยเฉิน โรงทอผ้าเป่ยเฉิน โรงเก็บเกี่ยวผลไม้เป่ยเฉิน โรงเผาอิฐเป่ยเฉิน และอีกหลายๆ โรงนับไม่หวาดไม่ไหว ทุกคนต่างก็อยากจะฉุดลากเขาให้ไปเยี่ยมชมสถานที่ทำงานของตนเองบ้างเช่นกัน

หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยว่าแค่การมาร่วมงานตัดริบบิ้นงานเดียว… จะทำให้เขาเวียนหัวตาลายในอีกหลายชั่วยามต่อมาถึงขนาดนี้

เด็กหนุ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเจ้าของกิจการใหญ่โตในโลกมนุษย์ถึงมีชีวิตที่ยุ่งเหยิงนัก

รสชาติของการเป็นผู้บริหารแตกต่างจากการเป็นพนักงานโดยสิ้นเชิง

มีผู้คนเรียกร้องทุกสิ่งทุกอย่างจากเขาไม่รู้จบ

ปัจจุบันนี้ ค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งปกคลุมด้วยบรรยากาศแห่งความมีชีวิตชีวา

โดยเฉพาะบรรดาคนงานที่เดินเข้าออกโรงเรือนต่างๆ และเนื่องจากทุกคนได้รับการสนับสนุนเป็นทรัพยากรวิเศษจากหลินเป่ยเฉิน ชีวิตของพวกเขาจึงสามารถตั้งหลักได้อย่างรวดเร็ว

กว่าที่หลินเป่ยเฉินจะสามารถหาโอกาสหลบหนีกลับมายังกระโจมบนยอดไม้ได้สำเร็จ มันก็เป็นเวลายามบ่ายแล้ว

“อะไรเนี่ย?”

หลินเป่ยเฉินตกใจไม่น้อยเมื่อพบว่าเจ้าลูกหมาป่าทั้งสองตัวของเขา กำลังคาบปลาแห้งไปส่งมอบให้เจ้าลูกเสือน้อยด้วยความอ่อนน้อม

อากวงกำลังนั่งทำการบ้านอยู่ด้านนอกกระโจม

เจ้าลูกเสือกัดกินปลาแห้งและเล่นต่อสู้กับหมาป่าซึ่งเป็นน้องๆ ของมันอย่างมีความสุข

ต้องไม่ลืมว่าจะอย่างไรเสีย พวกมันก็ถือว่าเป็นพี่น้องจากท้องแม่เดียวกัน

เจ้าลูกเสือแลบลิ้นเลียขนให้แก่ลูกหมาป่าทั้งสองตัว เสมือนพี่ใหญ่ที่กำลังคอยดูแลน้องน้อย

แต่ในจังหวะที่มันเหลือบมาเห็นหน้าหลินเป่ยเฉิน เจ้าลูกเสือก็ส่งเสียงคำราม และผลักหมาป่าทั้งสองตัวออกมา ก่อนจะถอยไปยืนอยู่ข้างอากวงด้วยท่าทางหวาดกลัวและยำเกรงหลินเป่ยเฉินเป็นที่สุด

เจ้าหมาป่าทั้งสองตัวนั้นก็เหมือนจะรู้สึกผิดด้วยเช่นกัน พวกมันรีบก้มหัวเดินกลับมาหาหลินเป่ยเฉินและแลบลิ้นเลียมือเขาอย่างประจบประแจง

สิ่งเหล่านี้ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกไม่สบายใจ

เดี๋ยวก่อนนะ

นี่เขากลายเป็นตัวร้ายไปตั้งแต่เมื่อไหร่?

เขาน่ากลัวถึงขนาดนั้นเลยหรือ?

ไม่ใช่สักหน่อย!

เด็กหนุ่มเดินเข้าไปตบหัวเจ้าลูกเสือน้อยเสียงดังเพี๊ยะและพูดว่า “ทำไมทุกครั้งที่เห็นหน้าข้า เจ้าต้องทำเหมือนข้ากำลังจะจับเจ้ามากินด้วยฮะ?”

“จี๊ด” อากวงส่งเสียงอ้อนวอนอยู่ด้านข้างเหมือนหัวใจใกล้จะวายเต็มที…

เอี๊ยดเอี๊ยดครืด!

“นายท่าน เจ้าเสือน้อยยังเด็กนัก ได้โปรดอย่าตีมันเลย”

อากวงรีบเขียนข้อความลงบนกระดานชนวนด้วยความรวดเร็ว

“ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็คอยอบรมสั่งสอนมันหน่อยสิ”

หลินเป่ยเฉินใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของเจ้าหนูอากวงพร้อมกับพูดว่า “เจ้าเลี้ยงดูมันตามใจมากเกินไป จงใช้ความรู้ที่เจ้ามี ให้การศึกษากับมันบ้าง”

หลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อย ฉุยหมิงโหลวก็มาเข้าพบเพื่อขอรับคำแนะนำเกี่ยวกับสถานที่ตั้งสถานศึกษา

ก่อนหน้านี้ พวกเขาเลือกทำเลมาได้แล้วสามตำแหน่ง

สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ตัดสินใจเลือกพื้นที่ราบกว้างใหญ่ในพื้นที่เขตสอง ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากค่ายที่พักของพวกเขาสักเท่าไหร่

“หากอยากให้คนมาเรียนเยอะๆ พวกเราก็คงต้องสร้างถนนปูไปสู่สถานศึกษาด้วยสิ” หลินเป่ยเฉินว่า “ในเมื่อเราเลือกทำเลที่ตั้งของสถานศึกษาได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการก่อสร้าง พวกเราต้องสร้างถนนก่อนเป็นอันดับแรก เพราะถนนสามารถใช้ประโยชน์ได้หลายทาง ไม่ว่าจะใช้เพื่อการสื่อสารหรือเพื่อการคมนาคมก็ตาม… ต่อจากนั้นค่อยไปสร้างสถานศึกษา เราจะประหยัดเงินกับเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะเป้าหมายของข้า คือการขึ้นเป็นคู่แข่งอันดับหนึ่งของสถานศึกษากระบี่หลวงประจำนครเจาฮุย ไม่ว่าจะเป็นตัวสถานศึกษาหรือบุคลากร เราก็ต้องเอาชนะพวกเขาให้จงได้…”

เด็กหนุ่มกล่าวย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง

นี่คือเรื่องสำคัญที่จะปล่อยผ่านไปไม่ได้

ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็กลับลงมาจากกระโจมที่พัก มุ่งหน้าไปยังพื้นที่การก่อสร้างซึ่งเป็นที่ทำงานของนายช่างเหลียว หยางต้าซาน และหัวหน้าคนงานคนอื่นๆ ก่อนจะพาพวกเขาออกเดินทางไปเยี่ยมชมทำเลที่ตั้งสถานศึกษา พร้อมกันนั้น หลินเป่ยเฉินก็ได้อธิบายแผนการของตนเองให้ทุกคนรับฟัง

“นายน้อยขอรับ แผนการก่อสร้างที่นายน้อยว่ามา หวังจงว่ามันคงต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่าสามล้านเหรียญทองคำเลยนะขอรับ” พ่อบ้านชราแสดงความคิดเห็นออกมาเล็กน้อย

หลินเป่ยเฉินยกมือโบกสะบัด บอกว่า “หาได้มีปัญหาไม่”

พวกเขาเพิ่งได้เงินมาจากแม่ทัพใหญ่โค้วจงเป็นจำนวนที่มากถึงห้าล้านเหรียญทองคำ ย่อมเพียงพอต่อการสร้างสถานศึกษาอยู่แล้ว

หวังจงรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ

นี่ไม่ใช่นายน้อยที่เขาเคยรู้จัก

นายน้อยของเขาไม่ใช่คนจิตใจโอบอ้อมอารีขนาดนี้

แต่ว่า

นายน้อยของเขาอาจเปลี่ยนไปแล้วก็ได้

เมื่อหวังจงคิดได้ดังนั้น ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที

“แต่คุณชายหลิน พวกเราใช้เงินมากมายขนาดนี้สร้างสถานศึกษาในเขตยากจน มันจะเป็นเรื่องที่คุ้มค่าแน่หรือ?”

ฉุยหมิงโหลวอดถามออกมาไม่ได้

การสร้างสถานศึกษานับเป็นเรื่องที่ดี

แต่การใช้ทุนสร้างมากเกินไป อาจทำให้พวกเขาขาดทุนตั้งแต่ยังไม่เปิดเรียนเลยก็เป็นได้

หลินเป่ยเฉินยิ้มเจ้าเล่ห์ อธิบายว่า “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ใช้เวลาเพียงไม่นาน พวกเราต้องถอนทุนคืนกลับมาได้แน่นอน มิหนำซ้ำ พวกเราอาจได้กำไรมหาศาล และต้องมีผู้คนมากมายนำเงินมามอบให้เรา เพื่อขอร้องอ้อนวอนฝากลูกหลานเข้าเรียนเป็นแน่แท้”

เด็กหนุ่มยกมือชี้พื้นที่รกร้างอันกว้างใหญ่ซึ่งเป็นทำเลที่ตั้งสถานศึกษาของเขาพลางกล่าวต่อ “รบกวนพวกท่านซื้อที่ดินในรัศมีสิบลี้รอบๆ สถานศึกษามาด้วย… ข้ามีความคิดที่จะนำพวกมันมาใช้ประโยชน์ในภายหลัง”

เถียนเถียนผู้ยืนอยู่ด้านข้างรีบจดข้อความทั้งหมดลงในสมุดบันทึกเล่มเล็ก

ข้อความที่เขาเขียนลงไปก็คือ : ผู้ที่มีสติปัญญาสูงส่งแม้หมอกหนาก็ยังมองเห็นเส้นทางอยู่เสมอ และแน่นอนว่าย่อมมองเห็นความจริงที่หลายคนมองข้ามไป…

และด้วยความที่หลินเป่ยเฉินเป็นบุคคลที่สร้างปาฏิหาริย์มานับครั้งไม่ถ้วน เถียนเถียนจึงรู้สึกเชื่อมั่นในตัวเด็กหนุ่มผู้นี้หมดหัวใจ

ว่าแต่หลินเป่ยเฉินกำลังวางแผนทำอะไรกันแน่?