ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 106 จะกำจัดความทุกข์ใจนี้อย่างไร

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ครั้นเมื่อการทรมานเริ่มขึ้น เลือดอุ่นระอุก็สาดกระจาย ก็ยากที่จะได้ยินคำสบถหรือเสียงท่องตัวบทกฎหมายต้าโจว อย่างไรก็ตาม หยางซิวเซินยังคงหายใจอยู่ แม้ว่าเขาจะเหลือลมหายใจเพียงรวยริน หายใจออกน้อยกว่าสูดหายใจเข้า ลมหายใจก็แผ่วเบา กระดูกยังแข็งแม้ว่าซี่โครงจะหักเป็นสิบกว่าท่อนแล้วก็ตาม

หยางซิวเซินไม่เคยเข้าร่วมการสอบใหญ่ แต่เข้าทำงานเป็นขุนนางผ่านการสอบปกติของราชสำนัก เขาทำงานอย่างแข็งขันอยู่เป็นเวลาหลายปีก่อนจะเข้าตาจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ และได้รับการเลื่อนขั้นเป็นเลขาราชวัง ทุกคนเชื่อว่าเขาจะซาบซึ้งในความเมตตาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ทว่าเขาก็ยังทำตัวดังเช่นที่เคยทำในอดีต สนใจแต่งานของตน ทำการบันทึกทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวังหลวง

เรื่องนี้ดำเนินไปจนถึงวันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วงสี่ปีหลังจากเกิดเหตุนองเลือดในสำนักฝึกหลวง เป็นยามที่เขาพลันถวายฎีกา

ในฎีกานั้นรายงานเรื่องของโจวทง แต่ก็เท่ากับเป็นการตำหนิจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ในท้ายที่สุด

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่พอใจอย่างมาก สั่งขังเขาในคุกโจว เขาถูกทรมานมากมายนับไม่ถ้วนในคุกโจว แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็อดทนเอาชีวิตรอดมาได้ ในที่สุดเขาก็ได้รับอภัยโทษและปล่อยตัวออกมา ถูกส่งไปทำงานในกรมพิธีการ

นี่เป็นเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อน

สิบกว่าปีให้หลัง เขาก็มาอยู่ในคุกโจวอีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่มีเพื่อนร่วมงานในราชสำนักให้เรียกหา และจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็เหมือนจะลืมไปแล้วว่าเขามีตัวตน

โจวทงมองกองเนื้อเหลวเละบนหญ้าฟางที่กระจัดกระจายผ่านตะราง หลังจากหรี่ตาอยู่เป็นเวลานาน เขาก็ยืนยันได้ว่านี่คือศัตรูตัวฉกาจของเขาในอดีต

“ใต้เท้าหยางเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ภักดีอย่างแท้จริง หลังจากทนทุกข์ทรมานมามาก ก็ยังไม่พูดออกมาแม้แต่คำเดียว”

โจวทงกล่าวต่อ “แต่เรื่องในตอนนั้นไม่ได้มีแค่เจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่รู้”

เมื่อได้ยินเสียงของเขา ร่างที่น่าอนาถอย่างยิ่งของหยางซิวเซินก็เคลื่อนไหวเล็กน้อยอยู่บนฟาง

“ท่านหมอซุนเริ่มพูดแล้ว” โจวทงยืนขึ้นและเริ่มเดินออกไปจากคุก มือไพล่อยู่ด้านหลัง “ข้ามาวันนี้ก็เพื่อจะกล่าวลาเจ้า”

ได้ยินเช่นนี้ ร่างหยางซิวเซินก็ตึงเครียดขึ้นจากนั้นก็พลันผ่อนคลายลง

เขาได้ฝืนมาจนถึงตอนนี้และในที่สุดก็มีเหตุผลให้ไม่ต้องฝืนทนอีกต่อไป แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเริ่มพูด แต่หมายความว่าเขาจะได้พักผ่อนเสียที

เสียงวัตถุที่หนักมากถูกเคลื่อนย้ายดังขึ้นในคุกอันมืดมัวและชั่วร้าย กระสอบที่ใส่ดินไว้สิบกว่ากระสอบถูกเจ้าหน้าที่กรมอาญาลากเข้ามาในคุก และวางทับร่างหยางซิ่วเซิน

ในตอนแรก ร่างหยางซิวเซินยังกระตุกอยู่สองสามครั้ง ส่งเสียงอู้อี้ฟังไม่รู้เรื่อง ทว่าเสียงเขาก็เบาลงๆ จนกระทั่งหายไป

เลือดสีดำและเหม็นเกือบจะก้อนแข็ง ไหลออกมาจากดวงตาและจมูก เขาไม่อาจหายใจอีกต่อไป กระนั้นดวงตายังคงเบิกกว้าง

ต่อให้เขาตาย เขาก็ยังต้องการจะลืมตา เขาฝืนลืมตาราวกับปรารถนาจะเห็นว่าโลกนี้มีวิถีสวรรค์อยู่หรือไม่ มีสิ่งที่เรียกว่าความยุติธรรมอยู่หรือไม่

ดวงตะวันฤดูใบไม้ร่วงส่องแสงเหนือลานบ้าน ต้นไห่ถังมิได้ออกดอก แต่ก็ยังดูงดงาม

โจวทงยืนอยู่ใต้ต้นไห่ถัง ใบหน้าขาวซีดเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นเพราะเขาไม่ได้ถูกแสงแดดมากนักตลอดหลายปีมานี้

เจ้าหน้าที่กรมอาญาคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังเขา ทั้งร่างกายและจิตใจเย็นเยียบจนแม้แต่แสงตะวันก็ไม่อาจทำให้เขาอบอุ่นได้

ขุนนางราชสำนักผู้หนึ่งเพิ่งตายไปเช่นนั้นเอง

ว่าตามเหตุผล นี่นับเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องคล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง แต่เจ้าหน้าที่กรมอาญาผู้นี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งโจวทงไว้ใจเป็นที่สุดและติดตามเขามานานหลายสิบปี เขาจึงรู้ว่าในครั้งนี้มันต่างออกไปจากครั้งอื่นๆ ขุนนางราชสำนักที่ตายในคุกโจวในอดีตนั้นตายเพราะการสอบสวน เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายต้าโจว แต่หาได้ขัดประสงค์จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากเห็นขุนนางพวกนั้นแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงตายไปอย่างเงียบๆ

ทว่าครั้งนี้ต่างไป เขารู้ดีว่าใต้เท้าโจวทงได้ทำการสืบสวนเรื่องบางอย่างเป็นการส่วนตัว จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้เรื่องนี้และไม่รู้ว่าหยางซิวเซินตาย

เขาหันไปหาโจวทง สายตามองไปที่ชุดขุนนางสีแดงสด เฉกเช่นที่เคยเป็น มันดูเหมือนกับทะเลเลือดไร้สิ้นสุดและเจตจำนงชั่วร้ายเต็มแผ่นฟ้า แต่ก็สัมผัสได้ถึงความกังวลหรือแม้กระทั่งความกลัว

ทำไมใต้เท้าโจวทงถึงทำเช่นนี้ เสี่ยงที่จะทำให้จักรพรรดินีโกรธ ลอบไต่สวนผู้คนมากมายด้วยตนเอง เขาต้องการรู้เรื่องใดกัน ทำไมเรื่องนี้ถึงได้ทำให้เขากลัวนัก

……

……

หากชุดดำเป็นคนที่ลึกลับมากที่สุดในโลก โจวทงก็เป็นคนที่รู้ความลับมากที่สุดในโลก

สำหรับเขา ความลับก็เป็นเฉกเช่นกับเงินและสมบัติ อำนาจและฐานะ ยิ่งมีมากเท่าไรก็ยิ่งดี ยิ่งมีมากก็ยิ่งรู้สึกปลอดภัย

เมื่อหนึ่งปีก่อน เขาก็พยายามค้นหาความลับของเฉินฉางเซิง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่คืบหน้ามากนัก กระบวนการทั้งหมดต้องหยุดลงเพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับวังหลวงและเขาอาจจะเข้าไปพบเจอกับความลับของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาได้ทำการสืบต่อไปอย่างลับๆ

ตอนแรกเขาสงสัยว่าเฉินฉางเซิงเป็นรัชทายาทเจาหมิง ข่าวลือที่แพร่ไปทั่วจิงตูเมื่อปีที่แล้วก็เป็นฝีมือของเขานั่นเอง

นี่เป็นความลับที่เขาอยากรู้มากที่สุด

ในตอนแรก เขาแค่คาดเดา แต่ไม่มีทางที่จะแน่ใจได้ เพราะมีหลายปมปัญหาที่ยากจะคลี่คลาย

หากเฉินฉางเซิงเป็นรัชทายาทเจาหมิงจริง เหตุใดซางสิงโจวถึงได้ส่งเขามายังจิงตู ส่งเขามาอยู่ต่อหน้าจักรพรรดินี

ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุดเช่นนั้นหรือ

ยิ่งไปกว่านั้น อายุของเฉินฉางเซิงก็ไม่ตรงกับรัชทายาทเจาหมิง ในทางกลับกันชายหนุ่มนามอวี้เหรินนั้นตรง

เมื่อผิดกลายเป็นถูก ถูกก็จะกลายเป็นผิดอย่างนั้นหรือ

ทุกคนที่พบเฉินฉางเซิงเชื่อว่าเขานั้นโตเกินวัย สุขุมใจเย็นไม่สมอายุ

ตอนเหมยลี่ซาใกล้ตาย เขาก็ยังอ่านคัมภีร์กาลเวลา

มีหลายเบาะแสที่ถูกรวบรวมและนำมาวิเคราะห์ในลานบ้านแห่งนี้ มีรายละเอียดมากมายนับไม่ถ้วนที่ค่อยๆ พันเกี่ยวกันและก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในหัวเขา

สุดท้ายแล้วเบาะแสทั้งหมดก็นำไปสู่ข้อสรุปที่ยากจะเชื่อได้ เฉินฉางเซิงเป็นรัชทายาทเจาหมิง อายุของเขาถูกเปลี่ยนโดยใช้คัมภีร์กาลเวลา

ข้อสรุปนี้ออกจะเหลือเชื่อเกินไป ยากจะยอมรับได้ เขาเองก็เชื่อไม่ลง ดังนั้นเขาจึงทำการสืบค้นต่อไปลับๆ

เขาสืบค้นบันทึกลับในวังหลวงแต่ก็ไม่พบอะไร ลอบจับคนมากมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ รวมถึงหมอตำแยที่ทำคลอด หมอหลวง เหล่าผู้อาวุโสที่ได้เกษียณกลับบ้านเดิมไปนานแล้ว กระทั่งวันนี้จนแล้วจนรอดเขาก็ยืนยันได้ว่ายามที่รัชทายาทเจาหมิงเกิด วงตะวันในร่างเขาถูกทำลายไปแล้ว

การค้นพบนี้เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาสั่นไหว เขารู้ว่าตอนที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ทำการเปลี่ยนชะตา นางได้สาบานอย่างโหดเหี้ยมต่อท้องฟ้าพร่างดาว สาปให้นางต้องตายลำพัง ดังนั้นนางจึงไม่อาจมีทายาทได้แม้แต่คนเดียว ต่อหน้าวิถีสวรรค์แม้มองไม่เห็นก็ไม่อาจขัดขืน รัชทายาทเจาหมิงย่อมต้องตาย

แต่ไม่กี่วันก่อน เขาได้พบข้อความลับระหว่างผู้เฒ่าความลับสวรรค์กับวังหลวง จึงได้พบความลับอีกอย่างหนึ่ง

เฉินฉางเซิงเป็นคนในราชวงศ์และเขายังป่วยอีกด้วย สาเหตุของการป่วยก็คือเมื่อตอนที่เขาอยู่ในครรภ์ วงตะวันของเขาถูกทำลาย

เหมือนกับรัชทายาทเจาหมิง

โจวทงรู้สึกเป็นกังวล ถึงขนาดหวาดกลัว

หากเฉินฉางเซิงเป็นรัชทายาทเจาหมิงจริง หากเขายังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นแล้วจะหมายความว่าอย่างไร

ก็หมายความว่าการเปลี่ยนชะตาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์นั้นยังไม่เสร็จสมบูรณ์!

ตราบใดที่เฉินฉางเซิงยังมีชีวิตอยู่ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็มีโอกาสที่จะพบกับการสะท้อนกลับของวิถีสวรรค์!

หากเรื่องนี้ถูกพวกที่อยู่ตรงข้ามนางนำไปใช้ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะยังสามารถนั่งบนบัลลังก์อย่างมั่นคงได้อีกหรือไม่

โจวทงรู้ดีว่าตนจะพบกับจุดจบที่น่าอนาถเพียงใดหากจักรพรรดินีเสียอำนาจไป

พวกเขาทั้งคู่ต่างก็ภักดีต่อจักรพรรดินี แต่เขาต่างกับเซวียสิ่งชวนและขุนพลเทพคนอื่น พวกขุนพลเทพนั้นมีผู้ใต้บังคับบัญชาและกองทัพของตัวเอง หากราชวงศ์เฉินกลับคืนสู่บัลลังก์ เพื่อรักษาความสงบเอาไว้ ตราบใดที่เหล่าขุนพลเทพนั้นยอมเปลี่ยนฝ่าย พวกเขาก็ย่อมไม่มีทางถูกทำร้ายแต่อย่างใด อย่างน้อยในช่วงปีแรกๆ พวกเขาก็ไม่ต้องพบเจอกับปัญหาอันใด

แต่ไม่มีใครยอมให้เขารอดชีวิตไปได้

ทุกคนรู้ว่าเขาเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์และดุร้ายที่สุดของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์

เขาได้กัดคนจนตายไปมากมายเพื่อจักรพรรดินี เปื้อนเลือดมากจนเกินไป

เขาไม่อยากตาย

แม้แต่สุนัขก็ยังอยากมีชีวิต ต่อให้เป็นชีวิตที่เสื่อมทรามที่สุดก็ตาม

เขาจะแก้ปัญหานี้อย่างไร มันดูเหมือนจะง่ายมาก ดังเช่นที่หลายคนคิด จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จำเป็นต้องสังหารเฉินฉางเซิง

ในสายตาของคนทั่วโลก จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์นั้นโหดเหี้ยมอย่างที่สุด ย่อมไม่สนใจเรื่องใดทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม โจวทงติดตามจักรพรรดินีมานานหลายปีและรู้ว่าเรื่องเล่าที่รู้กันไปทั่วนั้นไม่ได้ถูกต้องสมบูรณ์

จักรพรรดินีนั้นไม่มีทายาททางสายเลือด องค์หญิงผิงนั้นเป็นบุตรบุญธรรม แต่นางจะสามารถลงมือสังหารลูกตัวเองตายได้อย่างไรกัน

สุดท้ายแล้วนางก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง หากนางพบว่าเฉินฉางเซิงเป็นลูกของนางจริง จะเกิดอะไรขึ้นหากนางใจอ่อนขึ้นมา

นางไม่อาจใจอ่อน วิถีสวรรค์นั้นไม่อาจถูกมองข้าม ไม่อาจปล่อยให้เกิดความเสี่ยงขึ้นได้!

ใบหน้าโจวทงซีดขาวลงเรื่อยๆ ชุดขุนนางสีแดงสดของเขาสั่นเบาๆ ดูราวกับคลื่นโลหิตภายใต้แสงอาทิตย์ตอนต้นฤดูใบไม้ร่วง

‘ให้ข้าจัดการความกังวลนี้แทนจักรพรรดินีเอง’

เขาคิดอยู่ในใจเงียบๆ