เฉินกั๋วเหลียงขมวดคิ้วพูด “เจ้าสาม ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ในตอนที่ตระกูลที่ทรยศต่อตระกูลเฉินของพวกเราคุกเข่าเลียแข้งเลียขาต่อหน้านายใหม่อีกครั้ง ใครกันที่ชื่นชมเฉินโม่ตลอดครึ่งค่อนวัน! ตอนนี้เฉินโม่ถูกคู่อริล้างแค้น นายก็เริ่มโทษเฉินโม่อีก นี่คือเรื่องที่ผู้อาวุโสคนหนึ่งควรจะทำเหรอ?”

เฉินกั๋วต้งหน้าเสียอย่างถึงที่สุด

เฉินกั๋วเหลียงพูดด้วยวาทะที่เต็มไปด้วยคุณธรรม “ตระกูลเฉินของฉัน ในเมื่อเสพสุขกับเกียรติคุณที่เฉินโม่นำมา แน่นอนว่าก็ต้องยอมรับความทุกข์ทรมานที่เขาพามาด้วย”

เฉินกั๋วต้งพูดไม่ออกสักประโยค ทำได้เพียงหน้ามุ่ยพูดเสียงแข็ง “ฉันเห็นด้วยกับความคิดเห็นของพี่ใหญ่ คนตายแล้ว จะมีหน้ามีตาไปเพื่ออันใด?”

เฉินกั๋วเหลียงเหมือนกับถูกสูดพลังทั้งหมดไป เขาดูแก่ไปสิบปีในทันที

“ก็ได้ ในเมื่อพวกนายเห็นด้วย งั้นฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”

เฉินกั๋วเหลียงมองหนานกงหยู่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยใบหน้ายิ้มเยอะ “นายท่าน ท่านชนะแล้ว บอกที่ตั้งของสุสานบรรพบุรุษตระกูลหนานกงกับฉัน ตอนนี้ฉันจะนำพาตระกูลเฉินทุกคนไปที่หน้าสุสานบรรพบุรุษตระกูลหนานกง ก้มหัวคำนับ!”

สี่คำสุดท้ายนั้น เฉินกั๋วเหลียงใช้แรงทั้งหมดตะโกนออกมา เสียงนั้นดังก้องกังวานในลานบ้านตระกูลเฉินไม่หยุด ก็เหมือนกับฝ่ามือที่มองไม่เห็น ตบหน้าของคนตระกูลเฉินทุกคนไม่หยุด หนึ่งครั้ง สองครั้ง ตบศักดิ์ศรีของตัวเองจนแหลกสลาย ทำลายชื่อเสียงเกียรติยศ

และก็เหมือนกับบทเพลง ฝังความรุ่งโรจน์ทั้งหมดของตระกูลเฉิน

เฉินจิงเย่สองมือกำแน่น เส้นเลือดบนกำปั้นปูดออก น้ำตาไหลเต็มใบหน้า

เฉินธงกัดฟันแน่น น้ำตาแห่งความอัปยศคลอเบ้า มองไปทางหนานกงหยู่ที่อยู่กลางอากาศอย่างโมโห แทบอยากจะกินเลือดกินเนื้อเขา

แต่ว่า เฉินควางกลับตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ตระกูลเฉินถูกดูถูกเหมือนกับไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาสักนิด เขารู้เพียงว่า เป็นเช่นนี้ต่อไป ความเคียดแค้นที่ทุกคนตระกูลเฉินมีต่อเฉินโม่จะต้องเพิ่มมากขึ้น ถึงเวลาเฉินโม่ก็กลายเป็นผู้มีความผิดมากที่สุดของตระกูลเฉิน

เหนือมหาสมุทรแปซิฟิค เครื่องบินลำนึงทะลุผ่านเมฆและหมอก ในที่สุดก็เดินทางมาถึงยานจอง เมืองหลวงของหัวเซี่ย

โรงแรมรับรองพระราชอาคันตุกะ ผู้บังคับบัญชาได้จัดงานเลี้ยงไว้แล้ว รอต้อนรับเฉินโม่และคนอื่นๆ

ในตอนที่เจียงเหอซานพาทุกคนมาถึงโรงแรมรับรองพระราชอาคันตุกะ เหลยจ้านก็เริ่มตะโกนโหวกเหวกขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่ใช่มั้ง ผู้บังคับบัญชาเลือกโรงแรมรับรองพระราชอาคันตุกะต้อนรับพวกเราเหรอ?”

จ้างเจิ้นก็สีหน้าตกตะลึง “นี่คือสิทธิพิเศษที่มาตรฐานสูงสุดเลย ผู้บังคับบัญชาให้ความสำคัญกับพวกเราจริงๆ!”

จีอู๋หยายิ้มพูด “ครั้งนี้พวกเราคว้าคะแนนที่ดีที่สุดเป็นครั้งแรกตั้งแต่หัวเซี่ยเริ่มต้นสมรภูมิห้าประเทศ นี่คือเกียรติของพวกเรา และก็เกียรติของหัวเซี่ย ขณะเดียวกันก็คือเกียรติของผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาต้อนรับพวกเราในฐานะวีรบุรุษแห่งชาติ ก็สมเหตุสมผล!”

เจียงเหอซานหัวเราะหึหึ “จีอู๋หยาพูดถูก พวกเราสมควรได้รับวีรบุรุษแห่งชาติชื่อเรียกนี้!”

เฉินโม่กลับไม่มีอารมณ์คิดเรื่องพวกนี้ ตอนนี้เขาอยากจะพบผู้บังคับบัญชาให้เร็วที่สุด ถามสถานการณ์ทางด้านตระกูลเฉินอย่างชัดเจน

ภายในห้องโถงที่กว้างขวาง ผ้าปูโต๊ะที่ขาวสะอาดราวกับงาช้าง เป็นเส้นไหมที่ดีที่สุดของหัวเซี่ยวเจียงหนาน โต๊ะเก้าอี้จำนวนนับร้อย วันนี้มีเพียงโต๊ะเดียวที่เปิดโต๊ะ

ผู้บังคับบัญชายืนอยู่ตรงกลางด้านหน้าโต๊ะที่ใหญ่ที่สุดตัวนั้นตั้งนานแล้ว ยืนเอามือไพล่หลัง ใบหน้ายิ้มแย้ม รอการมาถึงของนักรบผู้กล้าอยู่เงียบๆ

ทุกคนมาถึงตรงหน้าผู้บังคับบัญชา หุบยิ้มบนใบหน้าทันที แล้วยืนตรงทำความเคารพอย่างนบนอบ

“ไม่ต้องพิธีรีตอง ครั้งนี้พวกเราคืองานเลี้ยงครอบครัว!” ผู้บังคับบัญชายิ้มบางๆ ไม่มีการวางมาดแม้แต่นิด แต่กลับทำให้คนรู้สึกเป็นกันเอง

“นั่งลงเถอะ ยังยืนอยู่อีกไม่เหนื่อยหรือ?” ผู้บังคับบัญชานั่งลง รินเหล้าเต็มแก้วเพื่อทุกคนด้วยตัวเอง

จีอู๋หยาและคนอื่นมองไปทางเจียงเหอซาน เจียงเหอซานยิ้มแล้วพยักหน้า “ไม่ต้องมองฉัน ผู้บังคับบัญชาพูดแล้วว่าวันนี้คืองานเลี้ยงครอบครัว นั่งลงเถอะ!”

พูดจบ เจียงเหอซานนั่งลงเป็นคนแรก

ทุกคนถึงได้นั่งลงตรงที่นั่งของตัวเอง เฉินโม่ก็นั่งลงตามคนอื่นๆ แต่สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก