[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน] ตอนที่ 56 การเปลี่ยนแปลงปริมาณทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคุณภาพ

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

คืนนี้เหยียนจือทุยก็ดื่มเหล้าไปไม่น้อย เขานอนหลับไปด้วยความเคยชิน ก่อนจะตื่นมาเห็นอวิ๋นเยี่ยยืนอยู่หน้าระฆัง หยิบจอกเหล้าตีระฆัง ช่างสง่างาม ชายเฒ่ามองดูอย่างพึงพอใจ เขาไม่ชอบบทเพลงซิวซือพวกนั้น แต่บทเพลงที่สูงส่งและสง่างามเขากลับชื่นชอบเป็นที่สุด 

 

ทั้งสองคนตีตั้งแต่เสียงต่ำไปจนถึงเสียงสูง หลังจากร่วมมือกันแล้วยังชนจอกกันด้วย 

 

“ไอ้หนุ่ม เจ้าร้องเพลงเป็นหรือไม่” เหยียนจือทุยถอดหมวกออกเผยให้เห็นหัวล้านและตั้งคำถามกับอวิ๋นเยี่ย 

 

“เป็นแน่นอนขอรับ บทเพลง ‘เสือดำ’ ของข้าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว แต่บทเพลงของซิวซือที่หายใจเข้ายาวๆ ข้าร้องไม่เป็น ตอนนี้ในห้องโถงของตระกูลฮั่นเต็มไปด้วยดนตรีของชาวหู ข้าน้อยไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่” 

 

เหยียนจือทุยได้ยินเช่นนี้ก็ชอบอกชอบใจเป็นอย่างมาก ในที่สุดก็เจอคนรู้ใจ ลูกๆ ของตัวเองแต่ละคนต่างก็ชอบดนตรีของซิวซือ แล้วยังเห็นว่ามันเป็นดนตรีดั้งเดิม ยามนี้ได้ยินว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ชอบดนตรีของดินแดนตะวันตก เขายิ่งถูกชะตากับอวิ๋นเยี่ยเข้าไปใหญ่ 

 

“อาจารย์ที่สูงส่งของเจ้าไม่เคยสอนบทเพลงอื่นให้เจ้าหรือ เพลง ‘เสือดำ’ แค่ฟังก็รู้ว่าเป็นเพลงเร่าร้อนที่พวกหนุ่มสาวชอบฟัง วันนี้คือเทศกาลหยวนเซียว เจ้าเลือกเพลงที่อ่อนโยนนุ่มนวลมาสักเพลงหนึ่ง เรามาร้องด้วยกัน” 

 

“แน่นอนว่าสอนอยู่แล้ว ประโยคที่ว่า หวังว่าคนรักของตัวเองจะมีชีวิตที่ปลอดภัย ไม่ว่าจะอยู่ห่างกันแค่ไหนก็สามารถมองเห็นพระจันทร์ที่สว่างไสวสวยงามไปด้วยกัน ประโยคนี้เป็นที่กล่าวขานกันอย่างนิยมชมชอบ ถูกผู้คนยกย่องว่าเป็นบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ แต่มันต้องใช้กู่เจิง[1]และขลุ่ยในการบรรเลง” 

 

“ไม่มีปัญหา กู่เจิงของอาจารย์เหยียนนั้นไม่มีใครเทียบได้ ส่วนขลุ่ย เราก็พอเป่าเป็น แต่ไม่มีโน้ตกงเฉ่อ จะบรรเลงได้เช่นไร ไอ้หนุ่ม เจ้าเขียนโน้ตกงเฉ่อตอนนี้เลย เรากับอาจารย์เหยียนดูรอบหนึ่งก็จำได้แล้ว” 

 

หลี่ซื่อหมินโหยหาบทเพลงเทพเซียนของอาจารย์อวิ๋นเยี่ยมาโดยตลอด เดิมทีกะว่าจะมาจัดการกับอวิ๋นเยี่ย แต่เมื่อได้ยินว่าอาจารย์ของอวิ๋นเยี่ยก็ร้องเพลงเป็น เขาอยากรู้อยากเห็นเป็นอยากมาก ตัดสินใจว่าจะฟังเพลงก่อนแล้วค่อยพิจารณาว่าจะโมโหดีหรือไม่ 

 

“กระหม่อมเขียนไม่เป็นขอรับ กระหม่อมร้องเป็นอย่างเดียว กระหม่อมไม่เคยใช้โน้ตกงเฉ่อมาก่อน มันคืออะไรหรือขอรับ” อวิ๋นเยี่ยเบิกตาถามเหยียนจือทุย ชายเฒ่าถูที่หน้าตัวเองทีหนึ่งแล้วก็ไม่สนใจอวิ๋นเยี่ยอีกต่อไป เขาพูดกับฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท ให้เขาร้องดูสักท่อน ท่านจดบันทึกโน้ต กระหม่อมสายตาพร่ามัว มือไม้ก็สั่น จดบันทึกเองไม่ได้พะย่ะค่ะ” 

 

หลี่ซื่อหมินหัวเราะเห็นด้วย ทันใดนั้นจั่งซุนก็สั่งให้สาวใช้ไปเอาพู่กัน หมึก และกระดาษมาให้หลี่ซื่อหมิน เมื่อหลี่ซื่อหมินนั่งลง เขาก็หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “บทเพลงของเทพเซียน ต้องมีท่าทีของเทพเซียน หากเจ้าเอาอะไรมาหลอกเรา ระวังหนังของเจ้าไว้ให้ดี” 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจคำขู่ของหลี่ซื่อหมิน ฟังดนตรีของชาวหูจนจะเป็นบ้าแล้ว ก็แค่อยากได้ท่าทีของเทพเซียนไม่ใช่หรือ คำพูดของซูตงพัว[2]ประกอบกับเพลงของยุคหลัง เขาไม่เชื่อว่าหลี่ซื่อหมินจะฟังความเป็นเทพเซียนไม่ออก 

 

จั่งซุนชอบท่าทีเฉยเมยของอวิ๋นเยี่ยเป็นที่สุด เพราะทุกครั้งที่เขาเป็นเช่นนี้ เขามักจะทำออกมาได้ดีกว่าที่ตัวเองคิดไว้เสมอ หยิบค้อนออกไปตีระฆังสีทอง ห้องโถงก็เงียบสงัดลงทันที ชายเฒ่าสองสามคนที่กำลังนอนหลับอยู่ก็ถูกขันทีปลุกให้ตื่น จ้องมองไปที่ระฆังด้วยความมึนงง 

 

ข้างหน้าของเหยียนจือทุยมีกู่เจิงสิบสามสายวางอยู่แล้ว แค่ดีดนิ้วก็ถือว่าลองเสียงเสร็จแล้วเรียบร้อย ก้มหน้าลงเตรียมที่จะจำโน้ตเพลงของอวิ๋นเยี่ย เหยียนจือทุยคิดว่าอวิ๋นเยี่ยคือชายหนุ่มที่ชาญฉลาดมาโดยตลอด แต่หลังจากผ่านเรื่องแกะสลักและแต่งกลอน เขาก็ไม่คิดเช่นนั้นอีกต่อไป บนโลกใบนี้มีคนหลากหลายรูปแบบ มีคนโง่ก็ต้องมีคนฉลาด ไม่แปลกอะไร อวิ๋นเยี่ยคือลูกรักของเทพเจ้า 

 

อวิ๋นเยี่ยดื่มเหล้าองุ่นให้ชุ่มคอ จากนั้นก็พูดกับผู้คนในห้องโถงว่า “วันนี้ตรงกับเทศกาลหยวนเซียว ข้าน้อยอยากจะร้องเพลงให้ให้ทุกท่านฟัง” 

 

หลี่ซื่อหมินพยักหน้า ถึงแม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะไม่ค่อยได้เรื่อง แต่เขาไม่เคยเสียมารยาท จั่งซุนก็ยิ้มรอให้อวิ๋นเยี่ยร้องเพลง 

 

“พระจันทร์จะขึ้นเมื่อใด ข้าหยิบจอกเหล้าขึ้นถามสรวงสวรรค์ ไม่รู้ว่าพระราชวังบนสวรรค์ตอนนี้คือปีใดเดือนใด” พึ่งจะร้องได้สี่ประโยค หลี่ซื่อหมินก็ตบลงบนโต๊ะด้วยความพอใจ ขัดจังหวะอวิ๋นเยี่ยร้องเพลง สองสามประโยคนี้ตรงตามความต้องการบทเพลงเทพเซียนของเขาเป็นอย่างมาก หันหน้ากลับมาเห็นเหยียนจือทุยมองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง เขาสะบัดมือบอกให้อวิ๋นเยี่ยร้องต่อ 

 

พระจันทร์จะขึ้นเมื่อใด ข้าหยิบจอกเหล้าขึ้นถามสรวงสวรรค์ ไม่รู้ว่าพระราชวังบนสวรรค์ตอนนี้คือปีใดเดือนใด ข้าอยากจะให้ลมพัดพาขึ้นไปบนสวรรค์ แต่ก็กลัวว่ามันจะสูงเกินไป ที่ที่สูงมันจะหนาวเย็นข้าทนไม่ไหว ข้าลุกขึ้นเต็มรำ เพลิดเพลินกับเงาใต้แสงจันทร์ สรวงสวรรค์หรือจะเทียบกับโลกมนุษย์ 

 

เมื่ออวิ๋นเยี่ยร้องถึงประโยคที่ว่าดวงจันทร์มีเมฆครึ้มและแดดจ้า ผู้คนมีความเศร้าโศกและยินดี เรื่องเช่นนี้มีมาตั้งแต่โบราณ เหยียนจือทุยก็ร้องไห้ออกมา ถึงแม้ว่ากู่เจิงจะมีสิบสามสาย แต่มันกลับไม่สามารถจับอารมณ์ที่สูงส่งของบทเพลงนี้ได้ 

 

หลังจากอวิ๋นเยี่ยร้องจบเขาก็พูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “ฝ่าบาท นี่ไม่ใช่ตัวอักษรของโลกมนุษย์ ประโยคนี้คือบทกวีของความรักระหว่างหนุ่มสาว ล้างมลทิน หลุดพ้นจากข้อบังคับ ทำให้ผู้คนมองออกไปไกล ขับขานออกไปไกล อย่าแปดเปื้อนฝุ่น ข้าไม่เชื่อว่าจะมีใครบนโลกใบนี้เทียบได้” 

 

หลี่ซื่อหมินพยักหน้าแล้วพูดว่า “เกรงว่านี่คือท่วงทำนองของเทพเซียน ไม่เหมือนกับต้าถังของเรา มีกลิ่นอายของความเกียจคร้านและหมดหนทาง บอกว่าเป็นบทเพลงของเทพเซียนก็ไม่เกินไป เรากำลังคิดว่า ไป๋อวี้จิงเป็นสถานที่เช่นไรกันแน่” เมื่อเขาพูดประโยคเหล่านี้ สายตาของหลี่ซื่อหมินก็เหม่อลอย ความคิดของเขาล่องลอยออกไปไกลแล้ว ไม่รู้ว่าจะลอยไปถึงแห่งหนใด 

 

ตึง “โปรดตื่นได้แล้วพะย่ะค่ะ!” เหยียนจือทุยดีดนิ้วลงบนกู่เจิงอย่างแรง เสียงกู่เจิงดังขึ้น ทันใดนั้นก็ทำให้หลี่ซื่อหมินตื่นขึ้นจากจินตนาการ “ฝ่าบาท นี่เป็นเพียงประโยคสั้นๆ ท่านมีจิตใจแน่วแน่ดั่งเหล็กมาโดยตลอด เหตุใดถึงได้หลงใหลเข้าไปในโลกของมารเพราะเพลงบทเดียว ท่านไม่ทราบหรือ” 

 

เกรงว่าคำพูดเช่นนี้ทั้งต้าถังก็คงจะมีเพียงเหยียนจือทุยคนเดียวเท่านั้นที่พูดกับหลี่ซื่อหมินได้ เขาเป็นอาจารย์ของทั่วหล้า มีสิทธิ์ที่จะสั่งสอนคนทุกคน หลี่ซื่อหมินรีบลุกขึ้นยืน กำมือโค้งคำนับเหยียนจือทุยแล้วพูดว่า “อาจารย์เหยียนพูดถูกแล้ว เราถูกบทเพลงบทนี้ครอบงำแล้วจริงๆ” หลังจากคำนับเหยียนจือทุยเสร็จแล้วเขาก็หันไปพูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างดุร้าย “เหตุใดเจ้าถึงไม่ถูกมารบทเพลงครอบงำเล่า” 

 

มารบทเพลง? อวิ๋นเยี่ยชี้ไปที่ตัวเองและมองไปรอบๆ ชายเฒ่าที่มีการศึกษาเหล่านั้นล้วนแต่พากันหลับตาทำสมาธิ แม้แต่ฮองเฮาก็เป็นเช่นนั้น แต่ชายเฒ่าที่อยู่ไกลๆ กลับกำลังดื่มเหล้า ไม่ได้รับผลกระทบอะไรทั้งนั้น 

 

“มารบทเพลง? นี่คือบทเพลงที่อาจารย์ของข้าดื่มเหล้าแล้วรู้สึกเหงา ร้องออกมาตามอำเภอใจ กลายเป็นมารบทเพลงไปได้เช่นไรพะย่ะค่ะ กระหม่อมร้องมาแล้วตั้งหลายสิบครั้ง ก็ไม่เห็นมีใครรู้สึกอะไร” 

 

“ไอ้หนุ่ม เจ้าเคยชินกับมันถึงได้ไม่สนใจ เจ้ามองดูผู้คนที่อยู่ไกลๆ พวกนั้น พวกเขาก็ไม่รู้สึกอะไร อย่างมากก็แค่รู้สึกว่าบทเพลงนี้ไพเราะ เจ้าลองมองดูผู้คนที่มีการศึกษาเหล่านี้ ทุกคนต่างหลงใหลไปกับบทเพลง ยิ่งเป็นคนที่มีความรู้มากเท่าใดก็จะยิ่งถูกประโยคในบทเพลงครอบงำมากเท่านั้น แต่ว่าไม่เป็นไร ฟังบ่อยๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้น” 

 

เหยียนจือทุยยิ้ม โบกมือ และพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “บทเพลงนี้มีไว้เพื่อฟัง ฝ่าบาทมีเวลาว่างจากการจัดการบ้านเมืองก็ฟังได้ พักผ่อนจิตใจก็เป็นเรื่องที่สง่างามเช่นกัน จะล้มเลิกอะไรง่ายๆ ไม่ได้ หากต่อไปท่านไม่ฟังบทเพลงนี้ มารในตัวของท่านก็จะปรากฏตัวขึ้นมา แต่หากเจ้าฟังบ่อยๆ หลักการของความรู้สึกและรสชาติของศิลปะคือสิ่งที่ดีสวยงามที่สุด สุดท้ายเมื่อมาถึงเข้าถึงดินแดนของเจ้านี่ ท่านก็จะสามารถที่จะไม่สนใจต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ดึงดูดท่าน ไม่ดีตรงไหนกัน” 

 

“อาจารย์เหยียนพูดถูก แต่เสียงของเจ้านี่ก็ทำลายความไพเราะของบทเพลงนี้จริงๆ เรามีความรู้สึกเหมือนสิ่งสวยงามกำลังถูกทำลาย เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลง เราจะแต่งโน้ตบทเพลงนี้ใหม่ ให้มันกลายเป็นสมบัติของต้าถังของเรา” 

 

เหยียนจือทุยจับหนวดยิ้มอ่อนแล้วพยักหน้า บิดขี้เกียจแล้วพูดว่า “กระหม่อมเหนื่อยมากแล้ว ฝ่าบาท กระหม่อมขอตัวก่อนพะย่ะค่ะ” พูดจบก็โบกมือไปทางอวิ๋นเยี่ย เป็นเชิงบอกให้อวิ๋นเยี่ยช่วยพยุงเขาออกไป 

 

จั่งซุนมองดูอวิ๋นเยี่ยพาเหยียนจือทุยยิ้มเดินออกไป นางกำลังจะถามเรื่องไป๋อวี้จิงกับอวิ๋นเยี่ย แต่ดูแล้ววันนี้คงจะไม่ได้ถามแล้ว 

 

‘การเกิดดับของวังอาฝาง’ ของอาจารย์ของอวิ๋นเยี่ยยังอยู่ในห้องหนังสือของฮ่องเต้ ข้างในนั้นมีบทกวีที่อวิ๋นเยี่ยเคยท่องสองสามบท รวมกับบทเพลงที่น่าหลงใหลในคืนนี้ จั่งซุนมั่นใจแล้วว่ามันจะต้องมีไป๋อวี้จิงอยู่จริงๆ เพราะว่ารูปแบบของตัวอักษรเหล่านี้มีความหมายที่แตกต่าง มันคงจะแปลกหากคนคนหนึ่งเป็นคนเขียนขึ้นมา เทพเซียนก็ไม่มีทางเขียนขึ้นมาได้! 

 

หลังจากออกมาจากพระราชวัง เหยียนจือทุยไม่ยอมนั่งเกวียนวัวของตัวเอง บอกให้อวิ๋นเยี่ยไปส่งเขาที่บ้าน ดูแลชายเฒ่าขึ้นรถม้า จากนั้นอวิ๋นเยี่ยก็มุดเข้าไปบ้าง พอเข้าไปก็เห็นสายตาที่เป็นประกายของเหยียนจือทุย มองไม่ผิด ชายอายุร้อยปีที่ไหนมีสายตาเช่นนี้กัน 

 

“ไอ้หนุ่ม บนโลกใบนี้มีสถานที่ที่ไม่มีคนรู้จักจริงๆ หรือ หากมีภูเขาเทพเซียนจริงๆ มันจะสวยงามมากเพียงใด” 

 

“ท่านอาจารย์ อย่าฝันไปเลย เกาะเฝิงไหลเซียนกับเกาะฟางจ้างข้าก็เคยไปมาแล้ว ก็เป็นแค่เกาะธรรมดาๆ สองเกาะ บนนั้นไม่ได้มียาอมตะอะไร มีแค่หญ้าที่รกร้างและงูพิษ แล้วยังมีลิงเต็มภูเขา ข้ายังถูกคนโกงเงินไปไม่น้อย” 

 

เหยียนจือทุยเห็นว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ล้อเล่น เขาจึงถอนหายใจและพูดว่า “อักษรพวกนั้นไม่ได้เป็นของโลกมนุษย์จริงๆ อวิ๋นเยี่ย ข้าหวังว่าที่เจ้าพูดจะเป็นเรื่องจริง ไม่มีภูเขาเทพเซียน ไม่มีถ้ำเทพเซียน ไม่เช่นนั้น ผลที่ตามมาไม่อาจคาดเดาได้ ข้าคิดว่าฝ่าบาทจิตใจสั่นคลอนแล้ว ถึงตอนนั้นหากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมามันคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดี” 

 

“อาจารย์เหยียน ตัวอักษรพวกนั้นข้าน้อยบอกท่านตามความจริง มันคือตัวอักษรของโลกมนุษย์ ท่านเขียนไม่เป็นก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะเขียนไม่เป็น ข้าเคยเจอกับยอดฝีมือเขียนบทกวีผู้หนึ่ง บทกวีของเขาราวกับถ่มออกมาจากปาก แค่ดื่มเหล้าไหใหญ่ ท่านอยากได้กวีกี่บท เขาแค่อ้าปากก็มีให้ท่าน ข้าน้อยเชื่อว่าหากต้าถังเจริญรุ่งเรืองไปอีกร้อยปี ยอดฝีมือเช่นนี้จะต้องปรากฏตัวขึ้นมาอย่างแน่นอน และปรากฏตัวขึ้นมาทั่วโลก ถึงตอนนั้น ท่านค่อยอ่านบทกวีเหล่านั้น มันคือบทกวีที่ดีบทหนึ่ง เหตุใดต้องเอาแต่พูดถึงภูตผีปีศาจ ใครกันที่บอกว่ามีปีศาจ บอกข้ามา ข้าจะไปดู” 

 

เหยียนจือทุยมองอวิ๋นเยี่ยด้วยความแปลกใจแล้วพูดว่า “เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่าอีกร้อยปีจะมียอดฝีมือเช่นนั้นปรากฎตัวขึ้นมาจำนวนมาก” 

 

“ท่านอาจารย์ วิชาที่ข้าเรียนมีเรื่องของหลักการของสรรพสิ่ง เมื่อก่อนข้าเรียกมันว่ากฎภายในของสรรพสิ่ง ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อนี้ ในนั้นมีหลักการอยู่หลักการหนึ่ง เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงของปริมาณทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของคุณภาพ เมื่อมีคนเรียนหนังสือเพิ่มมากขึ้นก็จะมีคนเขียนบทกวีเพิ่มมากขึ้น ภายในบทกวีที่มากมายก็มักจะมีบทกวีและนักกวีที่โดดเด่นอยู่เสมอ ไม่มีอะไรน่าแปลก ท่านอยู่ต่ออีกสักหนึ่งร้อยปี ท่านจะต้องได้เห็นบุคคลที่มีความสามารถที่น่าทึ่งเช่นนี้อย่างแน่นอน” 

 

 

 

 

 

[1] กู่เจิง พิณโบราณของจีน 

 

[2] ซูตงพัว นักกวีผู้มีชื่อเสียงของจีน