ราชันเร้นลับ 807 : ดวงไม่ดี Ink Stone_Fantasy
เมื่อสัมผัสถึงการสั่นสะเทือนของผืนดิน หัวใจอัลเจอร์เริ่มเต้นแรง รีบหันไปมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์และอ่านเจตนาของอีกฝ่ายผ่านภาษากาย
พร้อมกันนั้น มันเสกสายลมรายล้อมร่างกาย ช่วยให้เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่ว ก่อนจะรีบฉากหลบไปด้านข้าง
อัลเจอร์ทำเช่นนี้ก็เพราะกังวลว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์อาจสติแตก นึกครึ้มอยากล่าสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดกลัวภายในถ้ำ เพราะหากลงเอยเช่นนั้น ถึงจะเอาชนะศัตรูได้ แต่ก็จะส่งผลกระทบต่อแผนการสำรวจระยะยาวแน่นอน
และในฐานะคนเดินเรือมากประสบการณ์ มันทราบดีว่าการตัดสินใจที่เด็ดขาดจะช่วยทำให้พวกพ้องที่ยังไม่มีเป้าหมาย ตัดสินใจไปในทิศทางเดียวกัน
ไคลน์โล่งใจเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ละทิ้งการถกเถียงเรื่องมารยาท รีบวิ่งตามหลังแฮงแมนไปไม่ห่าง
ขณะเดียวกัน มันสัมผัสถึงลมที่พัดมาจากด้านหลังและใต้ฝ่าเท้า ช่วยให้พุ่งตัวไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น แรงโน้มถ่วงมีผลต่อร่างกายน้อยลง ความเร็วโดยรวมจึงเพิ่มขึ้นราวสองเท่า
ท่ามกลางเสียงลมหวีด ไคลน์และอัลเจอร์วิ่งออกจากจุดที่มีต้นไม้บางตา ตรงเข้าไปในเขตที่มีความมืดปกคลุมหนาทึบ
ทันใดนั้น อัตราการเต้นหัวใจของคนทั้งสองช้าลงกะทันหัน ไม่เหมือนคนที่เพิ่งออกกำลังกายอย่างหนัก ตรงกันข้าม ดูคล้ายกับคนที่กำลังจะงีบหลับในยามบ่าย
ไคลน์รู้สึกหนาวเย็นจับใจ ความหม่นหมองที่ยากจะอธิบายพยายามแทรกซึมเข้ามาในร่าง
ขณะเดียวกัน มันเห็นจากแสงโคมไฟในมืออัลเจอร์ค่อยๆ ถูกเงายักษ์ที่โผล่มาจากหลังกลืนกินทีละนิด ฉากหนึ่งผุดขึ้นในนิมิตลางสังหรณ์
งูยักษ์ที่มีลำตัวใหญ่กว่าหนึ่งคนโอบพุ่งออกจากปากถ้ำ เกล็ดของมันมีขนาดมหึมา สีเขียวแกมดำ ดวงตากำลังลุกโชนด้วยเปลวไฟ
ระหว่างซอกเกล็ดมีขนนกสีขาวเปื้อนน้ำมันผุดแซม กลางหลังมีปีกใหญ่หนึ่งคู่ที่สามารถใช้การได้
งูยักษ์ตัวดังกล่าวกึ่งเลื้อยกึ่งบินขึ้นไปในอากาศ พันรอบต้นไม้ที่สูงใหญ่และแข็งแรง แลบลิ้นสองแฉกสีดำสนิท จ้องมองผู้บุกรุกสองคนจากระยะไกล
รอบตัวงูยักษ์ ต้นไม้เฉาตายอย่างรวดเร็ว วัชพืชเหี่ยวแห้งโดยสมบูรณ์ ศพจำนวนมากผุดขึ้นจากดินเปียกบนพื้น เงาดำล่องหนกำลังเคลื่อนไหวภายในความมืด
งูมีขน!
ไม่ผิดแน่ นี่คืองูขนนก!
ในทวีปใต้ งูขนนกคือสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ เป็นตราประจำตระกูลราชวงศ์อายเกสที่สืบเชื้อสายจากเทพมรณาโดยตรง!
ไคลน์และอัลเจอร์ไม่หยุดวิ่ง อดทนต่อความหนาวเย็นและอัตราการเต้นของหัวใจที่ช้าลงมาก อาศัยความช่วยเหลือจากสายลมรีบมุ่งหน้าเข้าไปในป่าสีดำ ออกห่างจากจุดที่มีต้นไม้บางตา
ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก! อัตราการเต้นหัวใจของทั้งคู่เริ่มกลับเป็นปรกติ ความเย็นบนร่างกายค่อยๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความร้อนที่เกิดจากการเผาผลาญ
เมื่อสัมผัสวิญญาณแจ้งว่าอันตรายผ่านพ้นไปแล้ว ไคลน์ลดความเร็วลงและหันกลับไปมอง เปล่งเสียงเยือกเย็นท่ามกลางป่ามืด
“งูขนนก ระดับครึ่งเทพ”
“ครึ่งเทพ…” อัลเจอร์ลดความเร็วลงเช่นกัน เส้นเลือดบนหน้าผากปูดขึ้นเล็กน้อย
มันเว้นวรรคสองวินาที กล่าวพลางถอนหายใจแผ่ว
“ไม่มีอะไรต้องกังวล สัตว์วิเศษตัวนี้แค่หวงอาณาเขต ถ้ามันไม่อยากล่าก็จะไม่ออกจากถิ่นตัวเองเด็ดขาด โดยเฉพาะในบริเวณที่ใกล้กับภูเขา… มันคงไม่ตามเรามา”
ไคลน์พยักหน้าและหันไปถาม
“สัตว์วิเศษที่นี่มีระดับสูง?”
อัลเจอร์หันกลับมามอง ตอบพลางส่ายหน้า
“ไม่เสมอไป… มีพวกที่อ่อนแออยู่ไม่น้อยเช่นกัน… ผมเคยมาที่นี่ในตอนกลางคืน พบเพียงร่องรอยของสัตว์วิเศษระดับครึ่งเทพ แต่ไม่เคยเจอตัวจริงมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เผชิญหน้า… ของแบบนี้ขึ้นอยู่กับดวง ผมคิดว่าพวกเราคงไม่น่าจะซวยซ้ำสอง”
ในฐานะนักเดินเรือ ทักษะการคำนวณคือสิ่งจำเป็น
นายกำลังหมิ่นราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ? ไคลน์จิกกัดตัวเองในใจ กล่าวหน้านิ่ง
“การฟันธงจะทำให้ผลลัพธ์ออกมาตรงกันข้ามเสมอ”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เดอะเวิร์ลต้องการจะสื่อว่า
อย่าฟันธง!
อันที่จริง ถ้าศัตรูไม่ใช่งูขนนกระดับครึ่งเทพ แต่เป็นลำดับ 5 เหมือนกัน ไคลน์คงเพลิดเพลินไปกับการกลั่นแกล้งอีกฝ่าย เพราะท้ายที่สุด ตนมีนกหวีดทองแดงอะซิกในมือ สัตว์วิเศษเส้นทางมรณาจะสูญเสียพลังไปกว่าครึ่งต่อหน้าสิ่งนี้
สำหรับโอกาสเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพ ชายหนุ่มมิได้ตื่นตระหนกมากนัก แฮงแมนเคยหยิบยกประเด็นนี้มาเกริ่นให้ฟังแล้ว จึงมีการเตรียมตัวอย่างรัดกุม ทั้งยันต์โจรปล้นดวง พลังพิเศษระดับครึ่งเทพจำนวนสามหน้าในสมุดเวทมนตร์เลมาโน่ หนังสือการเดินทางของกรอซาย และพลัง ‘ท่องเที่ยว’ ถึงจะไม่แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะ แต่การหนีก็คงไม่ยากเย็นเกินไป
ตราบใดที่ไม่หลงเข้าไปปะทะกับเทวทูตโดยตรง… ไคลน์รำพันเงียบ
ฟังคำเกอร์มันจบ อัลเจอร์ประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเห็นได้ชัดว่านักผจญภัยเสียสติรายนี้จงใจเตือนให้ตนไม่ประมาท
เป็นชายเสียสติที่เยือกเย็น? นั่นสินะ ถ้าเสียสติโดยสมบูรณ์ คงไม่มีทางอายุยืนขนาดนี้… อัลเจอร์แหงนมองฟ้า เพ่งมองผ่านชั้นหมอกหนา พยายามจำแนกดวงดาวที่เลือนราง
สองนาทีผ่านไป มันถอนสายตากลับ ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
“ทางนั้น”
ไคลน์ที่หยิบลูกโม่ ‘ลางมรณะ’ ออกมาถือ ปล่อยปากกระบอกปืนชี้ลงพื้นอย่างเป็นธรรมชาติ เดินตามอัลเจอร์โดยไม่พูดอะไร สีหน้าเผยความเยือกเย็น
เดินผ่านป่าสีดำบรรยากาศมืดสลัวสักพัก อัลเจอร์ชะงักฝีเท้า มองไปทางฝั่งซ้ายและกล่าวเสียงขรึม
“ถ้าตรงไปข้างหน้าอีกไม่ไกลจะได้พบกับต้นกระดิ่งลมหลอนประสาท ผมอยากลองจัดการด้วยตัวเองก่อน… สัตว์วิเศษตัวถัดไปจะเป็นของคุณ ผมจะไม่สอดมือเข้าไปยุ่ง”
เว้นแต่คุณจะจัดการมันตามลำพังไม่ไหว… อัลเจอร์กลืนคำพูดครึ่งหลังลงคอ
ชายคนนี้ไม่ใช่นักล่าที่พบได้ทั่วไปในท้องทะเล มันจำเป็นต้องควบคุมปาก ไม่ติดนิสัยพูดในสิ่งที่ทำให้คนอื่นฟังแล้วโกรธ
วัตถุดิบหลักของโอสถที่มิสจัสติสกำลังมองหา… สมกับที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมากมาย มิสเตอร์แฮงแมนรู้ว่าในบางครั้ง การพูดอย่างตรงไปตรงมาจะมีประโยชน์กว่าการอ้อมค้อม และการเจรจามีประโยชน์กว่าเดาใจ… ไคลน์รักษามาดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ตอบกลับเสียงเย็นชา
“ตกลง… แต่ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืน ควรขอความช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นผมจะมองว่าคุณเป็นคนหัวรั้น”
แม้ว่าบุคลิกของนักผจญภัยเสียสติจะแตกต่างจากนักล่าทั่วๆ ไป แต่ในบางแง่มุมก็ยังเหมือนกันสินะ… อัลเจอร์สูดลมหายใจเข้า ถือตะเกียงเดินนำหน้า
ขณะกำลังย่างกราย คนทั้งสองได้ยินเสียงกระดิ่งแผ่วเบา ความรู้สึกอยากกลับบ้านผุดขึ้นจากจิตใต้สำนึก ร่างกายผ่อนคลายลงอย่างน่าประหลาด
ไคลน์พบว่าความหวาดระแวงในตัวเริ่มจางหายอย่างมิอาจหักห้าม ไม่ว่าจะย้ำคิดย้ำทำสักเพียงใดก็ไม่สามารถเพ่งสมาธิได้คมชัด
ในวินาทีนี้ มันอยากพุ่งตัวไปยังทิศทางของเสียงกระดิ่ง โดยเชื่อว่ามีบางสิ่งที่ตนโหยหารออยู่
เนื่องจากระยะทางยังค่อนข้างไกล ผนวกกับการที่มีสายลมรอบตัวคอยรบกวน ไคลน์ควบคุมสติกลับมาอย่างยากลำบาก หันไปมองแฮงแมนด้านข้าง
อัลเจอร์สูญเสียความสุขุมที่ควรมี บนใบหน้าที่ค่อนข้างหยาบกร้าน ดวงตากำลังแดงระเรื่อ ไม่มีใครรู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด
จินตนาการไม่ออกว่ามิสเตอร์แฮงแมนตอนร้องไห้หน้าตาเป็นยังไง… คงหลอนพิลึก… ไคลน์รำพันติดตลก
ทันใดนั้น อัลเจอร์พูดเบาๆ
“ผมจัดการเอง”
เมื่อสิ้นเสียง มันวางตะเกียงลง หมุนแหวนที่ดูชั่วร้ายบนนิ้วหัวแม่โป้งซ้าย เปลี่ยนให้หนามแหลมที่ยื่นออกมาเริ่มส่องแสง
นี่คือสมบัติวิเศษ ‘แส้จิต’ ผลข้างเคียงจะทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกปวดหัวอย่างต่อเนื่อง นึกอยากเอาหัวโขกกำแพงใจแทบขาด
แต่ในเวลานี้ อาการปวดหัวรุนแรงช่วยให้อัลเจอร์มีสติท่ามกลางเสียงกระดิ่งโดยไม่ถูกสะกดจิต
ผลข้างเคียงก็มีประโยชน์ในบางครั้ง… อัลเจอร์ถอนหายใจพลางหยิบกล่องไม้ออกจากกระเป๋าเสื้อ กดปุ่มเปิดกลไก
ภายในมีหนูสีเทา!
มิสเตอร์แฮงแมนต้องการใช้หนูเป็นเหยื่อล่อความสนใจของต้นกระดิ่งลมหลอนประสาท จากนั้นก็ถือโอกาสโจมตี? ไม่เลว เตรียมตัวได้ดี วางแผนละเอียดรอบคอบ… ในฐานะนักผจญภัยมากประสบการณ์ ไคลน์เข้าใจเจตนาคร่าวๆ ของแฮงแมนได้ในคราวเดียว
อัลเจอร์หยิบหนูออกมาและแบบมือเพื่อให้มันกระโดดลงไป แต่ทันใดนั้น สีหน้าของมันพลันบิดเบี้ยว
หนูสีเทาไม่เคลื่อนไหว ไม่มีลมหายใจ และอุณหภูมิร่างกายก็เย็นมาก ไม่สามารถทำหน้าที่เหยื่อล่อได้อีกแล้ว!
ในการเผชิญหน้ากับงูขนนกครึ่งเทพเมื่อครู่ แม้อัลเจอร์จะอยู่แนวหลังที่ถอนตัวได้เร็ว แต่หนูสีเทาซึ่งพกพามาด้วยเป็นเพียงสัตว์ธรรมดา ร่างกายและจิตไม่แข็งแรงนัก ถูกกระทบกระทั่งเพียงเล็กน้อยก็เสียชีวิตโดยไม่มีโอกาสหลบหนี
ตายแล้วสินะ… มิสเตอร์แฮงแมนกำลังพบสัจธรรมอีกหนึ่งข้อ นั่นก็คือ แผนการอาจไม่ตรงตามที่วางไว้เสมอไป มีปัจจัยมากมายคอยสร้างความเปลี่ยนแปลง… ดวงไม่ดีเอาเสียเลย… ได้เห็นฉากดังกล่าว มุมปากไคลน์ขยับเล็กน้อยคล้ายกับต้องการหัวเราะ แต่ก็ไม่อยากทำลายภาพลักษณ์ตัวเอง
สถานการณ์เช่นนี้นับว่าหาได้ยาก เมื่อพิจารณาว่าแฮงแมนเป็นคนที่รอบคอบและพิถีพิถันเพียงใด
อัลเจอร์รีบควบคุมสติ ถือหนูสีเทาที่ตายแล้วเดินหน้าต่อไป ส่วนไคลน์ก้มตัวลงไปหยิบตะเกียงและเดินตามหลังอย่างไม่มีร้อน
ยิ่งเสียงกระดิ่งลมทวีความคมชัด บรรยากาศรอบข้างก็ยิ่งเงียบสงัด ความปรารถนาที่อยากจะปรี่เข้าหาก็ยิ่งเพิ่มพูน
ผ่านไปไม่กี่ก้าว ในที่สุดไคลน์ก็ได้เห็นต้นไม้ประหลาด
ลำต้นสีน้ำตาลอมเขียว เปลือกไม้มีรอยแตกเป็นจำนวนมาก ช่องว่างดังกล่าวดำมืดราวกับมีดวงตานับไม่ถ้วนซ่อนอยู่
แต่ละปลายกิ่งก้านที่ยื่นออก ล้วนมีกระดิ่งลมโลหะสีเทาห้อยลงมา สั่นสะเทือนด้วยตัวเองจนเกิดท่วงทำนอง ในจุดที่ใกล้กลับลำต้นมีผลไม้โปร่งแสงขนาดเท่ากำปั้น
อัลเจอร์จ้องมองสักพักพลางกดลูกกระเดือก ก่อนจะหันมาพูดกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์
“อุดหูและเพ่งสมาธิให้ดี”
………………………………………………