ณ เมืองโคคัส ราชรัฐคาเลส์…

ก็เพราะตั้งอยู่ติดกับบึงทางตอนใต้ เมืองนี้จึงมีอากาศร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษ แม้จะเป็นเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนก็ตาม บางทีก็มีนกหน้าตาประหลาดโผบินออกมาจากความมืดพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่น่าขนลุกขนพอง

ที่ริมบึง อาร์โนลด์ที่กำลังเฝ้ามองเมืองโคคัสก็ขำขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “เนียลสัน เจ้าคงไม่เคยคิดเลยสินะว่าสักวันจะได้กลับมาเมืองนี้อีก จริงไหม?”

เขากำลังพูดถึงการกลับมาในฐานะเจ้าคนนายคน

ที่นี่ ในฐานะเมืองหลวงของจักรวรรดิแอสโซ มีโครงสร้างพื้นฐานที่สมบูรณ์แบบสำหรับระบบป้องกันที่เจ้าแห่งความตายพัฒนาขึ้นมา เมืองนี้จึงตกเป็นเป้าหมายปฏิบัติการครั้งนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้

เนียลสันตอบด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนพร้อมกับพุงกระเพื่อม “ข้าคิดว่าจะไม่มีวันกลับมาเหยียบโคคัสอีกแล้วในชีวิตนี้… ข้าจำได้ว่าท่านเจ้าแห่งความตายชื่นชมข้าตรงนี้ ตอนข้าขึ้นเป็นผู้วิเศษระดับเก้า”

พริสซิลลายิ้มกลบเกลื่อนความพะว้าพะวง “ข้านึกว่าเป้าหมายคือเรนทาโตเสียอีก ไม่คิดว่าจะเป็นโคคัส”

ปฏิบัติการครั้งนี้ใช้นักเวทชั้นตำนานเกือบทั้งหมดภายใต้การสมคบคิดลับๆ กับอัศวินชั้นตำนาน อย่างไรก็ตาม หลังจากคริสตจักรหลายแห่งถูกทำลาย และหลายๆ เมืองถูกยึดครอง นักเวทระดับอาวุโสจำนวนมากต้องประจำอยู่รักษาความสงบและเตรียมการก่อสร้างระบบป้องกัน ดังนั้น อาร์โนลด์กำลังรอสัญญาณอยู่ที่ริมบึงพร้อมกับเนียลสัน พริสซิลลา อะมานาต้า เฟอร์นันโด และนักเวทคนอื่นๆ

อาร์โนลด์เดาะลิ้น “ดาบแห่งสัจธรรมไม่อยากเสียดินแดนในปกครอง”

“อ้าว ดักลาสไปไหน?” พริสซิลลาคิดหาเหตุผลอธิบาย นางมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นผู้วิเศษดักลาส ซึ่งทำให้นางประทับใจมากมาตั้บแต่สิบปีที่แล้ว

อาร์โนลด์ยิ้ม “ดักลาสบอกว่างงานวิจัยของเขากำลังเข้าช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เขามีภารกิจบางอย่าง ข้าเลยบอกให้เขาไม่ต้องร่วมภารกิจครั้งนี้ก็ได””

แล้วเขาก็หรี่ตาลง “เริ่มแล้ว”

เขาได้รับสัญญาณจากเจ้าแห่งความตาย นักเวทชั้นตำนานทั้งหลายพร้อมปฏิบัติการ

……

ด้านล่างโคลนหนาๆ นครลอยฟ้าที่อยู่ในสภาพยับเยินก็ยังอยู่เหมือนเดิม

ดักลาสนั่งอยู่ในจัตุรัสกลางเมือง ก้มหน้าดูแผ่นกระดาษที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์และตัวเลข

กฎสรุปมาจากบันทึกโหราศาสตร์ขนาดมหึมา และการใช้แคลคูลัสช่วยให้เขาสัมผัสถึงบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังช่องว่างให้เขาคิดใคร่ครวญหลายต่อหลายตลบว่ามันคืออะไรกันแน่

หลายคำถามยังตามหลอกหลอนและตรึงให้เขาอยู่ที่นี่มาหลายวัน แต่จนแล้วจนรอด เขาก็ยังไม่เจอคำตอบที่สมบูรณ์แบบ

ความลับของดาวเคราะห์ และแหล่งพลังงานของโลก ความลับที่สำคัญที่สุดของโลกดูเหมือนอยู่แค่เอื้อม ขอแค่เพียงเขาเปิดประตูและโอบกอดมันเท่านั้น!

เขาขอแค่นี้ครั้งเดียว!

ณ กลางจัตุรัส นักเวทหลายคนที่กำลังเฝ้าสังเกตสังกาที่นี่ เดินไปเดินมาพร้อมกับลูกๆ พวกเขาต่างก็สงสัยในตัวผู้วิเศษสมองเพชรคนนี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้

เด็กๆ วิ่งเล่นอย่างร่าเริงอยู่ไกลๆ หวังแย่งผลไม้ในมือพ่อแม่

……

นครอัลโต้กำลังลุกเป็นเพลิง อาคารค่อยๆ ถล่มทีละหลังๆ วงเวทป้องกันดูเหมือนไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

“เกิดอะไรขึ้น? ระบบป้องกันของเราไปไหน?” เบโต้ที่กำลังอยู่ในงานเลี้ยงสังสรรค์ ไม่คาดคิดว่าศาสนจักรจะโจมตีกะทันหัน หรือระบบป้องกันของอัลโต้จะง่อยเปลี้ยเสียขา!

อัลโต้เป็นป้อมปราการด้านตะวันตกของจักรวรรดิเวทมนตร์ เมืองถูกสร้างไว้คอยรับมือกับสัตว์ประหลาดในหุบเขาความมืด และเป็นเมืองที่มีระบบป้องกันเข้มแข็งเป็นรองเพียงแอนทิฟเฟลอร์เท่านั้น หลังจากนักเวท แวมไพรส์ มังกร เอลฟ์ชั้นตำนานทั้งหลาย และมนุษย์รวมตัวกันที่นี่เพื่อต้านศาสนจักร ระบบป้องกันก็ยิ่งสมบูรณ์แบบและกลายเป็นป้อมปราการที่มั่นคงโดยไม่ต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่าย หลังจากผ่านมาสิบปี อัลโต้ก็แข็งแกร่งเทียบเท่ากับแอนทิฟเฟลอร์ ที่นี่เป็นหนึ่งในไพ่ตายของกองทัพพันธมิตรที่หวังจะต่อกรกับ “พลังพระเจ้าเสด็จ”

อย่างไรก็ตาม ระบบป้องกันกลับไม่ทำงานในช่วงเวลาวิกฤติของบ้านเมืองเช่นนี้!

ฟิวรานรู้สึกสบายๆ มากกว่าจะตื่นตระหนก “เหตุผลเดียวที่ระบบป้องกันไม่ทำงาน ต้องเกิดอะไรขึ้นกับชั้นตำนานที่ดูแลระบบป้องกัน!”

“ใครกัน?” เบโต้ ฝาแฝด และแอนเทคถามขึ้นพร้อมกัน

ฟิวรานมองหน้าทุกคนแล้วก็ถอนหายใจ “ไม่มีสมองกันหรือไง? สิ่งสำคัญที่สุดตอนนื้คือหนีตาย ไม่ใช่มาถามว่าชั้นตำนานคนไหนผิด มีปัญญาฆ่าเขาหรือเปล่า? คาร์ดินัลหลวงกับอัศวินศาสนจักรบินอยู่บนฟ้าอัลโต้แล้ว เจ้ายังมีเวลามาถามอีกเหรอ?”

ครั้งนี้นางสื่อสารผ่านกระแสจิต ขณะที่ด่าเตือนสติ นางก็ลงไปชั้นใต้ดินของคฤหาสน์ด้วย “ห้ามออกไปข้างนอก เดี๋ยวซวยเจอลูกหลงที่ชั้นตำนานสู้กันตายเปล่าๆ ห้ามไปหาอาจารย์ด้วย พวกอาจารย์คงถูกคาร์ดินัลหลวงและอัศวินชั้นตำนานควบคุมตัวไว้แล้ว หนีออกจากเมืองทางช่องลับ แล้วซ่อนตัวในหุบเขาความมืดก่อน แล้วค่อยมาคิดกันว่าเกิดอะไรขึ้น!”

ลูกศิษย์ที่ภาคภูมิของเหล่าชั้นตำนานต่างหากันหวาดกลัว ไม่มีใครรู้ว่าต้องทำอะไร เพราะไม่เคยมีประสบการณ์ เรื่องคงจะดีกว่านี้ถ้าสแตนิสอยู่ด้วย แต่เขาก็เข้าไปเสาะหาของในหุบเขาความมืดอีกแล้ว

โชคยังดีที่ฟิวรานสุขุมและแสดงความเป็นผู้นำออกมา นางชี้ให้เห็นทางออกที่ดีที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้

แอนเทคตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัว เขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าจะต้องเผชิญอันตรายร้ายแรงขนาดนี้ เขาชอบซ่อนตัวในเงามืดและจัดการศัตรูด้วยการสร้างความฝันและภาพมายามากว่า แต่ตอนนี้เสียงดังกัมปนาทกลางท้องฟ้าบีบหัวใจของเขาตลอดเวลา

ทันใดนั้น มีแสงบริสุทธิ์เจิดจ้าพุ่งลงมาจากท้องฟ้า และชำระล้างทุกสรรพสิ่งที่มีมลทินราวกับเป็นพระบัญชาของพระเจ้า

ลำแสงสะท้อนไปตามแผ่นกระจกปริศนาที่ไม่รู้โผล่มาจากที่ไหน และแยกลำแสงให้แตกออกไปหลายทิศทาง หนึ่งในลำแสงพุ่งทำลายบ้านหลังที่ฟิวรานกับสหายซ่อนตัวอยู่อย่างไม่พลาดเป้า

ลำแสงศักดิ์สิทธิ์แผดเผาทุกอย่าง เสียงปะทะดังขึ้นเพียงชั่ววูบราวกับเสียงค้อนในมือผู้พิพากษา แล้วบ้านทั้งหลังก็หายไป

อีกเพียงก้าวเดียว เบโต้ ฟิวราน แอนเทค และคนที่เหลือก็จะลงมาถึงชั้นใต้ดินแล้ว แต่ทุกคนถูก ‘ลำแสงพิพากษา’ กลืนกินเสียก่อน

เมื่อเห็นร่างและวิญญาณของตนกลายเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ในพริบตา เบโต้มีความคิดเลือนลางสุดท้ายเหลืออยู่ในหัว ข้าจะตายง่ายๆ แบบนี้งั้นเหรอ?

ในยุคแห่งความโกลาหลและความมืด เบโต้ก็ไม่มั่นใจหรอกว่าจะโอกาสได้แก่ตายตามธรรมชาติ แม้เขาจะเป็นลูกศิษย์ของนักเวทชั้นตำนาน เขาจินตนาการภาพการตายไว้ต่างๆ นานา และทุกภาพล้วนเป็นการตายเยี่ยงวีรบุรุษ บางภาพเป็นการสู้กับชั้นตำนาน ส่วนบางภาพเขากำลังตอบโต้อย่างสิ้นหวัง หลังจากถูกซุ่มโจมตี

อย่างไรก็ดี เขาเพิ่งมารู้เอาวันนี้ว่าเขาจะตายง่ายๆ แบบนี้ และไม่มีใครรับรู้เลยด้วยซ้ำ ลูกหลงจากสงครามระหว่างชั้นตำนานสองคนกลับคร่าชีวิตเขาอย่างไม่เหลือซาก!

ไม่ใช่การตายเยี่ยงวีรบุรุษแม้แต่น้อย เขายังไม่ทันได้เริ่มสู้เลยด้วยซ้ำ! เขาคุ้นเคยกับคนธรรมดาๆ ที่ตายในสงครามครั้งก่อนๆ ดี

“งั้นข้าก็ไม่ใช่วีรบุรุษสินะ…” แล้วสติสัมปชัญญะของเบโต้ก็ดับไม่เหลือ

แอทเทคเองก็รู้สึกเหมือนกันว่าร่างและวิญญาณกำลังสลายไปในชั่วพริบตา ไม่มีความกลัวหลงเหลืออยู่แล้ว แต่เต็มไปด้วยความสังเวชใจที่อธิบายไม่ได้ “ข้ายังไม่ได้สร้างฝันจริงๆ เลย…”

“ข้ายังสร้างฝันต่อเนื่องหลายวันไม่สำเร็จ…”

“ข้าไม่ได้เจอเฟอร์นันโดอีกแล้ว…”

“เอาจริงๆ ตอนแปลงร่างเป็นนันโดเขาสวยจัง ถึงจะสวยสู้ฟิวรานไม่ได้ก็เถอะ…”

ฟิวรานนิ่งอึ้ง มองดูเบโต้ แอนเทค และสหายคนอื่นๆ ถูกแสงศักดิ์สิทธิ์กลืนกิน แสงสว่างจากการดิ้นรนเอาชีวิตรอดของพวกเขาเปล่งประกาย แต่แล้วก็ถูกดูดกลืนหายไป นางรู้ดีว่านางอาจพบจุดจบเดียวกันนี้

“ข้าต้องไม่ตายที่นี่!”

“ราชินีที่จะเป็นนักเวทตำนานในอนาคตอย่างข้า จะมาตายง่ายๆ เหมือนนักเวทกระจอกๆ ไม่ได้”

“ความฝันหลายอย่างยังไม่สำเร็จ ข้าต้องแก้แค้นนันโด จับเขาแปลงเป็นหญิงจริงๆ เสียก่อน…”

ความทะเยอทะยาน ความปรารถนา และความฝันประเดประดังเข้ามา แต่การดิ้นรนของฟิวรานไร้ประโยชน์ หลังจากสภาวะวิกฤติชั่วพริบตา นางก็ถูกแสงศักดิ์สิทธิ์กลืนกิน เหลือไว้เพียงความสลดหดหู่

ตลอดเวลาที่ต่อสู้กับ ชั้นตำนานทั้งสองคนที่บินอยู่บนฟ้าไม่ได้เหลียวมองบ้านหลังนี้แม้แต่น้อย

ทั้งบ้านสูญสลายไป เหลือเพียงซากกำแพงปรักหักพังที่กำลังไฟไหม้ ไม่มีใครรู้ว่าเปลวไฟกลุ่มนี้กำลังบอกเล่าเรื่องราวของเหล่าลูกศิษย์ของนักเวทชั้นตำนานที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอด เพียงเพื่อจะตายอย่างเงียบงัน

ไม่ว่าแรงปรารถนาและความฝันจะยิ่งใหญ่สักแค่ไหน พวกเขาก็ต้องตายด้วยวัยเพียงเท่านี้!

หลังจากลมร้อนพัดผ่านไป ก็ไม่มีใครเห็นแม้แต่เถ้าธุลีของพวกเขา

……

ราชาฝันร้าย ปรมาจารย์ดวงดาว และนักเวทชั้นตำนานอีกคนหนึ่ง กำลังต่อสู้กับพระคาร์ดินัลหลวงและอัศวินชั้นตำนานสองสามคนอย่างดุเดือด และสื่อสารกันผ่านกระแสจิต

“เราหยุดพวกมันไม่อยู่ แดรกคูลากำลังเสียท่าเกรกอรี่ เจ้ามหาสมุทรไร้พรมแดนก็มีพลังมนุษย์ครึ่งเทพ”

“เมแคนทรอนสกัดดานิซอสได้ อีวานกับรูดอล์ฟกำลังสู้กับเทพีแห่งปฐพีกับราชินีเอลฟ์…”

“จันทราสีเงินยังไม่ปรากฏตัวอีก?”

“ไม่? เราต้องทำยังไง?”

“เราต้องใช้ที่พึ่งสุดท้าย! ถึงเวลาใช้คิวฟูเรย์!”

“แบบนี้ เราต้องอัญเชิญเจ้าแห่งนรกเท่านั้น!”

หลังจากจันทราสีเงินพลาดการสังหารโป๊บองค์ก่อน นักเวทชั้นตำนานก็ตัดสินใจใช้ไพ่ตายในการรบอีกใบ แม้จะหมายถึงการขายวิญญาณให้กับปีศาจก็ตาม!

ทันใดนั้น ปรมาจารย์ดวงดาวก็พูดออกมาอย่างละล่ำละลัก “ไม่มีประโยชน์! บูชายัญเลือดในคิวฟูเรย์ไม่มีประโยชน์!”

“นั่นมันเขา! แบนแฮม!” ในที่สุดก็มีคนรู้เสียทีว่าเขาเป็นคนทรยศ เขาคือแบนแฮม เพลิงต้นกำเนิด!

เพราะช่วงนี้ไม่ใช่หน้าที่ของเพลิงต้นกำเนิดในการเฝ้าระวังเมือง แรกๆ เลยไม่มีใครสงสัยเขา แต่จากที่เห็น เขาต้องลอบสังหารนักเวทชั้นตำนานที่ทำหน้าที่ดูแลเมืองแล้วแน่ๆ!

ในเมืองไพ่ตายสุดท้ายก็ใช้ไม่ได้ ปรมาจารย์ดวงดาว ราชาฝันร้าย และพวกนักเวทที่เหลือก็ไม่คิดสู้อีกแล้ว ต่างคนต่างมองหาโอกาสหนีตาย

แต่ในทันใดนั้นเอง จู่ๆ ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นกลางท้องฟ้า หน้าของเขาซีดเผือด ผิวกายดำขลับ แต่กลับดูสง่างามด้วยมงกุฎและคทาทองคำขาวอันศักดิ์สิทธิ์

“เกรกอรี่!”

“โป๊บ!”

“แดรกคูลากับเจ้ามหาสมุทรไร้พรมแดนสกัดเขาไม่อยู่รึ?”

โป๊บเกรกอรี่ยิ้ม “จันทราสีเงินไม่โผล่มาช่วย แดรกคูลาก็หนีไปตั้งแต่ไก่โห่ พอเขาหนีไป ฮาเร็กซ์ก็ไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งเหมือนกัน”

หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เขาก็มองไปยังกลุ่มนักเวทชั้นตำนาน “พลังพวกเจ้ายังไม่ถึงขั้นสูงสุดสักคน สงสัยจังว่าพวกเจ้ารวมหัวกันแล้วจะรับพลัง ‘แสงพิพากษา’ ของข้าได้ไหม”

เมื่อนักเวทระดับสามเหิมเกริมต่อกรกับมนุษย์ครึ่งเทพ คงต้องตายในพริบตา ถ้าไม่มีเวทมนตร์ประหลาดๆ มาช่วยให้หนีรอด ยิ่งไปกว่านั้น ในสถานการณ์ตอนนี้ พวกเขายังถูกพระคาร์ดินัลหลวงและอัศวินชั้นตำนานรุมกินโต๊ะอีกต่างหาก

“ทำไมเขาไม่ไปไล่ล่าพวกชั้นตำนานขั้นสูงสุด แต่มาสนใจพวกเราที่เหลือ?” นั่นเป็นห้วงความคิดสุดท้ายของราชาฝันร้ายและนักเวทที่ยังมีชีวิตรอดอยู่

………………………………………………………