GGS:บทที่ 986 กวน

หลังจากที่ซูจิ้งเผยแพร่เนื้อหาในตำราแพทย์ที่สาธารณะชนเชื่อกันว่าเป็นตำราสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกปล่อยออกไปได้สามวัน ในตอนนี้รูปถ่ายทั้งหมดได้อัพขึ้นที่เว็บไซต์ทางการของพิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์ด้วยเช่นกัน
และนั่นยิ่งทำให้ภาพเนื้อหาของตำราเผยแพร่ไปทั่วอินเตอร์เนตอย่างบ้าคลั่งจนในตอนนี้เหล่าผู้คนในวงการแพทย์ต่างถือว่าตำราเริ่มนี้เปรียบได้ดั่งไบเบิ้ลแห่งวงการแพทย์ไปเรียบร้อยแล้ว
แม้แต่คนทั่วไปที่ไม่รู้เรื่องทางการแพทย์ก็ยังอดไม่ได้ที่จะดาวน์โหลดเอาไว้เพื่อศึกษาราวกับว่าใครไม่มีถือว่าเป็นคนบาปก็ไม่ปาน หลังจากนั้นไม่นานก็มีเวอร์ชั่นดัดแปลงที่อ่านเข้าใจง่ายอัพโหลดไว้ในอินเตอร์เนต นี่ยิ่งทำให้ตำรานี้มีคนสนใจดาวน์โหลดเก็บไว้เพิ่มขึ้นไปอีก

ในขณะที่โลกภายนอกกำลังบ้าคลั่งเกี่ยวกับตำรานี้ ซูจิ้งนั้นยังคงสนใจเพียงการรักษาพ่อของชายหนุ่มที่ป่วยเป็นโรคALSในตอนต้น
และด้วยการที่ผ่านการรักษามาแล้วสองคนทำให้การรักษาพ่อของชายหนุ่มคนนี้ทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ซูจิ้งใช้เวลาเพียงสามวันก็รักษาพ่อของชายหนุ่มได้สำเร็จจนสามารถยืนและเดินได้แล้ว ที่เหลือก็เพียงแค่ใช้เวลาในการฟื้นตัวเท่านั้น
ครอบครัวของผู้ป่วยโรคALSทั้งสามรายต่างก็มาแสดงความขอบคุณอย่างที่สุด และยินดีที่จะจ่ายเงินค่ารักษากว่าสามร้อยล้านหยวนอย่างยินยอมพร้อมใจ
แน่นอนว่าค่ารักษาส่วนนี้รวมกับค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยโรคALSที่เขาได้พามาก่อนหน้านี้ด้วย

ในวันนี้เดียวกันนี้เอง โรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนได้รับสายจากอังกฤษเพื่อเชิญซูจิ้งให้ไปรักษาคุณฮอว์กิ้น
ด้วยอาการของคุณฮอว์กิ้นนั้นหนักมากจนไม่สามารถขึ้นเครื่องมายังประเทศจีนได้จึงทำได้เพียงโทรมาขอร้องเท่านั้น
แน่นอนว่าพวกเขายินดีที่จะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งร้อยล้านหยวนในการรักษาและเพิ่มอีกสิบล้านเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
“อาจิ้ง นายจะไปรึเปล่า” ลูฉินหมิงที่ได้ยินข่าวนี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยความตื่นเต้น แน่นอนว่าข่าวการรักษาผู้ป่วยโรคALดังไปทั่วโลก ถึงแม้จะยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่เชื่อเรื่องนี้และทำได้เพียงคิดว่าเป็นเพียงเรื่องเหลือเชื่อเท่านั้น
แต่หากซูจิ้งไปรักษาคุณฮอว์กิ้งจริงล่ะก็แน่นอนว่าทุกคนต้องเชื่อซูจิ้งอย่างแน่นอน เหตุผลก็เพราะว่าเขานั้นเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่น้อยคนนักจะไม่รู้จัก
และทุกคนต่างรู้ดีว่านั้นป่วยเป็นโรคALS หากซูจิ้งไปรักษาได้สำเร็จล่ะก็แน่นอนว่าจะทำให้ซูจิ้งนั้นมีชื่อเสียงมากกว่าเดิม

“แน่นอน” ซูจิ้งพยักหน้ารับอย่างไม่อิดออด สำหรับเขาแล้วนี่ถือได้ว่าเป็นการท้าทายเลยทีเดียว แน่นอนว่าเขายินดีที่จะรับคำท้านี้อย่างแน่นอน
“นายจะเพิ่มค่ารักษาด้วยรึเปล่า คุณฮอว์กิ้งเขานั่งรถเข็นมากว่าห้าสิบปีแล้วนะ แถมเขายังแก่มากแล้วด้วย ฉันว่าเรื่องนี้จะทำให้การรักษาเขานั้นยากขึ้นอย่างมาก”
ลูฉินหมิงได้พูดออกมาเพราะว่าเขานั้นรู้ดีว่าฮอว์กิ้งนั้นมีความสามารถพอที่จะจ่ายค่ารักษาได้มากกว่านี้ ต่อให้ไม่สามารถแน่นอนว่าชายอังกฤษนั้นยินดีที่จะช่วย
“ไม่หรอกครับหนึ่งร้อยสิบล้านหยวนนี่ก็มากพอแล้ว”
เอาจริงๆนั้นเขาไม่อยากจะเก็บค่ารักษาเลยด้วยซ้ำ นั่นก็เพราะเขาเองก็คิดเช่นเดียวกับลูฉินหมิงที่ว่าการรักษาฮอว์กิ้งนั้นเทียบได้กับการสร้างชื่อเสียงให้ตัวเขาเอง ต่อให้ไม่ได้เงินนี้มาก็เทียบได้กับเขาได้รับการโฆษณาที่มีค่ากว่าพันล้านหยวนอย่างแน่นอน
สำหรับเรื่องเกี่ยวกับเรื่องอายุที่ทำให้การรักษายากขึ้นนั้นเขาไม่ได้มีปัญหาเลยแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะเขานั้นมีของดีๆมากมายที่จะเสริมสร้างร่างกายให้กับฮอว์กิ้ง ไม่ว่าจะเป็นพลังวิญญาณ พลังศักดิ์สิทธิ์ ลูกท้อเสริมอายุ และของอื่นๆอีกมากมาย แน่นอนว่าหากทำให้ฮอว์กิ้นหายได้ของเหล่านี้ย่อมคุ้มค่าที่จะใช้
เมื่อตัดสินใจได้ซูจิ้งได้โทรไปหาหวังจ้าวและเฉิงหนานเพื่อบอกเรื่องที่เขาจะไปอังกฤษให้ฟังและฝากฝังงานฝั่งนี้ไว้ให้ดูแลระยะหนึ่ง

ด้วยเหตุที่ว่าช่วงที่ผ่านมาเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้โรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนและพิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์นั้นได้รับความนิยมอย่างมากจนทำให้เหล่าคนรวยนั้นยินดีที่จะเข้ามาให้เขารักษาแทบจะเรียงแถวมา
นี่ทำให้เขานั้นได้รับเงินค่ารักษามาจำนวนมาก แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาเกลียดซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย กลับกันพวกเขายิ่งรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับการรักษาอย่างชิดใกล้กับซูจิ้งเสียด้วยซ้ำ

ถึงแม้หลายๆคนที่เข้ามา เป้าหมายหลักคือการหาวิธีที่จะได้ร่วมลงทุนกับซูจิ้ง แต่หลังจากที่ซูจิ้งได้รักษาพวกเขายังดีทำให้พวกเขานั้นยินดีที่จะจ่ายเงินโดยไม่ได้พูดเรื่องที่คิดออกมาแม้แต่น้อย
ถึงแม้พวกเขานั้นจะไม่สามารถรับประกันได้ว่าหลังจากที่ซูจิ้งรักษาพวกเขาแล้วจะเจ็บป่วยอีกหรือไม่ แต่ในตอนนี้สำหรับการได้พบเจอใกล้ชิดกับซูจิ้ง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นหมอเทวดาสำหรับพวกเขานั้น นี่ทำให้พวกเขารู้สึกได้เลยว่ามีภูมิคุ้มกันในชีวิตเพิ่มเติมเรียบร้อยแล้ว

“หัวหน้าคะ ถ้าคุณสามารถรักษาคุณฮอว์กิ้นได้ล่ะก็ชื่อเสียงของคุณจะพุ่งสูงขึ้นจนนึกภาพไม่ออกเลยนะคะ แถมนั่นจะทำให้ชื่อเสียงของโรงพยาบาลกังเฟิงเพิ่มขึ้นตามอย่างแน่นอน เรื่องนี้มีแต่ได้กับได้ค่ะ” เฉิงหนานพูดออกมาด้วยความยินดีอย่างเห็นได้ชัด
“…..เธออยากจะสื่ออะไรกันแน่น่ะ” ซูจิ้งถามออกมาอย่างสนใจ
“ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ เอาจริงผลิตภัณฑ์เสริมความงามอย่างผงเสริมทรวงอก ผงกระชับทัดส่วน และผงเสริมความงามของพวกเราแล้ว พูดกันจริงๆก็ถือได้ว่าเป็นยาอย่างหนึ่งเหมือนกัน แค่หัวหน้ารักษาสำเร็จก็เทียบกับเป็นการโฆษณาไปในตัวอยู่แล้ว
ตราบใดที่หัวหน้าพูดออกมาให้ชัดเจนนิดหน่อยว่าของพวกนี้เป็นหัวหน้าที่คิดค้นและวางขายทั่วไปพร้อมบอกสรรพคุณ เพียงเท่านี้พวกเขาก็จะเชื่อมั่นและยินดีที่จะหามาใช้อย่างแน่นอน”
เฉิงหนานพูดออกมาอย่างกระจ่างชัด
“โอ้ ความคิดดีเลยนะนั่น จัดไปอย่าให้เสีย” ซูจิ้งพยักหน้ารับ
“ยิ่งไปกว่านั้นฉันว่าพวกเรานั้นมีศักยภาพพอที่จะทำโรงพยาบาลแบบสาขาได้นะคะ แน่นอนว่าโรงพยาบาลสาขานี้จะไม่เหมือนโรงพยาบาลกังเฟิงโดยจะไม่มีคลีนิกพิเศษและเก็บค่ารักษาในอัตราปกติ” เฉิงหนานพูดออกมา
“อันนั้นฉันก็เห็นด้วยนะ แต่ว่าเราเองก็จะรีบร้อนในเรื่องนั้นไม่ได้เหมือนกัน ต่อให้มันเป็นโรงพยาบาลสาขาก็จริง แต่ยังไงซะเราก็ต้องหาทั้งบุคลากรทางการแพทย์ อุปกรณ์ และยา ที่ต้องดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าโรงพยาบาลหลัก หากเรารีบเกินไปนั่นอาจทำให้เราอาจจะได้ไม่คุ้มเสียเหมือนกัน” ซูจิ้งพูดออกมา

“แน่นอนค่ะ ฉันเข้าใจเรื่องนี้ดี” เฉิงหนานพูดออกมา
“ดี เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันจะจัดการเรื่องแรกให้เธอก่อน ส่วนเรื่องอื่นนั้นเธอก็วางแผนคุยกับลูกพี่ไปก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยมาหารือกับฉันอีกที” ซูจิ้งพูดจบก็ได้วางสายไป

หลังจากนั้นซูจิ้งได้โทรไปหาคนอื่นๆที่เขาสนิทด้วยอย่างพ่อแม่ ฉือชิง และเพื่อนคนอื่นๆตลอดจนคนที่เขามีความสัมพันธ์อันดีด้วยก่อนที่จะไปประเทศอังกฤษ
และไม่นานนักข่าวการเดินทางไปอังกฤษเพื่อรักษาฮอว์กิ้งก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
“ฮอว์กิ้งนี่ใช่คนท่าทางแปลกๆที่นั่งบนรถเข็นนั่นรึเปล่า เขาสุดยอดอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ๆ คนนั้นแหล่ะ ฉันเคยอ่านหนังสือที่เขาเขียนที่มีชีวิตประวัติโดยย่อของกาลเวลาด้วยนะ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ค่อยเข้าใจมากนักแต่ฉันก็รู้ว่ามันสุดยอดจริงๆ”
“ฉันเคยได้ยินมาว่าเขานั้นถูกขนานนามราชันแห่งจักรวาลเลยนะ เขานั้นเป็นสุดยอดนักฟิสิกข์แห่งยุคนี้เลยนะ และแน่นอนว่าเขานั้นเป็นที่รู้จักไม่น้อยกว่านิวตันและไอน์สไตน์เลย
หากว่าเขาได้รับการรักษาล่ะก็ เขาจะต้องสร้างสิ่งดีๆกับโลกนี้ได้อีกมากมายเลยนะ”
“ฉันรู้จักนะ เขานั้นได้เป็นแขกรับเชิญในรายการบิ๊กแบงบ่อยๆด้วยนะ”
“แต่ว่าเขานั้นแก่มากแล้วไม่ใช่เหรอ เขาอยู่บนรถเข็นมานานกว่าห้าสิบปีแล้วนะ ต่อให้ซูจิ้งรักษาหายได้แต่เขาก็อายุมากเกินไปแล้ว”
“ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหล่ะ นี่จะทำให้การรักษาโรคALSยากขึ้นไปอีก”
ไม่เพียงแค่ในประเทศจีนเท่านั้น ในตอนนี้แม้แต่ทั่วทั้งโลกต่างก็สนใจเรื่องนี้กันอย่างมาก แต่หลังจากที่ซูจิ้งไปถึงอังกฤษและได้พบฮอว์กิ้งเรียบร้อยแล้วแล้ว ข่าวของพวกเขาก็ได้ขาดหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้ไม่มีใครรู้เลยว่าการรักษาเป็นอย่างไรบ้าง

แต่เพียงชั่วพริบตา หลังจากการเข้าพบไปห้าวัน ฮอว์กิ้งและซูจิ้งได้เผยตัวต่อหน้าสาธารณชนในรูปแบบการสตรีมมิ่ง
ในการสตรีมนั้นฮอว์กิ้งสามารถยืนขึ้นได้เอง ก่อนที่จะพยายามเดินไปตามราวเกาะที่ติดตั้งไว้ตามกำแพง หลังจากนั้นจึงพักโดยการใช้เครื่องช่วยเดินกลับมานั่งที่ตามแบบคนแก่ธรรมดาคนหนึ่ง แต่เพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนทั่วทั้งโลกตกตะลึงกันไปจนทั่วแล้ว

ทางด้านฉิวจิงนั้น ทันที่เขาได้เห็นฉากที่ฮอว์กิ้งสามารถลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองได้ในช่องสตรีมนั้นใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นโง่งมในทันที ใบหน้าของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียวไปทั่วจนเสื่อมราศีไม่เหลือเค้าโครงความหล่อเลยสักนิด
เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาได้มีเรื่องชกต่อยกับสตรีมเมอร์ที่เขาชวนให้มาเปิดโปงซูจิ้ง ในตอนนั้นไม่เพียงที่จะเขาต้องเสียโฉมแล้ว เขายังต้องจ่ายเงินค่าจ้างและค่าบาดเจ็บอีกด้วย
ในช่วงๆที่เขาวุ่นวายกับเรื่องนี้พอรู้ตัวอีกทีซูจิ้งก็ได้กลายเป็นข่าวยิ่งกว่าเดิมไปแล้ว นี่ทำให้เขารู้สึกอนาถใจในตัวเองอย่างมาก
นั่นก็เพราะว่าเมื่อก่อนแล้วเขาถือว่าตัวเองอยู่สูงกว่าซูจิ้งอย่างมาก แต่ในตอนนี้นั้นช่างกลับตาลปัตรกันอย่างสิ้นเชิง

ตอนนี้ผู้คนในอินเตอร์เน็ตได้ตามรังควานเขาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าเขาจะโพสต์หรือถ่ายรูปอะไรก็ตามก็โดนหาเรื่องด่าไปหมด ตอนไปทำงานเอง เขาก็ถูกญาติผู้ป่วยที่พบเจอชี้นิ้วใส่เขาแล้วนินทาออกมา
แม้แต่คนไข้เองก็ยังขอเปลี่ยนตัวเขาออกจากการเป็นแพทย์ผู้ดูแลทันทีที่เห็นหน้า ด้วยเหตุผลที่ว่าฉิวจิงนั้นเก่งแต่เรื่องทำให้คนอื่นเสียชื่อเสียง
แถมตอนนี้เขาก็ถูกเรียกเข้าไปพบประธานผู้บริหารบ่อยๆทุกครั้งที่คนไข้ขอเปลี่ยนตัว เขาโดนบอกมาว่าหากเขานั้นไม่สามารถล้างชื่อเสียงด้านไม่ดีนี้ออกไปได้โดยเร็วล่ะก็เขาจะถูกเชิญออกจากโรงพยาบาล
ฉิวจิงนั้น เมื่อเขาได้คิดเรื่องพวกนี้มากขึ้นเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจซูจิ้งมากขึ้นเท่านั้น เขารู้ดีว่าตอนนี้ทางแก้ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือการพูดคุยและปรับความเข้าใจกลับทุกคน
แต่ถึงเขาจะอยากพูดคุยและปรับความเข้าใจขนาดไหนก็ตาม ชาวเน็ตในตอนนี้ก็ไม่มีทางรับฟังเขาอีกต่อไป เพราะคนเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นแฟนคลับของซูจิ้งที่เขาเคยไปด่าว่าไว้มากว่าอวยไม่ดูตาม้าตาเรือ
แม้แต่เรื่องที่ฉิวจิงได้มุดอยู่แต่ในรูแล้วทำการปลุกระดมผู้คนให้รังควาญซูจิ้งนั้นก็ยังโดนขุดขึ้นมา นั่นเป็นเหตุให้ในตอนนี้ฉิวจิงต้องโดนเสียบประจานทั้งเป็นอยู่อย่างตอนนี้

ในขณะที่ฉิวจิงกำลังนั่งหน้าตาบูดเบี้ยวด้วยความโกรธอยู่นั้น เขาได้ยินเสียงบางอย่างมาจากห้องนอนของตัวเอง เขาจึงลองขึ้นไปดูก็พบภรรยาของเขา เมิ่งเซียง กำลังเก็บเสื้อผ้าของเธอใส่กระเป๋า พร้อมทั้งเก็บของๆเธอลงกล่องอยู่
ฉิวจิงถึงกับหน้าถอดสีไปเล็กน้อยก่อนที่จะถามออกมาว่า “เมื่งเซียง เธอกำลังทำอะไรน่ะ”
“อะไรซะอีกล่ะ แค่เห็นก็รู้แล้วนะ เราเลิกกัน” เมิ่งเซียงพูดออกมาด้วยท่าทีเรียบเฉย
“ไม่เอาน่าเมิ่งเซียง อย่าจากฉันไปเลยนะ ตอนนี้ฉันเสียงานของฉันไปแล้ว หากเสียเธอไปอีกฉันจะอยู่ได้ยังไงกัน” ฉิวจิงได้รีบเข้าไปโอบกอดเมิ่งเซียงพร้อมร้องขอภรรยาของตนในทันที
“เรื่องนี้จะโทษใครไม่ได้หรอกนอกจากตัวนายเองเท่านั้น เพียงเพราะนาย ต่อให้นายงี่เง่าขนาดไหนฉันก็ยังทนได้ ไม่ว่าพ่อแม่ของนายจะโหดร้ายกับฉันขนาดไหนฉันก็ยังทนได้ นี่ฉันยังดีไม่พอหรอกเหรอ
พอมาตอนนี้ ฉันเจอคนที่สามารถรักษาฉันจนได้แล้ว แต่นายก็ยังไปทำให้เรื่องเสีย
นายลองมองดูตัวเองตอนนี้สิ อย่าว่าแต่จะเป็นหมออนาคตไกลเลย เป็นหมอยังไม่ได้ด้วยซ้ำ
แล้วนายจะให้ฉันทนอยู่กับคนที่คอยบั่นทอนชีวิตของฉันแบบนี้เนี่ยนะ แถมยังต้องทนกับพ่อแม่ที่ไม่ชอบฉันมาทั้งชีวิตการแต่งงานนี้อีก
หากฉันยังอยู่แต่ไปล่ะก็ ขอถามหน่อยเถอะว่าปลายทางชีวิตของฉันจะเป็นยังไง ขอบอกเลยนะว่าฉันนึกถึงสิ่งดีๆไม่ออกเลยสักนิด”
เมิ่งเซียงได้ปลดปล่อยคำพูดที่อดกลั้นเอาไว้ในใจมาเนินนานราวกับว่ากำแพงความอดทนของเธอได้พังทลายลงไปแล้ว
เมื่อพูดจบแล้ว เมิ่งเซียงก็ได้ผลักฉิวจิงที่กำลังนิ่งอึ้งอยู่ให้ปล่อยเธอจนล้มจ้ำเบ้าไปกับพื้นอยู่ข้างๆ ก่อนที่เธอจะหยิบกระเป๋าของเธอแล้วเดินจากไปอย่างสงบเงียบ
ฉิวจิงในตอนนี้ทำได้เพียงมองแผ่นหลังของเมิ่งเซียงเดินจากไปอย่างเงียบๆอยู่กับพื้นโดยที่พูดอะไรไม่ออก

จนในที่สุดเมื่อเขารู้สึกตัวเมิ่งเซียงก็จากไปไกลแล้ว เขานั้นก็ทำได้เพียงนั่งชันเข่าคุดคู้อยู่กับพื้นพลางใช้แขนรัดพันหน้าตัวเองก่อนที่จะร้องไห้ออกมา
มาถึงตอนนี้เขาได้ทบทวนเรื่องราวต่างๆและระพึงในใจเกี่ยวกับเรื่องราวที่ซูจิ้งพลางสงสัยว่าตัวเขานั้นทำอะไรผิดไปกัน
พอมาคิดๆดูแล้วซูจิ้ง คนที่เขาโทษนักโทษหนาก็ไม่เคยทำอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อยตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ แทบจะบอกได้ว่าซูจิ้งไม่เคยสนใจการคงอยู่ของเขาด้วยซ้ำ
มีเพียงเขาเท่านั้นที่ก่อเรื่องราวไว้มากมายจนทำให้ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่ถึงจะคิดได้แบบนี้เขาก็ยังคงระพึงไปมาไม่รู้ว่าทำไมชีวิตของตัวเองถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร