ตอนที่ 656 ฉิวหลงจื่อ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 656 ฉิวหลงจื่อ โดย Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัดออกมา เคล็ดกระบี่ที่ท่องอยู่ในใจหยุดลงทันที

แสงกระบี่สีเขียวเปล่งประกายออกมา และกลายเป็นกระบี่ยักษ์สีเขียวทันที มันกะพริบแค่ทีเดียวก็ฟันแสงสีเทาจนขาด จากนั้นก็ม้วนเอาวิญญาณกระบี่รูปมนุษย์ไว้อย่างรวดเร็ว

ขณะที่มีเสียงฉีกขาดดังออกมา วิญญาณกระบี่ก็ถูกปั่นเป็นชิ้นๆ โดยไม่ทันได้ส่งเสียงร้อง พอเกิดเสียงดัง “ปัง!” มันก็กลายเป็นหมอกควันสีเทา ปราณกระบี่เล็กละเอียดราวกับเส้นผมลอยออกมา และแผ่คลื่นกลิ่นไอกระบี่อันแข็งแกร่ง

หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ร่างของเขากะพริบมาปรากฏตัวข้างปราณกระบี่แวววาวอย่างรวดเร็ว พอคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ พลังไอกระบี่สายนี้ก็จมเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณของเขา

ขณะเดียวกัน ตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุที่ลอยอยู่เงียบๆ ก็สั่นสะท้านราวกับมีชีวิตขึ้นมา ระหว่างที่มันกะพริบไม่กี่ที ก็ดูดพลังไอกระบี่ในทะเลจิตวิญญาณไปจนหมดเกลี้ยง

ภายใต้การกวาดจิตดูของหลิ่วหมิง ก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าพลังของจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ฟื้นฟูเล็กน้อยแล้ว เขาจึงพยักหน้าด้วยความพอใจ

จากนั้นเขาใช้มือข้างหนึ่งเรียกกระบี่บินสีเขียวกลับมา และขณะที่กำลังจะขี่แสงกระบี่ไปด้านหน้าต่อนั้น กลับมีแสงสีเงินอีกลำพุ่งเข้ามา

หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน หลังจากเขม้นตามอง ก็มองเห็นสิ่งที่ห่อหุ้มอยู่ในแสงสีเงินอย่างชัดเจน ที่แท้มันก็เป็นวิญญาณกระบี่รูปมนุษย์เช่นกัน ดูจากกลิ่นไอที่มันแผ่ออกมาแล้ว ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกว่าวิญญาณกระบี่ในก่อนหน้านั้นตั้งกี่เท่า

และด้านหลังของเขาก็มีแสงกระบี่สีทองขนาดใหญ่ลำหนึ่งพุ่งยิงเข้ามา ดูเหมือนว่าจะไล่แสงกระบี่ในเมื่อครู่อยู่

หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ขณะที่กำลังจะหลบวิญญาณกระบี่สีเงินนั้น กลับมีเสียงบ้าระห่ำดังมาจากที่ไกลๆ

“ศิษย์น้องตรงหน้า ช่วยข้าสกัดกั้นเจ้าแสงสีเงินนี้หน่อย!”

ขณะที่พูด แสงกระบี่สีเงินก็กะพริบมาถึงตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

หลิ่วหมิงรู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่ในที่สุดก็ชี้นิ้วออกมาไป กระบี่สีเขียวใต้เท้ากะพริบออกมาอีกครั้ง และกลายเป็นแสงกระบี่ยักษ์ลำหนึ่ง พอมันฟันลงไป เงากระบี่สีเขียวเจ็ดแปดเงาก็ปิดทางหนีของวิญญาณกระบี่ไว้ทั้งหมด

“ฮึ่ม……!”

ดูเหมือนวิญญาณกระบี่จะรู้สึกไม่พอใจที่ถูกหลิ่วหมิงขวางทางกะทันหัน มันจึงส่งเสียงคำรามด้วยความโมโห และแสงสีเงินบนตัวก็เปล่งประกายมากขึ้นกว่าเดิม

ครู่ต่อมา ขณะที่เกิดเสียงดัง “ฟิ้วๆ!” ติดต่อกันนั้น เงากระบี่สีเขียวก็พากันปะทะลงบนกระบี่สีเงิน!

ฉากที่ทำให้หลิ่วหมิงประหลาดใจได้เกิดขึ้นแล้ว!

แสงสีเงินเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งสองสามทีก็กลับมาสงบดังเดิม และเงากระบี่กลับค่อยๆ แตกกระจายออกมา

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ความเร็วของมันได้หยุดชะงักลงในทันที และในระหว่างเวลานี้ก็มีเสียงแหลมดังขึ้นมา จากนั้นแสงสีทองเจิดจ้าก็ตามมาทัน

ห่างจากแสงกระบี่สีทองไปไม่กี่จั้ง หลิ่งหมิงรับรู้ได้ถึงคลื่นความร้อนที่ปะทะเข้ามา เขาจึงพุ่งถอยออกไปด้วยใจที่เย็นสะท้าน

วิญญาณกระบี่ถูกปกคลุมอยู่ภายใต้รัศมีการโจมตีของแสงกระบี่ ภายใต้สถานการณ์ที่มันไม่สามารถถอยได้ จึงส่งเสียงคำรามออกมาทันที ความเร็วหยุดชะงักลง และแขนของมันก็สะบัดไปมาท่ามกลางแสงสีเงิน ทันใดนั้น ปราณกระบี่สีเงินจำนวนนับไม่ถ้วน ก็ม้วนตัวออกไปรับมือกับแสงสีทอง

แสงสีทองกับสีเงินพัวพันเข้าด้วยกันท่ามกลางเสียงโลหะที่กระทบกันเป็นระยะๆ

ขณะนี้หลิ่วหมิงพุ่งถอยออกไปยี่สิบสามสิบจั้งแล้ว และไม่คิดจะยื่นมือเข้าแทรกแต่อย่างใด

ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ศึกตรงหน้าก็ชี้ชัดผลแพ้ชนะ ถึงแม้วิญญาณกระบี่สีเงินจะมีพลังแข็งแกร่งก็ตาม แต่ก็เทียบเท่ากับผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลางเท่านั้น แต่ภายในแสงกระบี่สีทองแฝงไปด้วยไอกระบี่จำนวนมาก มีโอกาสเป็นได้ว่า ผู้ที่ควบคุมมันจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ ซึ่งพลังของทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอยู่แล้ว

วิญญาณกระบี่สีเงินเพียงแค่พยายามต้านทานได้เพียงสองครั้ง จากนั้นก็ถูกแสงกระบี่สีทองฟันเป็นสองส่วน และส่งเสียงระเบิดออกมา “ปัง!” “ปัง!” และกลายเป็นหมอกควันสีเงินหนาแน่นสองกลุ่ม

ท่ามกลางหมอกควัน มีพลังไอกระบี่แวววาวที่ดูคล้ายเชือกป่านหนึ่งเส้นปรากฏอยู่รำไร มันแผ่คลื่นสั่นสะเทือนออกมา ซึ่งมีขนาดใหญ่ไม่น้อยกว่าเจ็ดแปดเท่าของไอกระบี่ที่เขาดูดซับในก่อนหน้า

พอหลิ่วหมิงมองเห็น ก็จ้องตาเป็นมันทันที

ขณะนั้นเอง แสงกระบี่สีทองก็ม้วนตัวกลายเป็นอสรพิษจิตวิญญาณสีทองที่ดูราวกับมีชีวิต พอมันอ้าและหุบปากลง ก็กลืนไอกระบี่แวววาวกับหมอกควันสีเงินที่แผ่มายังไม่ทันถึงเข้าไป

ทันใดนั้น แสงสีทองทั้งหมดก็มาบรรจบกันราวกับวาฬตัวยาวกำลังดูดซับน้ำ และกลายเป็นกระบี่บินสีทองที่บางราวกับปีกจักจั่น และบนนั้นก็มีชายฉกรรจ์หนวดโง้งยืนอยู่

หางตาหลิ่วหมิงกระตุกเล็กน้อย กลิ่นไอที่ชายฉกรรจ์ผู้นี้แผ่ออกมา ดูคล้ายกับของผู้ควบคุมยอดเขาอย่างอินจิ่วหลิง ที่แท้ก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้จริงๆ มีความเป็นไปได้แปดในสิบส่วนที่เขาจะเป็นศิษย์ลับตามที่เล่าลือกัน

“ฮ่าๆ! ข้าคือฉิวหลงจื่อจากวังเจดีย์ เมื่อครู่ต้องขอบคุณที่ยื่นมือเข้าช่วย ดูจากระดับการฝึกฝนของศิษย์น้องแล้ว คงเป็นศิษย์สายในสินะ ตอนนี้สามารถเข้ามาสถานที่แห่งนี้ได้คงไม่ธรรมดา ไม่ทราบมีนามว่าอย่างไรหรือ?” ชายฉกรรจ์หนวดโง้งเพิ่งดูดไอกระบี่เข้าไปสายหนึ่ง จึงมองหลิ่วหมิงอย่างอารมณ์ดี และกุมมือกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

“ศิษย์พี่เกรงใจเกินไปแล้ว ข้าน้อยคือหลิ่วหมิงจากยอดเขาลั่วโยว” หลิ่วหมิงรีบคารวะกลับในทันที

มีโอกาสเป็นไปได้แปดถึงเก้าในสิบส่วนว่าชายฉกรรจ์ผู้นี้เป็นศิษย์ลับระดับแก่นแท้ แต่กลับดูไม่มีท่าทีหยิ่งยโสมากนัก

“อ๋อ! ยอดเขาลั่วโยว! ตามที่ข้าทราบมาศิษย์สายในที่ฝึกฝนวิชากระบี่บินส่วนใหญ่จะเป็นคนยอดเขากระบี่สวรรค์ บอกศิษย์น้องอย่างไม่ปิดบัง แต่ก่อนข้าก็เคยอยู่ที่ยอดเขากระบี่สวรรค์ ยอดเขาลั่วโยวฝึกฝนพลังปีศาจเป็นหลัก คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ฝึกกระบี่ด้วย เอ๊ะ……ดูเหมือนว่าศิษย์น้องจะฝึกฝนเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งหรือ?” ชายฉกรรจ์หนวดโง้งส่งเสียงหัวเราะออกมา

“ศิษย์พี่ฉิวมีสายตาหลักแหลมจริงๆ ข้าน้อยก็แค่บังเอิญโชคดี ถึงได้ฝึกฝนเคล็ดวิชานี้” เขาเป็นศิษย์สายในที่ฝึกฝนเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง ย่อมทำให้ผู้อื่นรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่เรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยต่อหน้าหอคุมกฎแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังแต่อย่างใด

“อืม! เคล็ดกระบี่ปราณแกร่งไม่ใช่เรื่องง่าย…..แต่จะว่าไปแล้วความสามารถในการฝึกกระบี่ของพวกเราส่วนใหญ่จะอยู่ในกระบี่บินเล่มนี้ เพื่อที่จะต่อสู้กับศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่งในเมื่อหลายวันก่อน ข้าทำให้พลังจิตวิญญาณของกระบี่เซียนทองคำเล่มนี้เสียหายไปไม่น้อย ถึงได้มาสังหารวิญญาณกระบี่เพื่อบำรุงจิตวิญญาณกระบี่บินสักรอบ ในเมื่อศิษย์น้องก็เข้ามาแล้ว ไม่สู้พวกเราไปด้วยกันดีไหม?” ดูเหมือนว่าชายหนวดงอโง้งจะไม่ค่อยสนใจเรื่องที่หลิ่วหมิงฝึกฝนเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งมากนัก แต่กลับเชิญชวนอย่างอบอุ่น

เขามาวิหารวิญญาณกระบี่เป็นครั้งแรก จึงไม่คุ้นเคยกับที่นี่มากนัก หากไปกับฉิวหลงจื่อย่อมมีมั่นใจกว่ามาก จะได้ถือโอกาสถามเรื่องวิญญาณกระบี่ไปด้วย

เพราะดูจากวิญญาณกระบี่สองดวงที่พบเจอในเมื่อครู่ จะเห็นว่าวิญญาณกระบี่ในนี้ก็มีการแบ่งระดับเช่นกัน ซึ่งแตกต่างกันมากจริงๆ

พอนึกมาถึงจุดนี้ หลิ่วหมิงก็พยักหน้ากล่าวออกมา

“เช่นนี้ต้องขอให้ศิษย์พี่ฉิวดูแลด้วยแล้ว”

“เกรงใจอะไรกัน ข้าเป็นชอบความคึกคัก เดินไปเดินมาในนี้มาหลายวันแล้ว รู้สึกอุดอู้จะตาย” พอชายฉกรรจ์หนวดโง้งเห็นหลิ่วหมิงตอบตกลง เขาก็ยิ้มออกมา

เวลาต่อมา ทั้งสองก็เดินทางไปด้วยกัน

พื้นที่วิหารส่วนในกลายเป็นอีกโลกหนึ่ง ซึ่งคล้ายคลึงกับแดนอบอ้าวเล็กน้อย แต่นอกจากสถานที่แห่งนี้จะรกร้างว่างเปล่าแล้ว ก็เป็นทะเลทรายไปทั้งหมด นอกจากจะมีเนินเขาเล็กๆ ปรากฏเป็นระยะๆ แล้ว ก็มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเลย เห็นได้ชัดว่าดูจืดชืดเป็นอย่างมาก ไม่แปลกใจเลยทำไมฉิวหลงจื่อถึงรู้สึกว่าการเดินทางคนเดียวมันอึดอัดใจมาก

แม้ฉิวหลงจื่อผู้นี้จะมีการฝึกฝนระดับสูง แต่ไม่มีการวางมาดเลยแม้แต่น้อย ยังคงเป็นคนตรงไปตรงมา พอพบเจอกับวิญญาณกระบี่สีเทาจำนวนหนึ่ง ก็ทิ้งให้หลิ่วหมิงจัดการเอง ส่วนตนเองก็เฝ้าดูอยู่ด้านข้าง  บางครั้งก็เอ่ยปากชี้แนะเล็กน้อย บางครั้งที่พบเจอวิญญาณกระบี่สีเงินจำนวนหนึ่ง ก็โจมตีจนแตกกระจายอย่างรวดเร็ว และพลังไอกระบี่ที่ได้มาก็แบ่งให้หลิ่วหมิงส่วนหนึ่ง

ในระหว่างการเดินทางร่วมกัน หลิ่วหมิงก็ถือโอกาสสอบถามเรื่องของวิญญาณกระบี่มาได้ไม่น้อย

ที่แท้วิญญาณกระบี่ก็แบ่งออกเป็นสามระดับ สามารถมองออกได้อย่างง่ายดาย ซึ่งมีสีเทา สีเงิน และสีทองนั่นเอง

เป็นอย่างที่หลิ่วหมิงคิดไว้ วิญญาณกระบี่ทั้งสามชนิดมีพลังไม่เหมือนกัน วิญญาณกระบี่สีเทาเทียบเท่ากับผู้ฝึกฝนระดับของเหลว สีเงินเทียบเท่ากับผู้ฝึกฝนระดับผลึก และระดับสูงสุดอย่างสีทอง ก็มีพลังแข็งแกร่งเทียบเท่ากับพลังของระดับแก่นเสมือน พอพิจารณาจากสภาพแวดล้อมพิเศษในวิหารวิญญาณกระบี่แล้ว ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ ก็จะไม่ตกเป็นเบี้ยล่างเลยแม้แต่น้อย

ดีที่ว่าวิญาณกระบี่สีทองมีอยู่น้อยมาก และส่วนมากจะอยู่ในส่วนลึกของวิหาร ในสถานการณ์ปกติจะไม่ปรากฏตัวในบริเวณนี้

แน่นอนว่าพลังไอกระบี่ที่แฝงอยู่ในวิญญาณกระบี่แต่ละระดับ จะเรียงตามระดับของมันด้วย โดยสีทองมีมากที่สุด รองลงมาเป็นสีเงิน และสีเทา

สิบวันผ่านไป

บนเนินเขาเล็กๆ ในพื้นที่รกร้างเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง แสงกระบี่สีเขียวขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ กำลังหมุนวนไปมารอบวิญญาณกระบี่รูปมนุษย์สีเงินดวงหนึ่ง และปล่อยแสงกระบี่สีเขียวขนาดเล็กฟันวิญญาณกระบี่สีเงินอยู่ตลอดเวลา

วิญญาณกระบี่สีเงินส่งเสียงคำรามเป็นระยะๆ แสงกระบี่สีเงินก่อตัวขึ้นรอบๆ และปกคลุมมันไว้ด้านใน เพื่อต้านทานการโจมตีของแสงกระบี่สีเขียว

ขณะเดียวกัน ฉิวหลงจื่อก็มองดูกลุ่มการต่อสู้ที่อยู่ไม่ไกล ดูเหมือนเขาไม่คิดจะลงมือช่วยเลยแม้แต่น้อย

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป วิญญาณกระบี่สีเงินก็ถูกแสงสีเขียวโจมตีอยู่ไม่หยุด จนแสงสีเงินรอบตัวเริ่มดูไม่มั่นคงเล็กน้อย

หลิ่วหมิงที่อยู่ท่ามกลางแสงกระบี่สีเขียวเห็นเช่นนี้ ก็จ้องดูจุดอ่อนนี้ไว้ จากนั้นท่ามือของเขาก็เปลี่ยนไปทันที และปล่อยปราณกระบี่ที่มีลักษณะเป็นเกลียวออกไป

“ฟิ้ว!”

ปราณกระบี่รูปเกลียวโจมตีลงบนหน้าอกของวิญญาณกระบี่สีเงินโดยตรง!

หลังจากวิญญาณกระบี่สีเงินส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาแล้ว ก็กลายเป็นแสงกระบี่สีเงินพุ่งหนีไป

กระบี่บินสีเขียวเปล่งประกายขึ้นมาทันที และกลายเป็นวงกระบี่หลายวงในทันใด เงากระบี่บินหลายสิบเล่มปรากฏตัวรอบๆ วิญญาณกระบี่ที่พุ่งออกไปหลายสิบจั้งในเมื่อครู่ และฟันลงไปพร้อมกัน

เกิดเสียงดังเข้ามา!

วิญญาณกระบี่สีเงินถูกฟันเป็นหลายชิ้น และกลายเป็นพลังไอกระบี่สีเงินก่อนถูกแสงกระบี่สีเขียวหมุนวน และดูดซับเข้าไปอย่างคุ้นเคย

แสงแวววาวขนาดเท่าเชือกป่านที่ฉิวหลงจื่อเรียกว่าไหมวิญญาณกระบี่นั้น ยิ่งทำให้ตัวอ่อนกระบี่ในร่างหลิ่วหมิงได้รับการซ่อมแซมเป็นอย่างมาก

“ดี! วิชาขี่กระบี่ของศิษย์น้องหลิ่วช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ดูท่าคงรับมือกับวิญญาณกระบี่ระดับนี้ได้อย่างไม่มีปัญหาแล้ว” ฉิวหลงจื่อขยับตัวแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าหลิ่วหมิง และกล่าวชมเชยด้วยเสียงอันดัง

………………………………