บทที่ 1435 เจอราชันสวรรค์ครั้งแรก Ink Stone_Fantasy
เกี้ยวใหญ่พุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศ เหาะลงมาจากท้องฟ้า แล้วเหาะวนกลางอากาศรอบหนึ่ง ก่อนจะเหยียบลงนอกจวนแม่ทัพภาคอุทยานหลวง
ฉากแบบนี้ทำให้ทหารยามที่จวนแม่ทัพภาคตกใจทันที ในบรรดากำลังพลกองทัพองครักษ์ที่ติดตามมามีคนเผยป้ายคำสั่งแล้ว ทางซ้ายและขวาของราชันสวรรค์มีคนของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวาอารักขาเป็นปกติ คนที่เผยตัวตนก็คือคนของหน่วยองครักษ์ซ้าย
ก่อนหน้านี้คนเฝ้าประตูได้รับข่าวล่วงหน้าแล้ว รู้แล้วว่าราชันสวรรค์จะมาอุทยานหลวง เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าราชันสวรรค์จะมาที่นี่ ตอนนี้จู่ๆ ก็ถูกแจ้งกะทันหัน ทำเอาทุกคนตกใจกันหมด
กลุ่มขุนนางที่อยู่บนเกี้ยวใหญ่ทยอยกันเดินลงมา แล้วแบ่งยืนเป็นสองฟัง ผ่านไปครู่เดียวประมุขชิงก็เดินลงมาด้วยความเร็วปกติ
อย่าว่าแต่กลุ่มคนของกองมังกรดำที่ตกใจ แม้แต่กลุ่มขุนนางใหญ่ก็ค่อนข้างแปลกใจเช่นกัน ใครจะไปคาดคิดว่าฝ่าบาทจะมาเยือนขวนขุนนางเล็กๆ นี้ก่อน นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? มีคนไม่น้อยแอบกวาดตามองเซี่ยโห้วท่า พบว่าเซี่ยโห้วท่าทำสีหน้าสงบเยือกเย็นแล้ว ไม่เผยเบาะแสใดๆ
ผู้อารักขาที่เข้าไปถามก่อนรีบเร่งฝีเท้าเดินอ้อมด้านข้างกลับมา ถ่ายทอดเสียงถามซ่างก่วนชิงสองสามคำ ซ่างก่วนชิงพยักหน้า บอกใบ้ว่าทราบแล้ว
ประมุขชิงนำกลุ่มขุนนางเดินไปตรงตีนบันไดหน้าประตูตำหนัก แล้วเงยหน้ามองแผ่นป้าย ‘แม่ทัพภาคอุทยานหลวง’ พร้อมกล่าวปนจำว่า “ข้ามาที่อุทยานหลวงบ่อบ นี่เป็นครั้งแรกที่มาจวนแม่ทัพภาคอุทยานหลวง จู่ๆ ก็เกิดอยากจะมาดูสักหน่อย พวกเจ้ามีใครเคยมาบ้าง?” เขาถามพลางเดินขึ้นบันได
“ข้าน้อยก็เพิ่งมาครั้งแรกขอรับ”
“อักษรบนป้ายนี้ดูคุ้นตานิดหน่อยนะ”
กลุ่มขุนนางใหญ่ที่ติดตามมาพากันพูดคล้อยตาม ทุกคนต่างบอกว่าไม่เคยมา
ในทุ่งนาที่อยู่ใกล้ๆ นาหลวง เอ๋อเหมยสาวใช้ประจำตัวรีบเดินมาข้างกายเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่กำลังรดน้ำต้นไม้ แล้วกระซิบเบาๆ ว่า “พระนาง ฝ่าบาทไปที่จวนแม่ทัพภาคอุทยานหลวงเพคะ”
“…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หยุดทำงานทันที หันหน้าไปมองนาง บนใบหน้าแสดงความรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย แล้วก็หันขวับไปมองที่ป่าผืนหนึ่ง หนิวโหย่วเต๋อกำลังรักษาบาดแผลอยู่ทางนั้น
ชั่วพริบตานั้น นางเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว นางเพิ่งสั่งสอนหนิวโหย่วเต๋อไปยกหนึ่ง ฝ่าบาทก็ไปที่จวนแม่ทัพภาคอุทยานหลวงทันที นี่ไม่ได้กำลังจงใจทำให้นางลำบากใจหรอกเหรอ? นางไม่เชื่อหรอกว่าหูตาของฝ่าบาทจะไม่รู้ว่านางเพิ่งทำโทษหนิวโหย่วเต๋อ
เดิมทีนางอยากจะรู้ว่าประมุขชิงไปที่ไหน จะได้ไปร่วมเดินทางด้วย แต่พอประมุขชิงทำแบบนี้ นางก็ไม่สะดวกจะไปหาอีกแล้ว
ในป่าเล็กๆ อีกผืนหนึ่ง เหมียวอี้ที่กินยาแล้วยังคงเจ็บจนหน้าซีด แต่สิ่งนี้ไม่สำคัญเลย พอเก็บระฆังดาราในมือ เขาที่นอนหมอบอยู่บนโขดหินใหญ่ก็ร้องอุทานว่า “แย่แล้ว” จากนั้นก็รีบลุกขึ้นมาอีก สะบัดผ้าพันแผลออกมาแล้วแข็งใจสวมใส่เสื้อคลุมยาว แล้วรีบหยิบเกราะรบของตัวเองมาจากหยางชิ่ง ก่อนจะสวมใส่เกราะอันหนักหน่วงทั้งๆ ที่เจ็บจนเหงื่อกาฬไหล
เมื่อครู่นี้เหมียวอี้เปลือยท่อนบน ดูไม่ได้เพราะเสียมารยาท จ้านหรูอี้ที่กำลังหันหลังให้ได้ยินเสียงหันกลับมามองแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเหมียวอี้เป็นอะไรไปแล้ว
หยางเจาชิ่งถามแล้วว่า “นายท่าน เป็นอะไรไปขอรับ?”
เหมียวอี้ร้อนใจจนกระทืบเท้า “ฝ่าบาทไปที่จวนแม่ทัพภาคแล้ว! เหลือกำลังพลห้าหมื่นคนไว้อารักขาพาหนะหงส์ เลือกกำลังพลอีกห้าหมื่นให้ตามข้ากลับไปที่จวนแม่ทัพภาค”
ในทุ่งนา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ใจลอยเล็กน้อยพลันเอียงหน้ามองไป เห็นกำลังพลที่อยู่รอบๆ รวมตัวกัน แล้วรีบเหาะขึ้นฟ้าไปทางจวนแม่ทัพภาคอุทยานหลวง พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ดูก็พบว่าคนนำทหารไปคือเหมียวอี้ที่เพิ่งถูกตนลงโทษ
ตอนนี้นางก็เข้าใจแล้วเช่นกัน ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าหนิวโหย่วเต๋อจงใจไม่เคารพนาง แต่เป็นเพราะฝ่าบาทเพิ่งมาถึงอุทยานหลวง ก่อนหน้านี้หนิวโหย่วเต๋อไม่รู้สถานการณ์จริงๆ
แต่เมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้กับตาตัวเอง นางก็ยังสีหน้าแย่นิดหน่อย พอได้ยินว่าฝ่าบาทมาแล้ว ก็ทิ้งราชินีสวรรค์อย่างนางทันที ไม่รู้เลยว่าจะต้องมาบอกตนก่อนแล้วค่อยไป เห็นราชินีสวรรค์อย่างนางอยู่ในสายตาเสียที่ไหนกัน
โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้านางสนมของวังหลังมากมายขนาดนี้ จะให้นางทนความรู้สึกได้อย่างไร!
นางควบคุมดูแลวังหลังมาหลายปีขนาดนี้ พวกตาแก่หนังเหนียวบางคนไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเลย ที่น่ารำคาญที่สุดก็คือผู้บัญชาการองครักษ์โพ่จวินของหน่วยองครักษ์ซ้าย ยุงยงส่งเสริมให้ราชันสวรรค์ถอดตำแหน่งราชินี ทำเอากลุ่มผู้หญิงในวังหลังแอบหัวเราะเยาะนางลับหลัง นางทนจนไม่รู้จะทนอย่างไรแล้ว!
แต่นางก็ดันทำอะไรตาแก่เวรอย่างโพ่จวินไม่ได้ โพ่จวินมีอำนาจทางทหารอยู่ในมือเยอะมาก องครักษ์ครึ่งหนึ่งของวังสวรรค์ล้วนเป็นคนของโพ่จวิน เรียกได้ว่าความปลอดภัยของคนครึ่งหนึ่งในวังสวรรค์ถูกบีบอยู่ในมือโพ่จวิน ถ้าไปยั่วโมโหแล้ว อีกฝ่ายก็สามารถออกคำสั่งกักบริเวณนางได้ทุกเมื่อ
ขนาดท่านปู่ของนางอีกฝ่ายยังกล้าซ้อม แม้แต่กับฝ่าบาทยังกล้าโต้เถียงอยู่บ่อยๆ มีหรือที่อีกฝ่ายจะเห็นนางอยู่ในสายตา
เป็นเพราะมักจะมีคนบอกว่าต้องการถอดนางจากการเป็นราชินีสวรรค์ ทำให้นางกลายเป็นที่น่าหัวเราะเยาะ ไม่รู้ว่ามีผู้หญิงมากมายเท่าไรในวังหลังที่กำลังรอแทนที่นาง ดังนั้นนางจึงอ่อนไหวสุดๆ เวลามีคนทำพฤติธรรมไม่เคารพนาง ถ้าทำอะไรไม่เหมาะสมนิดเดียว นางก็จะรู้สึกว่าขัดลูกหูลูกตาที่สุด! นางทอะไรพวกตาแก่โพ่จวินไม่ได้ แต่พวกตัวละครเล็กๆ โดนนางสั่งโบยตายไปไม่รู้ตั้งไรแล้ว รวมทั้งพวกนางสนมบางคนในวังหลังด้วย นี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุที่เหมียวอี้โดนนางสั่งสอนไปยกหนึ่ง
เหมียวอี้ได้ยินข่าวจึงรีบไปอารักขา จะไปรู้ได้อย่างไรว่าจิตใจของผู้หญิงจะ ‘ละเอียดอ่อน’ ขนาดนี้ เกรงว่าต่อให้นอนฝันก็คาดไม่ถึงว่าจะเผลอล่วงเกินราชินีสวรรค์เข้าแล้ว
ในจวนแม่ทัพภาคอุทยานหลวง ประมุขชิงเอามือไขว้หลังเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ในตำหนักใหญ่ครู่หนึ่ง แล้วก็นำคนเดินไปที่ลานบ้านด้านหลัง
องครักษ์ที่คอยติดตามได้เข้ามาเฝ้าอยู่ที่แต่ละมุมด้านในล่วงหน้าแล้ว สามารถพูดได้ว่าลานบ้านด้านหลังเป็นเรือนพักชั่วคราวของเหมียวอี้ เฟยหงก็ไม่รู้เช่นกันว่าประมุขชิงจะมาอย่างกะทันหัน หลบเลี่ยงไม่ทัน ถูกองครักษ์บังคับให้ยืนนิ่งอยู่ในมุมหนึ่งแต่โดยดีแล้ว นางเงียบกริบเหมือนจั๊กจั่นหน้าหนาว ไม่กล้าขยับตัวซี้ซั้ว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ประมุขชิงที่เดินเหลียวซ้ายแลขวามาตลอดทางทำสายตางุนงงไปชั่วขณะ แค่มองการแต่งตัวปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่เทพธิดาของที่นี่ และความสวยแบบนี้ก็ยิ่งหาพบได้ยาก ถ้าเทพธิดาของที่นี่สวยถึงขั้นนี้ ก็รั้งไว้ให้อยู่ที่นี่ไม่ได้เช่นกัน ถ้าไม่ถูกขุนนางใหญ่ขอไป ก็ถูกคนของกองทัพองครักษ์ขอไป
อุทยานหลวงที่กว้างใหญ่เลือกหญิงงามในใต้หล้ามาเป็นเทพธิดา นับว่าเป็นวิธีการหนึ่งของประมุขชิงในการผูกมัดจิตใจด้วยเล่ห์เพทุบาย หน่วยองครักษ์ซ้ายขวาคือกองทัพองครักษ์ของเขา ขอเพียงพี่น้องกองทัพองครักษ์ถูกใจเทพธิดาของที่นี่ ถ้าตอนที่เปลี่ยนผลัดเฝ้าป้องกันอยากพากลับไปเป็นผู้หญิงของตัวเอง โดยทั่วไปวังสวรรค์ก็จะช่วยให้สมปรารถนา
ที่จริงเทพธิดาของที่นี่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ผ่านมือหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายก่อนถึงปล่อยเข้ามา คนที่ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกก็จะนึกไปว่าตัวเองได้เก็บสาวงามกลับบ้านมาเฉยๆ แต่กลับไม่รู้ว่าสายลับคนหนึ่งได้เข้ามาอยู่ข้างกายตัวเองแล้ว
ผู้หญิงคนนี้ก็ยิ่งไม่ใช่คนของกองทัพองครักษ์ ไม่อย่างนั้นถ้ารู้ว่าตนจะมา มีหรือที่จะยังใส่ชุดลำลองแบบนี้อยู่ ควรจะไปเปลี่ยนเป็นเกราะรบสิถึงจะถูก
“เจ้าเป็นใครกัน?” ประมุขชิงสงสัย
เฟยหงตกใจจนใจสั่นตัวสั่น องครักษ์ที่ขวางนางอยู่หลีกทางให้นางทันที ส่งสัญญาณให้นางตอบคำถาม
เฟยหงก้าวขึ้นมาทำความเคารพอย่างตัวสั่นหวาดกลัว “สตรีผู้ต่ำต้อยเป็นอนุภรรยาของแม่ทัพภาคอุทยานหลวงเพคะ” เสียงพูดไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร
ประมุขชิงขมวดคิ้วทันที เพราะกองทัพที่ประจำการอยู่ที่วังสวรรค์ไม่ได้รับอนุญาตให้พาครอบครัวเข้ามาด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าทุกคนพากันมาใช้ชีวิตครอบครัวอยู่ที่นี่ แล้วสภาพจะกลายเป็นอย่างไรล่ะ ต่อให้เป็นหนิวโหย่วเต๋อก็จะมาทำกฎของเขาพังไม่ได้
ทูตหน่วยตรวจการซ้ายซือหม่าเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างๆ รีบถ่ายทอดเสียงบอกซ่างก่วนชิงทันที จากนั้นซ่างก่วนชิงก็รายงานว่า “ฝ่าบาท นางเป็นลูกสาวบุญธรรมของแม่เฒ่าลวี่ผู้ดูแลอุทยานหลวงด้วยขอรับ เป็นแม่เฒ่าลวี่ที่ขอคำสั่งจากราชินีสวรรค์ นางถึงเข้ามาที่นี่ได้ ไม่ได้ล่วงล้ำเข้ามาโดยพลการขอรับ”
ทูตขวาเก้ากวนก็ยืนอยู่ข้างซือหม่าเวิ่นเทียน ทูตซ้ายทูตขวาคอยติดตามรับคำสั่งอยู่ด้วยกัน การถ่ายทอดเสียงของซือหม่าเวิ่นเทียนเมื่อครู่นี้ ถึงแม้จะจงใจควบคุมคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ไว้ แต่ก็ยังถูกเขาสังเกตได้ จึงกวาดสายตาเย็นชาไปทางเฟยหงที่กำลังมีสีหน้าหวาดกลัว
พอพูดถึงลูกสาวบุญธรรมของแม่เฒ่าลวี่ ประมุขชิงก็รู้ทันทีว่าเฟยหงเป็นใคร มีข้อมูลอยู่ในใจแล้ว คิ้วที่ขมวดจึงคลายลง แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ที่แท้ก็เป็นคำสั่งของราชินีสวรรค์! ในเมื่อเจ้าเป็นอนุภรรยาของแม่ทัพภาคอุทยานหลวง แล้วสามีเจ้าไปไหนล่ะ ทำไมถึงไม่มาพบข้า?”
เฟยหงรีบตอบว่า “สามีของหม่อมฉันชื่อหนิวโหย่วเต๋อเพคะ กำลังอยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ทราบว่าไปไหนแล้ว”
“หนิวโหย่วเต๋อ?” ประมุขชิงร้องอ๋อ แล้วทำท่าเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้มาจากที่ไหน หันกลับมาถามว่า “เหมือนข้าจะไม่แปลกหูกับชื่อนี้นะ ใช่หนิวโหย่วเต๋อที่สร้างผลงานใหญ่ที่ตลาดผีรึเปล่า?”
มีขุนนางใหญ่ไม่น้อยที่แอบพึมพำในใจว่า ‘รู้แล้วยังแกล้งถามอีก เป็นเพราะรู้ว่าเพิ่งเกิดเรื่องกับหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่เหรอ อยู่ดีๆ เจ้าถึงได้ถ่อมาที่จวนแม่ทัพภาคเล็กๆ แห่งนี้?’
“เป็นคนนี้ขอรับ” ซ่างก่วนชิงตอบ
ประมุขชิงหันตัวมา แล้วพูดกับทุกคนปนเสียงหัวเราะ “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ข้าได้ยินชื่อเสียงมานานแล้วนะ วันนี้อยากจะรู้จักสักหน่อย ไปบอกให้เขามาพบข้า”
“ขอรับ!” ซ่างก่วนชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วรีบเอียงหน้าส่งสัญญาณให้องครักษ์คนหนึ่ง มีคนไปจัดการเรื่องนี้ทันที
ประมุขชิงย่อมไม่ตั้งใจอยู่ที่นี่เพื่อรอเหมียวอี้อยู่แล้ว เดินเล่นในจวนแม่ทัพภาคเรื่อยเปื่อยอยู่ครู่เดียวแล้วก็ออกไป
ตอนที่เพิ่งจะเดินออกจากประตูใหญ่ของจวนแม่ทัพภาค เหมียวอี้ก็รีบร้อนมาถึงแล้ว คนที่เหลือเข้าใกล้ไม่ได้ มีเพียงเหมียวอี้ที่ถูกนำตัวมาพบคนเดียว
ประมุขชิงและคนอื่นๆ ที่เพิ่งเดินลงบันไดตำหนักใหญ่หยุดฝีเท้า ขณะมองดูหนิวโหย่วเต๋อที่หน้าซีดและทั้งตัวยังมีกลิ่นคาวเลือดเดินสวมเกราะรบเข้ามา สิ่งนี้ปิดบังสายตาของทุกคนไม่ได้ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าบาดเจ็บไม่ใช่น้อยๆ มีบางคนมองไปที่เซี่ยโห้วท่าอีกครั้ง เซี่ยโห้วท่ายังทำสีหน้าสุขุมเยือกเย็น กลับหรี่ตามองประเมินเหมียวอี้ด้วยซ้ำ ในดวงตาซ่อนความคิดอันล้ำลึกเอาไว้
ที่แท้เจ้าเด็กนี่ก็คือหนิวโหย่วเต๋อนี่เอง! อ๋องสวรรค์โค่วยกมือขึ้นลูบเคราะอย่างช้าๆ พยักหน้าครุ่นคิด ช่างเป็นบุคคลที่มีความสามารถ!
อ๋องสวรรค์อิ๋งก็ยกมือลูบเคราเช่นกัน ประมุขชิงปฏิเสธคำขอที่จะให้หนิวโหย่วเต๋อมาเป็นสามีของหลานสาวเขา ช่วงนี้เขากำลังครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าจะใช้วิธีการไหนดึงตัวเหมียวอี้มาเป็นลูกน้อง ตอนนี้พอได้เห็นท่าทางของเหมียวอี้แล้วก็แอบพยักหน้า รู้สึกว่าหน้าตาของเจ้าหนุ่มนี่ก็ไม่ได้แย่เลย หลานสาวไม่น่าจะรังเกียจเขาเกินไป ตอนนี้เตรียมวางแผนบางอย่างในใจแล้ว
เทพประจำดาวฟ้าเถาะมองสำรวจเหมียวอี้ด้วยสายตาเรียบนิ่ง เขาเคยเห็นเหมียวอี้มาก่อน รู้จักเหมียวอี้ เพียงแต่ตอนนั้นเขาปลอมตัวไป เหมียวอี้ไม่รู้จักโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา ที่จริงเหตุการณ์วุ่นวายในครั้งนี้เขารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเหมียวอี้มาก เรียกได้ว่าเหมียวอี้ได้ช่วยเขาเอาไว้เยอะมากในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน จุดจบของเทพประจำดาวแปดคนนั้นทำให้เขาหวาดผวาจนถึงทุกวันนี้
ซือหม่าเวิ่นเทียนก็เคยแอบประมือกับเหมียวอี้เช่นกัน พูดได้อีกอย่างว่าเขาเคยเสียเปรียบด้วยมือเหมียวอี้มาแล้ว ทำเอาเกือบหาทางลงไม่ได้ อยากเห็นมาตลอดว่าเหมียวอี้หน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ วันนี้นับว่าได้เจอแล้ว เขาหรี่ตามองประเมินเหมียวอี้เช่นกัน
เกาก้วนย่อมคุ้นเคยกับเหมียวอี้ดี ทั้งสองเคยเจอหน้ากันหลายครั้งแล้ว เมื่อเห็นเหมียวอี้ได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้ เขาก็เบิกตากว้างเล็กน้อย แต่ก็รีบกลับสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว
ประมุขชิงยืนเอามือไขว้หลังพร้อมจ้องมองเหมียวอี้อย่างสนใจ ถึงแม้เหมียวอี้จะได้รับบาดเจ็บ สีหน้าดูแย่ไปหน่อย แต่ความองอาจห้าวหาญที่แผ่ออกมาจากแก่นแท้ในตัวกลับยากที่จะปิดบังไว้ได้ ความเฉียบคมที่ฉายออกมาจากดวงตาในบางครั้งได้พิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่พวกสำมะเลเทเมา และไม่ใช่พวกบัณฑิตหน้าขาวที่มีดีแค่หน้าตาด้วย เหมียวอี้เดินก้าวยาวเข้ามาอย่างองอาจผึ่งผาย ถึงแม้จะประหม่ากังวลอยู่บ้าง แต่กลับยังสุขุมใจเย็นมาก สอดคล้องกับภาพลักษณ์ทหารกล้าที่เขาจินตนาการไว้ในใจ ทำให้เขาค่อนข้างรู้สึกพอใจ
…………………………