ตอนที่ 861 บททดสอบห้าด่าน
เขาพยับครามตั้งตระหง่านกลางห้วงอากาศ สูงทะลุขอบฟ้า แสงมงคลสีม่วงคละคลุ้งทั่วตัวเขา สูงละลิ่วและเก่าแก่ประดุจภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในยุคบรรพกาล
ด้านหน้าภูเขา ผู้ฝึกปราณจำนวนนับไม่ถ้วนยืนมั่น แววตาลุกโชน ต่างพากันจับจ้องต้นโคมสำริดมรรคโบราณที่ตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางเขา
ลำต้นหยาบหนาราวกับมังกรยึดพื้นที่เหมือนถูกหล่อมาจากสำริด กิ่งก้านแข็งแรงแผ่ขยายออกไปทั่วสารทิศดุจดั่งดาบกระบี่ บนนั้นมีดอกตูมสำริดพันกว่าดอกควบรวมออกมา แสงเรืองรองศักดิ์สิทธิ์พรั่งพรูดุจฝนเพลิงเริงระบำ มหัศจรรย์หาที่เปรียบไม่ได้
นี่คือวาสนาไร้เทียมทานครั้งหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่เคยมีมาก่อน
พบยากนิรันดร์กาล!
ตูม!
มีผู้กล้าเริ่มเคลื่อนไหว เป็นซาหลิวฉานนายน้อยแห่งเผ่าฉลามสมุทร ทั่วร่างเขาคละคลุ้งด้วยพลังพวยพุ่งระฟ้า แหวกอากาศออกไป
ผู้คนมองเห็นในทันที กลางฟ้าดินผืนนั้นผุดคลื่นผนึกต้องห้ามลึกลับสายหนึ่ง ขัดขวางไม่ให้ใครเข้าใกล้ ราวกับม่านแสงที่พาดผ่านฟ้าดิน
วู้ม!
ยามที่ซาหลิวฉานเฉียดใกล้ ม่านแสงชั้นนั้นก็ปลดปล่อยแสงมรรคสีสดใสออกมาทันที ปกคลุมตัวซาหลิวฉานเอาไว้ในนั้น
จากนั้นภาพอัศจรรย์ฉากหนึ่งปรากฏขึ้น ก็เห็นซาหลิวฉานตัวหดเล็กลงด้วยความรวดเร็วน่าอัศจรรย์ ท้ายที่สุดก็มีขนาดเล็กเท่ามด ถูกแสงมรรคสายหนึ่งห่อหุ้ม ไปถึงบนเขาพยับครามแห่งนั้นแล้วก็มองไม่เห็นอีกเลย
ผู้คนในที่นั้นต่างสูดหายใจเฮือก รู้สึกสะพรึงไม่สิ้น
‘ในความเล็กจ้อยซุ่มซ่อนความยิ่งใหญ่?’ สีหน้าหลินสวินเริ่มเปลี่ยนไปเป็นแปลกประหลาดเล็กน้อย
นี่คือพลังวิเศษสูงสุดอย่างหนึ่ง พลังแห่งการแปรเปลี่ยนห้วงอากาศ ใบไม้หนึ่งใบดอกไม้หนึ่งดอกต่างรับน้ำหนักโลกหนึ่งมิติ ทำให้สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิม
เมื่อครั้งเข้าสู่ ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ หลินสวินก็เคยได้เห็นวิธีแบบเดียวกันนี้บนคีรีแห่งดวงกมลอันลึกลับยากหยั่งถึงลูกนั้นมาแล้ว
ตอนนั้นดอกบัวดอกหนึ่งเบ่งบาน ส่องสะท้อนจักรวาล และภายในบัวดอกนั้นก็ซุกซ่อนร่องรอยบรรพกาลที่แท้จริงอย่าง… คีรีแห่งดวงกมล!
เพียงแต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่าหน้าเขาพยับครามลูกนี้ ตนจะได้พบเห็นวิธีที่เรียกได้ว่าสุดแสนวิเศษระดับนี้อีกครั้ง!
‘ดูท่าบนภูเขาลูกนี้ จะต้องมีอานุภาพอริยมรรคแท้จริงครอบคลุมพื้นที่อยู่แน่…’
หลินสวินรู้สึกทอดถอนใจอยู่ในใจ
“ไป!”
ในบริเวณนั้นยามนี้ชุลมุนวุ่นวายกันเป็นแถบ ผู้กล้าคนแล้วคนเล่าเริ่มเคลื่อนไหว แย่งกันเฮโลหมายจะเข้าสู่เขาพยับครามก่อนใคร
ทั้งชิงหลี่ฮวนแห่งสำนักยุทธ์สมุทรคราม อู่ต้วนหยาแห่งสำนักตะวันทมิฬ จั๋วขวงหลันแห่งสำนักกระบี่โผผิน ลู่จิ่วเกอองค์ชายห้าแห่งเผ่าอีกาเพลิง…
ประเดี๋ยวเดียวลำแสงพุ่งปราดทั่วฟ้าดินราวกับสายรุ้งวิเศษ แน่นทึบเป็นแถบๆ เจิดจ้าพร่าตา ทำเอาเกิดเสียงร้องอุทานระลอกแล้วระลอกเล่าดังก้องไปทั่ว
ไม่นานนักบุคคลไร้เทียมทานอย่างเหลยเชียนจวินแห่งเผ่ามหาอสนี ชิงเหลียนเอ๋อร์ธิดาเทพเผ่าหงส์เขียวต่างก็ทยอยแหวกว่ายห้วงอากาศออกไปตามๆ กัน
‘หืม? เจ้าหมอนี่ก็มาจริงด้วยๆ’
หลินสวินอึ้งงัน ชำเลืองมองเงาร่างคุ้นตาสายหนึ่ง เป็นฟางหลินหานผู้สืบทอดอาศรมดาบแปดวิทูรคนนั้นนั่นเอง
เจ้าหมอนี่ยังคงบ้าคลั่งดุดันเฉกเช่นที่ผ่านมา ผมยาวสีดำปลิวไสว สะพายดาบศึกที่หลังเล่มหนึ่ง ท่าทางอหังการ ประหนึ่งว่าตัวข้าเป็นหนึ่งในใต้หล้า
เพียงแต่ไม่นานสีหน้าหลินสวินก็เปลี่ยนเป็นอึดอัดเล็กน้อย เก็บสายตากลับมาอย่างค่อนข้างร้อนตัว
เพราะเวลานี้เอง เงาร่างของจี้ซิงเหยาธิดาเทพแห่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉาได้ปรากฏขึ้น
นางสวมชุดกระโปรงสีพื้น เอวบางร่างอ้อนแอ้น อิริยาบถโดดเด่น บุคลิกเย็นชาราวกับหิมะ รูปโฉมไร้ที่เปรียบ ราวกับเทพเซียนบนสวรรค์ก็ไม่ปาน
ทันใดนั้นสายตาแทบทุกคนถูกดึงดูดเข้าไป ผู้ฝึกปราณมากหน้าหลายตาต่างผุดแววแห่งบ้าคลั่ง รวมถึงน้ำลายหกและเทิดทูน
ถึงแม้ครั้งนี้จี้ซิงเหยาไม่ได้สวมหน้ากาก แต่หลินสวินก็จำได้ตั้งแต่แวบแรก นี่ก็คือเด็กสาวหยิ่งยโสที่เคยต่อสู้กับตนในคราวนั้นนั่นเอง
‘ครั้งนี้อย่าไปเจอะเจอหน้านางเป็นอันขาดดีกว่า…’ หลินสวินลอบพึมพำกับตัวเอง
ทั่วบริเวณอลหม่านอย่างรวดเร็ว เสียงฮือฮาทะลุฟ้าดังก้องขึ้น หลินสวินอึ้งไป เมื่อเหลือบสายตาขึ้นมอง ก็เห็นข้างกายจี้ซิงเหยาคนนั้นถึงกับมีเงาร่างชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏขึ้น
ชายหนุ่มคนนั้นช่างพราวตาเหลือเกิน รูปงามสง่า ตาดาราคิ้วกระบี่ รูปร่างสูงโปร่งโดดเด่น ช่วงโชติราวกับอาทิตย์เจิดจ้าดวงหนึ่ง
“นี่ก็คืออวี่หลิงคงแห่งแดนพิสุทธิ์อมตะที่มาจากแดนกาฬทักษิณ? ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย!”
“ได้ยินว่าในตระกูลอวี่ของพวกเขายังมีอริยบุคคลผู้หนึ่งควบคุมดูแล และอวี่หลิงคงคนนี้ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวยิ่ง เป็นผู้กล้าโดยกำเนิด พรสวรรค์โดดเด่น เป็นเพชรยอดมงกุฎแห่งยุคปัจจุบัน ฐานะในแดนกาฬทักษิณไม่ต่างอะไรกับเทพธิดาจี้เลย”
“ดูเอาเถิด เขากับเทพธิดาจี้ช่างเป็นคู่สวรรค์สร้างชัดๆ บางทีคงมีแต่บุคคลไร้เทียมทานอย่างอวี่หลิงคงเท่านั้นจึงจะคู่ควรกับธิดาเทพระดับเทพธิดาจี้”
ผู้คนนับหมื่นร้องอุทาน ในน้ำเสียงเจือความทอดถอนใจและอิจฉาชื่นชมระคนกันไป
‘เขาก็คืออวี่หลิงคง?’ หลินสวินหรี่ตาลง แม้แต่เขายังไม่อาจไม่ยอมรับว่านี่คือชายที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ทั้งรูปโฉม บุคลิก ท่วงท่ากิริยาต่างก็ไร้ที่ติทั้งสิ้น
อีกทั้งเขายังมีภูมิหลังคับฟ้าถึงขีดสุด ฐานะเหนือล้ำ แม้แต่พลังปราณก็ถือว่าเป็นกลุ่มชั้นยอดในบรรดาบุคคลไร้เทียมทาน
คนที่น่าทึ่งระดับนี้ ก็ไม่แปลกที่จะดึงดูดสายตาและความสนใจมากมายถึงเพียงนี้
แต่สิ่งที่ทำให้หลินสวินให้ความสำคัญอย่างแท้จริงคือ ในมือของอวี่หลิงคงคนนี้มีอาวุธอริยะแท้จริงชิ้นหนึ่ง… ตำหนักอมตะ!
หากพบคนผู้นี้ในเทศกาลโคมกถามรรค จะต้องรับมืออย่างระมัดระวัง
หลินสวินสงสัยกระทั่งว่าในมือของผู้กล้าไร้เทียมทานเหล่านี้อย่างจี้ซิงเหยา เหลยเชียนจวิน มู่เจี้ยนถิง เกรงว่าคงมีไม้เด็ดและแต้มต่อแข็งแกร่งอักโขกันทั้งนั้น
‘น้องหลินดูเร็ว ผู้สืบทอดตำหนักปรกอุดมปรากฏตัวแล้ว เจ้าต้องระวังเด็กสาวกระโปรงม่วงที่เป็นหัวหน้าให้ดี จากข่าวที่เผ่าวาทวาโยของข้าสืบรู้มา เด็กสาวคนนี้ไม่ได้แข็งแกร่งระดับทั่วไป อีกอย่างที่มายังลึกลับเป็นที่สุด สันนิษฐานว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าหงส์เซียนในตำนานด้วย!’
จู่ๆ ไป่เฟิงหลิวก็สื่อจิตเสียงเบาเอ่ยเตือน
หลินสวินเงยหน้า ก็เห็นชายหญิงกลุ่มหนึ่งทะยานผ่านห้วงอากาศ ชายหล่อหญิงงาม ต่างก็ไม่ธรรมดาถึงขีดสุด
โดยเฉพาะเด็กสาวกระโปรงม่วงที่เป็นผู้นำคนนั้น รูปโฉมของนางกล่าวไม่ได้ว่างามชวนตะลึง แต่กลับกระชดกระช้อยเป็นที่สุด ผิวพรรณขาวผ่องดุจหยกมันแพะ แวววาวราวแก้วผลึก มีบุคลิกเฉพาะตัวที่สง่างามเรียบง่าย ซ่อนความโดดเด่นไว้ภายใน ดูสูงส่งประดุจกล้วยไม้ในหุบเขาลึกอย่างไรอย่างนั้น
มีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าหงส์เซียน?
ในใจหลินสวินสะท้านไหวไปเช่นกัน หงส์เซียน นี่เป็นถึงเผ่าพันธุ์หนึ่งซึ่งดุจดั่งตำนานอย่างแท้จริง ในยุคบรรพกาลก็เรียกได้ว่าน่าเกรงขามหาใดเปรียบ ความแข็งแกร่งแห่งรากฐานเหลือจะจินตนาการ
‘นางน่าจะชื่อลั่วเจีย ผู้สืบทอดตำหนักปรกอุดม ทุกคนต่างเรียกขานนางว่า ‘ศิษย์พี่ลั่วเจีย’ ดูท่าตำแหน่งในบรรดาผู้สืบทอดตำหนักปรกอุดมคงต้องสูงส่งถึงขีดสุดเป็นแน่’
‘ตำหนักปรกอุดมลึกลับเป็นที่สุด ครองพื้นที่ใน ‘แดนประมุขพิภพ’ เกือบหมื่นปีมานี้แทบจะตัดขาดกับโลก มีข่าวของพวกเขาน้อยยิ่ง แต่ครั้งนี้ผู้สืบทอดของตำหนักปรกอุดมกลับปรากฏกายในเทศกาลโคมกถามรรค ก็สามารถคาดเดาได้ว่าพวกเขามาเพื่อศุภโชคใหญ่บางอย่างในนี้โดยเฉพาะ’
ไป่เฟิงหลิววิเคราะห์ด้วยความว่องไว เจ้าเฒ่าสากกะเบือคนนี้ถึงจะหน้าหนาไร้ยางอายไปบ้าง แต่ไม่อาจไม่ยอมรับ ในแง่ข่าวสารเขาเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งไม่มีสองอย่างแน่นอน จะให้หลินสวินไม่จำนนก็คงไม่ได้
“หลินสวิน พวกเราก็ควรเริ่มเคลื่อนไหวได้แล้ว”
เยวี่ยเจี้ยนหมิงที่อยู่ข้างๆ เริ่มอดกลั้นไม่อยู่เล็กน้อย
“ดี พวกเราก็ออกเดินทางกันเถอะ”
หลินสวินพยักหน้า
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
จากนั้นทั้งคู่ก็ห้อทะยานแหวกห้วงอากาศขึ้นไป มุ่งหน้าสู่เขาพยับครามที่อยู่ไกลๆ ลูกนั้น
“จำไว้ว่าหากชิงวาสนามาได้ จะต้องแบ่งให้ข้าส่วนหนึ่งด้วยนะ!”
ไป่เฟิงหลิวตะเบ็งเสียงลั่น พาให้ผู้ฝึกปราณละแวกใกล้เคียงลอบดูถูกดูแคลน
“เทพมารหลินก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว!”
ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวของหลินสวินก็ดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกปราณมากมายในบริเวณนั้นเช่นเดียวกัน
“ยามนี้ต่างลือกันหนาหูว่าบนตัวเขามีศุภโชคใหญ่ ซ้ำยังถือครองสมบัติอริยะไร้เทียมทานชิ้นหนึ่งด้วย เข้าสู่เขาพยับครามคราวนี้ต้องดึงดูดสายตาละโมบไม่รู้เท่าไรแน่ อาจทำให้สถานการณ์ของเขาเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ก็ได้!”
“เฮอะๆ ต้องคอยดูกันว่าคราวนี้เทพมารหลินจะแก้ภัยพิบัติครั้งนี้อย่างไร ข้าล่ะสงสัยนักว่าเขายังจะมีโอกาสรอดชีวิตเดินออกมาจากเขาพยับครามได้หรือไม่”
“พูดเช่นนี้ เป็นไปได้สูงว่าเทพมารหลินอาจต้องซวยหนักในเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้หรือ”
“นี่ยังต้องถามอีกหรือ”
ในลานวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด
ไป่เฟิงหลิวหนักอึ้งในใจทันใด มรสุมที่พุ่งเป้าไปที่หลินสวินครั้งนี้กำลังจะมาเยือนอย่างเลี่ยงไม่ได้ในท้ายที่สุดแล้ว
……
วู้ม!
ยามเข้าใกล้ม่านแสงที่พาดผ่านทั่วฟ้าดินสายนั้น หลินสวินรู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนไปชั่วขณะในทันที ร่างกายถูกพลังลึกลับชั้นหนึ่งปกคลุม ชั่วอึดใจก็คล้ายกับทะลวงผ่านห้วงอากาศ ดวงดาราหมุนวน ฟ้าดินสับสนวุ่นวาย ภาพทุกอย่างล้วนเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว
เสียงฉึบดังหนึ่งครา เงาร่างของเขาก็ถูกเคลื่อนย้าย อันตรธานหายลับไป
นี่ก็คือวิธีสูงสุดแห่ง ‘ความเล็กจ้อยซุ่มซ่อนความยิ่งใหญ่’ อย่ามองเพียงว่าเขาพยับครามลูกนั้นอยู่ตรงหน้า หากไม่สามารถผ่านม่านแสงผนึกต้องห้ามอันลึกลับสายนั้นไปได้ แม้อริยบุคคลมาเองก็ไม่สามารถเฉียดใกล้แม้แต่ก้าวเดียว!
เวลาหนึ่งถ้วยชาให้หลัง
เหล่าผู้กล้าที่เข้าร่วมครานี้ต่างทยอยหายลับไปในเขาพยับคราม แต่บรรยากาศในที่นั้นกลับไม่ได้เงียบงันหงอยเหงาเพราะเหตุนี้เลยสักนิด
ตรงกันข้าม ผู้ฝึกปราณมากมายต่างยืนปักหลักคอยอยู่ตรงนั้น เบียดเสียดแน่นขนัด เห็นได้ชัดว่าน่าตื่นตายิ่ง
ในบรรดาผู้ฝึกปราณเหล่านี้ ส่วนใหญ่ต่างมาชมดูเรื่องสนุก และก็มีส่วนหนึ่งที่เป็นอาจารย์ผู้อาวุโส หรือไม่ก็ญาติสนิทในตระกูลของผู้กล้าเหล่านั้น
อย่างเช่นท่านย่ากระเรียนทอง คนตระกูลจงหลี คนในเผ่าฉลามสมุทร คนในเผ่าหงส์เขียว รวมถึงคนใหญ่คนในสำนักโบราณมากมาย ต่างเฝ้าดูอยู่ในบริเวณนั้น
“นับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน หากต้องการไปถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณ จะต้องผ่านการทดสอบห้าด่าน ขอเพียงผู้กล้าคนใดไม่สามารถทนต่อบททดสอบได้ ก็จะถูกเคลื่อนย้ายออกมา”
“บททดสอบด่านแรกก็คือการเข้าสู่ ‘แดนลี้ลับมหาปัญจธาตุผันแปร’ ในเขาพยับคราม มีเพียงผู้ที่สามารถยืนหยัดอยู่ในนั้นได้สิบวันจึงจะมีคุณสมบัติเข้าสู่บททดสอบด่านต่อไปได้”
“ผู้กล้าที่เข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ อย่างน้อยก็มีเป็นหมื่นๆ รวมอัจฉริยะโดดเด่นที่มาจากทุกพื้นที่ในแดนฐิติประจิม เรียกได้ว่าหมู่ดาวพราวพร่าง ผู้แข็งแกร่งรวมตัวกัน เพียงแต่สุดท้ายจะมีสักกี่คนที่สามารถผ่านบททดสอบห้าด่าน และไปถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณได้”
ผู้ฝึกปราณรุ่นอาวุโสบางส่วนกำลังแลกเปลี่ยนทรรศนะ และทำการวิเคราะห์
“ประสบการณ์ก่อนหน้านี้ใช้ไม่ได้กับเทศกาลโคมกถามรรคหนนี้ มหาสงครามกำลังจะมาเยือน เขาพยับครามลูกนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงน่าทึ่งเช่นกัน ลำพังดูแค่จำนวนดอกตูมสำริดมากมายที่ออกมาจากต้นโคมสำริดมรรคโบราณต้นนั้น ก็เรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อนแล้ว”
ท่านย่ากระเรียนทองกล่าวทันใด “สามารถคาดการณ์ได้ว่า ผู้กล้าที่เข้าร่วมหนนี้ ตราบใดที่ไม่ถูกคัดออก และไปถึงใต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นนั้นอย่างราบรื่น ล้วนสามารถช่วงชิงศุภโชคที่เป็นของตนได้ไม่มากก็น้อย”
บัดนั้นบรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้นต่างแววตาลุกโชน จมสู่ภวังค์ความคิด
“การถกมรรคหนนี้เพิ่งจะเริ่ม บททดสอบที่เกิดในเขาพยับครามยามนี้ พวกเราซึ่งอยู่โลกภายนอกไม่สามารถสอดส่องได้แม้แต่น้อย มีเพียงยามที่พวกเขาผ่านบททดสอบห้าด่าน บรรลุถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณต้นนั้นแล้ว จึงจะสามารถมองเห็นว่าจะมีสักกี่คน ที่สามารถช่วงชิงศุภโชคซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในอดีตนั้นมาได้”
ท่านย่ากระเรียนทองกล่าวราบเรียบ “ท่านทั้งหลาย แค่รออย่างสงบเป็นพอ”