หลังจากที่รัศมีลำแสงแยกออก เหนือภูเขาก็มีหญิงสาวสวมชุดขนนกห้าสีปรากฏขึ้น

หญิงสาวผู้นั้นมีผิวพรรณขาวราวกับหิมะ หน้าตางดงาม นั่นก็คือสตรีผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ของตระกูลเยี่ย

“เป็นท่านเซียนเยี่ยดังคาด ทว่าท่านเซียนเพิ่งมาถึงตอนนี้ หรือว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้พักอยู่ในเมืองฮ่วนเย่” บรรพชนตระกูลหล่งเผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ยถาม

“ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่เมื่อครึ่งเดือนก่อน แต่ข้ายังไม่ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชามาร แม้ว่าจะมีไข่มุกมารคอยอำพราง ก็ไม่กล้าเข้าไปในเมืองง่ายๆ อยากจะลองสังเกตการณ์ดูอีกสักสองสามวัน ค่อยขบคิดเรื่องเข้าเมือง ทว่าดูจากท่าทางของพี่หล่งและสหายฮุย ดูเหมือนว่าจะเพิ่งมาถึงไม่นาน และยิ่งไปกว่านั้นท่าทางของสหายฮุยก็ไม่ค่อยดีนัก!” หญิงสาวสวมชุดขนนกกะพริบตาปริบๆ กวาดตามองบุรุษชุดดำแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามด้วยความฉงน

“จะพูดไปแล้วก็น่าละอายใจนัก ผู้แซ่หล่งพบอุปสรรคมากมายระหว่างทาง เมื่อวานเพิ่งจะมาถึง ไม่สู้ท่านเซียนที่มาถึงเร็วกว่า กลับเป็นสหายหานดูเหมือนจะมาถึงสักระยะแล้ว หลังจากที่น้องฮุยออกจากทะเลมดก็บังเอิญพบกับมดตัวนั้น และถูกพิษของมันโดยไม่ทันระวัง ทว่าโชคดีที่กินยาถอนพิษไปแล้ว ระหว่างทางข้าก็ช่วยเข้าโคจรพลังยุทธ์ตลอด ถึงได้ล่าช้าเช่นนี้ โชคดีที่ยามนี้น้องฮุยไม่มีปัญหาร้ายแรง” บรรพชนตระกูลหล่งถอนหายใจขณะเอ่ยตอบ

“ถูกพิษมด มิน่าล่ะพี่ฮุยถึงได้เป็นเช่นนี้ สาเหตุที่น้องมาถึงที่นี่สาย กลับเพราะเข้าไปในดินแดนรกร้างอันตราย และถูกกักเอาไว้นานสองสามเดือน สุดท้ายถึงได้โชคดีหลบหนีมาได้” หญิงสาวสวมชุดขนนกพลันประหลาดใจเล็กน้อย แล้วอธิบายเรื่องของตนเองด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย

“ผู้แซ่หานกลับไม่ค่อยพบปัญหาใดระหว่างทาง มาถึงเมืองฮ่วนเย่ได้สองสามเดือนก่อนแล้ว จึงพักอยู่ในเมือง ทว่านอกจากสหายทั้งสามแล้ว ก็ไม่เห็นร่องรอยของเผ่าวิญญาณและสหายหลิน! ยามนี้พวกเขายังไม่มาถึงไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรอกกระมัง” หานลี่กลับขมวดคิ้วขณะเอ่ย

“น่าจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นกระมัง สหายหลินเองก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นยังเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหลีกหนีระดับสุดยอดสองสามชนิด ต่อให้พบกับศัตรูที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน แต่ก็น่าจะหนีออกมาได้ไม่มีปัญหา ส่วนเผ่าวิญญาณก็เคลื่อนไหวด้วยกัน ไม่อาจเป็นอันใดได้” บรรพชนตระกูลหล่งมีสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น

“เรื่องนั้นย่อมพูดยาก เดิมข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่ความจริงแล้ว แดนรกร้างของแดนมารอันตรายกว่าแดนรกร้างของแดนวิญญาณของพวกเรามาก แม้แต่ข้าก็ยังติดอยู่ในนั้นสองสามเดือน พวกเขาจะพบกับปัญหาที่ไม่อาจต้านทานได้ในแดนรกร้างก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” หญิงสาวชุดขนนกมีสีหน้าราบเรียบ แล้วเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย

“ช่างเถิด ยามนี้พูดอันใดก็ไม่มีประโยชน์ ถึงอย่างไรเสียก็ยังไม่ถึงวันที่นัดกัน พวกเรารออีกหน่อยเถิด ใช่แล้วในเมื่อสหายหานมาถึงที่นี่นานแล้ว คิดดูแล้วคงเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างในเมืองสินะ อธิบายให้พวกเราฟังได้หรือไม่ว่าได้กิ้งก่ามารแปดขานั้นมาหรือไม่” บรรพชนตระกูลหล่งเงียบขรึมไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยกับหานลี่เช่นนี้

“ย่อมไม่มีปัญหา!” หานลี่ได้ยิน ก็ตอบรับอย่างไม่ต้องขบคิด

“เมืองฮ่วนเย่ในยามนี้ถูกสี่ตระกูลใหญ่และขุมอำนาจต่างๆ อย่างเจดีย์หมื่นทาสยึดกุมร่วมกัน แต่กิ้งก่าแปดขาหนึ่งในนั้นกลับมีแค่สี่ตระกูลใหญ่ที่มี หากอยากได้กิ้งก่ามารมีเพียงต้องเป็นลูกน้องของตระกูลเหล่านี้เท่านั้น แต่กิ้งก่ามารแปดขาก็สำคัญกับสี่ตระกูลเป็นอย่างมาก เกี่ยวข้องกับปัญหาในการตั้งมั่นของตระกูลต่างๆ ในเมืองฮ่วนเย่ ดังนั้นหากอยากใช้วิธีธรรมดา ย่อมไม่อาจทำได้ ผู้แซ่หานมีโชคไม่เลว ยามที่มาถึงก็ได้สร้างความสัมพันธ์กับตระกูลไป๋ และยิ่งไปกว่านั้นยังช่วยพวกเขาแก้ปัญหาเรื่องที่รับมือยาก จึงได้กิ้งก่ามารแปดขาสองตัวมาจากพวกเขา แต่หากอยากได้กิ้งก่ามารมากกว่านี้จากตระกูลไป๋ เกรงว่าอาจจะเป็นไปไม่ได้ ทว่าสหายทั้งสามอาจจะมีโชคกับตระกูลอื่นๆ ลองดูว่าจะใช้สมบัติล้ำค่าแลกกับกิ้งก่ามารสักสองสามตัวได้หรือไม่ จากที่ข้าเข้าใจ ตระกูลหนิงและตระกูลฟางดูเหมือน…”

หานลี่กลับไม่ได้ปิดบังอันใด อธิบายเรื่องที่ตนเองรู้ให้ฟังอย่างละเอียด

ผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร เขาถึงได้เล่าสถานการณ์ในเมืองฮ่วนเย่รวมทั้งสถานการณ์ของขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ได้คร่าวๆ

ยามแรกได้ยินหานลี่กล่าวว่าได้กิ้งก่ามารแปดขาสองตัวมา บรรพชนตระกูหล่งและพวกต่างก็มีสีหน้าตื่นเต้น เผยสีหน้ายินดีออกมา แต่หลังจากที่ฟังสถานการณ์ในเมืองอย่างละเอียด ก็เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา

ในที่สุดเมื่อหานลี่หยุดพูด บรรพชนตระกูลหล่งก็เอ่ยอย่างมีแผนการ

“ยินดีกับพี่หานที่แก้ปัญหากิ้งก่ามารได้ แต่เมื่อครู่ข้าได้ยินว่ากิ้งก่ามารแปดขาคือรากฐานของสี่ตระกูล นั่นเพราะเหตุใดบอกรายละเอียดได้หรือไม่ และยิ่งไปกว่านั้นในตระกูลน่าจะมีกิ้งก่ามารอยู่เท่าไหร่”

“จากที่ข้ารู้ทุกตระกูลมีกิ้งก่ามารแปดขาแค่ยี่สิบสามสิบตัวเท่านั้น สาเหตุที่ตระกูลเหล่านี้ให้ความสำคัญกับกิ้งก่ามารเหล่านี้ ก็เพราะพวกมันสามารถเข้าออกทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวได้อย่างอิสระ ขอแค่มีกิ้งก่ามารเหล่านี้ ตระกูลเผ่ามารใหญ่ๆ ถึงจะเข้าไปในส่วนลึกของทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวเพื่อตามหาวัตถุดิบล้ำค่าต่างๆ ได้ และสามารถขนส่งได้อย่างไม่จำกัด คิดดูเถิด เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ยิ่งใหญ่เพียงนี้ ตระกูลเหล่านั้นก็จะรู้สึกว่าอสูรมารชนิดนี้มีน้อยมาก จะยอมให้คนนอกง่ายๆ ได้อย่างไร” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ

บรรพชนตระกูลหล่งและพวกทั้งสามได้ยินก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ดูเหมือนจะรู้สึกว่ารับมือยาก

หลังจากผ่านไปชั่วครู่หญิงสาวชุดขนนกกลับเอ่ยถามหานลี่อีกครั้งด้วยเสียงแผ่วเบา

“พี่หานช่วยตระกูลไป๋แก้ปัญหาเรื่องใด คาดไม่ถึงว่าจะมอบกิ้งก่ามารให้ทีเดียวสองตัว!”

“ไม่มีอันใด แค่ข้าน้อยถูกตระกูลไป๋เชิญให้กับจัดการกับอสูรมารในทะเลทรายตัวหนึ่งเท่านั้น แต่เรื่องนี้ต้องเกิดในเวลาที่เหมาะสม เกรงว่าคงไม่อาจเลียนแบบได้” หานลี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ

“ดูแล้วดวงของสหายคงไม่เลวจริงๆ!” หญิงสาวชุดขนนกเอ่ยอย่างอิจฉาเล็กน้อย

“แค่โชคดีเท่านั้น” หานลี่ฉีกยิ้มแหบแห้ง มีสีหน้าราบเรียบ

“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตาเฒ่าเองก็เคยฝึกฝนเคล็ดวิชามารเป็นหลัก หากใช้มันปลอมเป็นไข่มุกมารละก็ คิดดูแล้วในเมืองฮ่วนเย่ก็ไม่จำเป็นหวาดกลัวว่าจะถูกเปิดโปง อีกเดี๋ยวจะเข้าไปในเมืองพร้อมกับสหายหาน เพื่อความปลอดภัยน้องฮุยและท่านเซียนเยี่ยหาที่รออยู่นอกเมืองเถิด และรักษาการติดต่อกับพวกเราไว้ตลอดเวลา รอให้คนอื่นๆ มาถึง ผู้แซ่หล่งและสหายหานจะดูว่าจะเอากิ้งก่ามารมาได้หรือไม่ หากสุดท้ายไม่มีวิธีจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจะมีแค่ต้องแอบเข้าไปในตระกูล ไม่ก็ชิงหรือขโมยกิ้งก่ามารมาสักสองสามตัว ทว่าวิธีนี้จะสร้างศัตรูได้ง่ายๆ ไว้เป็นทางเลือกสุดท้ายเถิด” บรรพชนตระกูลหล่งครุ่นคิดเล็กน้อย ในที่สุดก็เอ่ยอย่างตัดสินใจ

“ก็ดี เมืองฮ่วนเย่และเมืองเซวี่ยยานั้นไม่เหมือนกัน ด้านในมีจอมมารจำนวนมาก หากคนมีฝึกฝนเคล็ดวิชาวิเศษ มีเพียงไข่มุกมาที่อำพรางได้ ข้าก็ไม่ค่อยวางใจนัก น้องและสหายฮุยจะอยู่ด้านนอกชั่วคราวก็แล้วกัน เรื่องกิ้งก่ามารต้องรบกวนพี่หล่งพี่หานแล้ว” หญิงสาวสวมชุดขนนกพยักหน้า แล้วเอ่ยอย่างเห็นด้วย

บุรุษสวมชุดคลุมสีดำไม่มีข้อคิดเห็นอื่น พลางพยักหน้าเล็กน้อย

เวลาต่อจากนี้บรรพชนตระกูลหล่งและพวกเริ่มปรึกษาแผนการและขั้นตอนอย่างละเอียด ไตร่ตรองสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ทุกอย่าง เมื่อรู้สึกว่าไม่มีปัญหา ในที่สุดทั้งสี่คนก็ควบคุมลำแสงหลีกหนีออกไปจากภูเขา

หานลี่ไม่ได้เคลื่อนไหวพร้อมกับบรรพชนตระกูลหล่ง แต่เข้าไปในเมืองฮ่วนเย่ตามลำดับ

ครึ่งวันต่อมา ณ ลานวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในเมืองก็มีชายวัยกลางคนระดับหลอมสุญตาขั้นปลายเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง

นั่นก็คือบรรพชนตระกูลหล่งที่กดพลังยุทธ์เอาไว้

บรรพชนตระกูลหล่งไม่เพียงอำพรางพลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์ของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังเช่าเจดีย์อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากที่พักของหานลี่

ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของทั้งสองได้

วันเวลาค่อยๆ ผ่านไป หานลี่นอกจากจะบังเอิญเจอกับบรรพชนตระกูลหล่งและพวกที่ใช้อาวุธส่งข่าวคราวมา ก็ยังคงอยู่ในส่วนลึกของที่พักไม่ยอมออกมา เอาแต่กักตนฝึกเคล็ดวิชาหุ่นเชิดผลึกมารทั้งวัน

ช่วงเวลานี้บรรพชนตระกูลหล่งกลับได้สัมผัสเมืองฮ่วนเย่ทั้งเมือง และลองเปลี่ยนฐานะคิดจะใช้สมบัติล้ำค่าแลกกิ้งก่ามารแปดขากับตระกูลต่างๆ แต่กลับทยอยกันล้มเหลวอย่างไม่น่าแปลกใจ

แต่บรรพชนตระกูลหล่งกลับไม่ได้ท้อแท้ ในสายตาของเขาไม่ว่าแดนวิญญาณหรือว่าแดนมาร ใต้หล้านี้ไม่มีสิ่งใดที่ไม่อาจแลกมาได้ แต่แค่ดูแล้วมูลค่าของของที่เอามาแลกจะสูงไม่พอเท่านั้น

ดังนั้นเขาไม่เพียงจะไม่หยุดพัก ยังถือโอกาสนี้สร้างความสัมพันธ์กับศิษย์ระดับสูงคนหนึ่งของตระกูลจ้าวได้ และไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ

หานลี่ได้รู้ทุกอย่างจากข่าวที่ส่งมา แต่กลับไม่ได้มีเจตนาจะสอดมือเข้าไปยุ่ง แค่ดูวิธีการของบรรพชนตระกูลหล่งว่าจะได้ผลหรือไม่อยู่เงียบๆ

แต่ยามที่ผลยังไม่ออก ด้านนอกเมืองกลับได้ข่าวว่าในที่สุดกลุ่มวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาถึงเมืองฮ่วนเย่แล้ว

บรรพชนตระกูลหล่งได้ยินย่อมดีใจ ออกจากเมืองพร้อมกับหานลี่มาพบเผ่าวิญญาณและสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวอีกครั้ง

แม้ว่าเผ่าวิญญาณผู้นี้จะมาสายยิ่งกว่าบรรพชนตระกูลหล่งและพวก แต่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์สองสามตนนี้กลับมากันครบถ้วน และยิ่งไปกว่านั้นยังปลอดภัยไร้การบาดเจ็บ

แต่ยามที่พบกันหานลี่กลับอดที่จะเหลือบมองวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นามว่า ‘จื่อสุ่ย’ สองสามแวบไม่ได้

ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ เขาสัมผัสได้ว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เผ่าอาวุธวิญญาณที่หน้าซีดขาวผู้นี้ ดูเหมือนจะมีกลิ่นอายเย็นชามากกว่าก่อนหน้าหลายส่วน เมื่อเข้าใกล้ก็รู้สึกไม่สบายใจ

หานลี่กวาดจิตสัมผัสไปบนเรือนร่างของคนผู้นี้ แต่เมื่อสัมผัสกับร่างกายของอีกฝ่ายก็จมหายไปราวกับโคลนที่จมลงสู่มหาสมุทร ไม่ได้ผลเลยสักนิด ทำให้เขาขมวดคิ้วอยู่ในใจไม่ได้

ทว่านอกจากนี้บรรพชนตระกูลหล่งและเผ่าวิญญาณก็ปรึกษากันอย่างราบรื่น ทันใดนั้นนอกจากสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวและนักปราชญ์ชรานามว่า ‘ฉางสิง’ ที่ปิดบังพลังยุทธ์แฝงตัวเข้ามาในเมือง เผ่าวิญญาณคนอื่นๆ ก็รวมตัวกับหญิงสาวชุดขนนก ยังคงรอข่าวคราวอยู่นอกเมือง

เมื่อมีบรรพชนตระกูลหล่งสองคนช่วยเหลือ การดำเนินแผนการของตนต่อ และสุดท้ายก็เลือกเป้าหมายเป็นตระกูลจ้าว ค่อยๆ เพิ่มราคาการแลกเปลี่ยนทีละนิดๆ ไปพลาง เริ่มใช้วิธีการต่างๆ สืบสวนการเลี้ยงดูกิ้งก่ามารของตระกูลจ้าวและเขตอาคมต้องห้ามของตระกูลจ้าวไปพลาง

เห็นได้ชัดว่าบรรพชนตระกูลหล่งและพวก ได้เตรียมไม้แข็งเอาไว้แล้วหากสุดท้ายไม่อาจแลกเปลี่ยนได้