บทที่ 706 ไม่รออีกสักหน่อยหรือเจ้าคะ?

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 706 ไม่รออีกสักหน่อยหรือเจ้าคะ?

ครึ่งชั่วยามผ่านไป

เซียวปิงนอนแผ่หราอยู่บนกำแพงเมืองพร้อมกับถามตัวเองว่า ทำไมข้าต้องมาย่างอาหารทะเลให้คนอื่นรับประทานด้วยนะ?

บัดนี้ เด็กหนุ่มไม่อยากรับฟังคำว่า ‘ปลาย่าง’ อีกต่อไปแล้ว

ใครก็ตามที่กล้าพูดคำว่าปลาย่างต่อหน้าเขา เซียวปิงจะต่อยหัวมันให้ระเบิดกระจุยไปเลย

“น้องชาย เจ้ามีฝีมือขนาดนี้ พรุ่งนี้เช้าช่วยส่งปลาย่างขึ้นไปให้ข้ารับประทานในกระโจมด้วยนะ”

หลินเป่ยเฉินเดินเข้ามาตบไหล่เซียวปิงพร้อมกับส่งยิ้มอบอุ่นมาให้

เซียวปิงรีบลุกขึ้นนั่ง ยิ้มรับอย่างมีความสุข “ไม่มีปัญหาขอรับท่านพี่ แต่ท่านจะเอาปลาย่างเพียงอย่างเดียวหรือขอรับ? ท่านพี่อยากรับประทานสิ่งอื่นด้วยไหม ข้าสามารถทำให้ท่านทานได้ทุกอย่างเลย”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นจึงเอนตัวเข้ามากระซิบว่า

“น้องรัก ข้าค้นพบเส้นทางเศรษฐีครั้งใหม่แล้ว ไม่ทราบว่าเจ้าสนใจหรือไม่?”

เซียวปิงหูผึ่งขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำนั้น

มีใครบ้างไม่อยากเป็นเศรษฐี

หลินเป่ยเฉินลดเสียงเบาลงมากกว่าเดิม “ข้าจะเปิดโรงขนส่งอาหารทะเลข้างสถานศึกษาของพวกเราล่ะ และข้าจะใช้ชื่อว่าโรงขนส่งอาหารทะเลเซียวปิง ข้าจะให้เจ้าทำงานอย่างเต็มที่ ข้าจะสร้างตลาดอาหารทะเลที่พวกเราคือผู้ค้าอันดับหนึ่ง ส่วนหน้าที่ของเจ้าก็คือออกไปหาอาหารทะเลมาให้ได้เท่านั้น เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

“ก็ดีนะขอรับท่านพี่ แต่ว่า…”

เซียวปิงพูดด้วยความมึนงง “พวกเราจะไปเอาอาหารทะเลมาจากไหน? ทางนครเจาฮุยระบายแหล่งน้ำในตัวเมืองออกไปหมดแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้พวกชาวทะเลบุกเข้ามาโจมตีได้…มิหนำซ้ำ ที่นี่ยังอยู่ห่างจากมหาสมุทรไกลโข”

“เจ้านี่มันโง่เหลือเกิน”

หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองค่ายที่พักของชาวทะเลที่ตั้งอยู่นอกกำแพงเมือง

เซียวปิงชะงักกึก จากนั้นถึงได้เข้าใจ

“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ฮ่าฮ่าฮ่า สมแล้วที่เป็นท่านพี่จริงๆ”

หลินเป่ยเฉินตบไหล่เด็กหนุ่มร่างอ้วน “แต่เจ้าต้องไม่ลืมว่าชีวิตของตนเองสำคัญที่สุด ในค่ายที่พักของพวกชาวทะเลมีแต่ขุนพลแข็งแกร่งทั้งนั้น การหาวัตถุดิบของเจ้าต้องลอบจับตัวพวกมันตอนออกมานอกค่ายที่พัก และจะทำบุ่มบ่ามกลางวันแสกๆ ไม่ได้ เวลาลงมืออย่าลืมนำอากวงมาด้วย เพราะมันสามารถช่วยทำให้เจ้าล่องหนได้ อีกอย่าง ห้ามจับพวกนักรบชาวทะเลที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์เด็ดขาด เพราะเอามาก็คงขายยากทีเดียว…”

เซียวปิงตบหน้าอกของตนเอง รับคำอย่างหนักแน่น “ท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วง วิชากระบี่เร้นกายในร่างของข้าเลื่อนขึ้นสู่ระดับกระดูกทองคำขาวแล้ว ต่อให้ถูกพวกมันรุมทุบตีก็ไม่มีปัญหา…”

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต

ไอ้อ้วนนี่เลื่อนระดับได้อีกแล้วเหรอเนี่ย?

เลื่อนระดับได้เร็วกว่าเขาอีก?

หลินเป่ยเฉินพบว่าตนเองกลายเป็นฝ่ายตามหลังเซียวปิงอีกครั้ง

เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?

อาหารทะเลย่างไฟในมือของเขาก็ไม่ได้มีกลิ่นหอมชวนรับประทานอีกแล้ว

น่าเบื่อชะมัด

“เฉียนเหมย พวกเรากลับ”

หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนออกคำสั่ง

“ฮื่อ จะกลับเลยหรือเจ้าคะ นายท่าน ไม่รออีกสักหน่อยหรือเจ้าคะ?”

เฉียนเหมยพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าซึม “อีกไม่นาน พวกมันอาจกลับมาโจมตีก็เป็นได้”

นางยังคงอยากสัมผัสความรู้สึกในสมรภูมิสงครามอย่างแท้จริงดูสักครั้ง

“งั้นเจ้าอยู่ที่นี่ต่อไปก็แล้วกัน”

หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อ “เจ้าต้องเชื่อฟังคุณชายรอง… ไม่ใช่สิ เจ้าต้องเชื่อฟังท่านแม่ทัพเสี่ยวเย่ให้ดี ห้ามทำอะไรที่จะเป็นการทำให้ภาพลักษณ์ของข้าเสียหายเด็ดขาด หากเจ้ากล้าก่อปัญหาปัญหาขึ้นที่นี่ ข้าขอรับรองเลยว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสได้กลับมาที่กำแพงเมืองอีก”

“นายท่านพูดจริงนะเจ้าคะ?”

เฉียนเหมยโพล่งถามด้วยความดีใจ

แต่แล้วนางก็รีบเสแสร้งแกล้งทำสีหน้าเสียใจ “แต่ข้าน้อยยังคงอยากรับใช้อยู่ข้างกายนายท่านเจ้าค่ะ”

“เจ้าพูดจริงหรือ?”

หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม

เฉียนเหมยนิ่งเงียบใช้ความคิดเล็กน้อย ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “แต่การอยู่ประจำการที่กำแพงเมืองเพื่อสังหารศัตรูก็ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน อีกอย่าง ข้างกายของนายท่านก็ยังมีเฉียนเจินคอยรับใช้อยู่ทั้งคน ถึงบางครั้งข้าน้อยจะไม่อยู่ข้างกายนายท่านบ้างก็ไม่มีปัญหา แต่ประเด็นสำคัญก็คือ หากนายท่านต้องการตัวข้าน้อย นายท่านก็สามารถตามหาตัวข้าน้อยได้ที่กำแพงเมืองเสมอเจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินคำตอบของเด็กสาว หลินเป่ยเฉินก็รู้แล้วว่านางมีบ้านหลังใหม่เป็นกำแพงเมืองแห่งนี้ไปเสียแล้ว

หลินเป่ยเฉินจึงต้องเดินทางกลับที่พักด้วยจิตใจอันหดหู่

เฮ้อ

ทำไมนะ?

ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?

ทำไมผู้คนรอบกายเขาถึงเป็นพวกเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยมขนาดนี้?

แม้แต่เฉียนเหมยผู้เคยเป็นสาวรับใช้ใสซื่อบริสุทธิ์ บัดนี้กลับสามารถเรียนรู้ทักษะเอาตัวรอดพูดจาไหลลื่นได้ถึงขนาดนี้

มันเป็นเพราะอะไรกัน?

หรือว่านางจะติดเชื้อความลื่นไหลไปจากเจ้านายอย่างเขา?

เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินควบคุมกระบี่บินจากไปในท้องฟ้ายามพลบค่ำ เฉียนเหมยก็กลับมามีสีหน้าตื่นเต้นอีกครั้ง

นางหันกลับมามองหน้าเสี่ยวเย่ด้วยดวงตาเป็นประกาย “ท่านแม่ทัพเสี่ยว พวกชาวทะเลมันจะยกกองทัพมาโจมตีอีกเมื่อไหร่หรือเจ้าคะ?”

“เอ่อ…”

เสี่ยวเย่ตอบกลับมาด้วยความตกใจเล็กน้อย “พวกเราไม่สามารถระบุได้หรอก บางทีคืนนี้พวกมันอาจไม่โจมตีอีกเลยก็ได้…”

“ถ้าอย่างนั้น”

เฉียนเหมยพูดด้วยเสียงกระตือรือร้น “พวกเราเป็นฝ่ายบุกไปโจมตีก่อนได้ไหมเจ้าคะ?”

เสี่ยวเย่และนายทหารใต้บังคับบัญชาขมวดคิ้วหน้ายุ่งขึ้นมาทันที

“แม่นางเฉียนเหมย สงครามไม่ได้มีเพียงการต่อสู้ระหว่างกองทหารอย่างเดียวเท่านั้นหรอกนะ สิ่งสำคัญสูงสุดคือการเก็บชัยชนะให้ได้โดยที่เสียกำลังพลน้อยที่สุดต่างหาก ทุกครั้งที่เราบุกโจมตี พวกเราต้องมียุทธการที่ชัดเจน เจ้ารับปากได้ไหมล่ะว่าถ้าบุกโจมตีในครั้งนี้จะไม่มีพวกเราได้รับบาดเจ็บ…”

เสี่ยวเย่พูด สีหน้าขึงขัง

เฉียนเหมยสะดุ้งโหยง

ถึงนางจะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่นายทหารหนุ่มพูดสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อย เฉียนเหมยก็สามารถข่มความตื่นเต้นของตนเองลงได้มากแล้ว

“ข้าน้อยรับทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ”

เฉียนเหมยขออภัยด้วยน้ำเสียงจริงจัง และกลับมามีบุคลิกเยือกเย็นสุขุมอีกครั้ง “ข้าน้อยผิดไปแล้ว”

เสี่ยวเย่ชะงักไปเล็กน้อยเพราะทำตัวไม่ถูก เขาไม่รู้เลยว่าควรจะจัดการกับสาวรับใช้ผู้นี้อย่างไรดี

ที่สำคัญก็คือนางเป็นสาวรับใช้ประจำตัวหลินเป่ยเฉิน หากเกิดอะไรขึ้นกับเฉียนเหมยตอนนางอยู่ในความดูแลของเขา เสี่ยวเย่ก็รู้ว่าตนเองคงต้องเดือดร้อนแน่ๆ

ดังนั้น หลังจากใช้ความคิดอยู่พักใหญ่ เสี่ยวเย่ก็สั่งให้บริวารของตนเองสองคนทำหน้าที่คอยคุ้มกันอารักขาเด็กสาวอย่างใกล้ชิด ก่อนจะสั่งให้พาตัวนางไปสวมใส่ชุดเกราะที่ลงค่ายอาคมพิเศษ เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ที่อาจมาถึงได้อย่างไม่คาดฝันตลอดเวลา…