ตอนที่ 1351 แหลก โดย Ink Stone_Fantasy

สถานที่นัดพบยังคงเหมือนครั้งที่แล้ว

แม้แต่ที่นั่งก็ยังเหมือนเดิม

วัลคีรีย์เดินเข้าไปในร้านอาหาร ก่อนจะเห็นโรแลนด์ที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างทันที ความรุ่งโรจน์ของมนุษย์เหมือนจะขยายตัวออกมาจากใต้เท้าของเขา ดูแล้วคล้ายเงาที่ทอดยาวออกมา ความรู้สึกตรงนี้ทำให้เขากลายเป็นเหมือนเทพที่เธอไม่อาจย่างกรายเข้าไปยุ่งได้

เธอส่ายหัวแล้วโยนความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป

“ข้ามาแล้ว”

เธอนั่งลงตรงหน้าโรแลนด์

“อยากกินอะไรไหม?” หลังเห็นเธอส่ายหัว โรแลนด์จึงเรียกพนักงานเข้ามา “อย่างนั้นก็เอาทุกอย่างมาอย่างละที่แล้วกัน เดี๋ยวพวกเรากินไปคุยไปก็ได้”

กาแฟกับของหวานถูกยกมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว วัลคีรีย์เองก็ไม่ได้แสดงท่าทีปฏิเสธ เธอย่อมต้องหยิบเอาเค้กจากคาร์การ์ดเข้าไปในปาก ก่อนจะค่อยๆ ละเลียดรสชาติอันหอมหวานและอ่อนนุ่มของมัน เธอรู้สึกเหมือนนี่ไม่ใช่การพูดคุยกับศัตรู หากแต่เป็นการจิบชายามบ่ายมากกว่า

“เจ้าดูต่างจากก่อนหน้านี้นะ” โรแลนด์จ้องมองดูเธอ

“ข้าคิดมาแล้ว การกินไปคุยไปมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีอะไร” วัลคีรีย์ค่อยๆ พูด การเจอหน้าครั้งแรกเธอเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เรียกได้ว่าเธอแทบจะถูกอีกฝ่ายจูงจมูกอยู่ตลอดเวลา แต่ครั้งนี้เธอจะไม่เป็นแบบนั้นแล้ว เธอจินตนาการใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องของอีกฝ่ายในตอนที่ส่งข้อความเหล่านั้นมาให้เธอออก แต่ไม่มีใครที่จะได้ใจไปตลอด ด้วยเหตุนี้เธอจึงอดทนมานานมากพอแล้ว

“เอาล่ะ” โรแลนด์มุ่ยปาก “ที่เจ้าตอบข้าครั้งนี้เพราะเจ้าคิดได้แล้วใช่ไหม?”

วัลคีรีย์พยักหน้า

“อย่างนั้นคำตอบคือ?”

“ข้าปฏิเสธ”

จากนั้นเธอก็มองเห็นความงุนงงและความไม่เข้าใจบนใบหน้าโรแลนด์ น่าจะเป็นเพราะเขาคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะปฏิเสธออกมาตรงๆ แบบนี้ แม้แต่สีหน้าที่มักจะเยือกเย็นก็ยังเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนจับตัวแข็งขึ้นมา ในมือของโรแลนด์ยังคงถือแก้วเอาไว้ หลังผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงขมวดคิ้วพร้อมจิบเครื่องดื่มที่อยู่ในแก้ว

“…เหตุผลคือ?”

“การเลือกแบบไม่ได้อะไรเลยหรือแบบห้าสิบๆ ฟังดูแล้วเหมือนจะมีเหตุผล เมื่อเทียบกับความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์แล้ว ทัพหน้ากองหนึ่งนั้นไม่ได้มีค่าอะไรเลย ถ้าอยากจะหยุดการล่มสลายของโลก มันก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงการสูญเสียได้ บอกตามตรง ข้าเกือบจะถูกเจ้ากล่อมแล้วเชียว” วัลคีรีย์หยิบขนมเค้กใส่ปากอีกครั้ง “แต่น่าเสียดาย…ทุกอย่างมันต้องตั้งอยู่พื้นฐานของความจริง มันถึงจะมีความหมาย”

“แต่ที่ข้าพูดมันคือเรื่องจริง!” โรแลนด์พูดเสียงคร่ำเคร่ง นี่เป็นครั้งแรกที่น้ำเสียงเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง

“แต่ข้ากลับไม่สามารถพิสูจน์ในเรื่องนี้ได้”

“….” จู่ๆ โรแลนด์ก็เงียบไป

“เจ้าก็เห็นแล้วใช่ไหมล่ะ? ข้าถูกขังอยู่ที่นี่ ข่าวคราวจากโลกภายนอกทุกอย่างล้วนแต่ส่งมาจากเจ้า ไม่ว่าทัพหน้าที่อยู่ในวูล์ฟฮาร์ทจะพ่ายแพ้หรือว่าเรื่องแสงแห่งอาทิตย์นั่น ข้าก็ไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้เลย นั่นยิ่งทำให้ข้าไม่สามารถทำการตัดสินใจอะไรออกมาโดยฟังจากข้อมูลพวกมันได้”

“ข้าคิดว่าเจ้าจะฉลาดขึ้นอีกหน่อย มาโลกแห่งความฝันนานขนาดนี้แล้ว เจ้าน่าจะรู้ถึงศักยภาพในการทำสงครามของมนุษย์จากหนังสือประวัติศาสตร์ที่เจ้าอ่านแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ศักยภาพมันไม่ได้หมายถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริง” วัลคีรีย์พูดโต้กลับไป “ถูกต้อง พลังที่มนุษย์แสดงออกมาในตอนนี้มันแข็งแกร่งจริงๆ ไม่อย่างนั้นอุรูคไม่มีทางมองพวกเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่เท่าเทียมกันแน่! แต่นั่นก็เหมือนกัน ตอนนี้เผ่าพันธุ์ข้าต้องแบ่งกำลังส่วนใหญ่ไปรับมืออาณาจักรซีสกายเอาไว้ ถ้าหากมีใครคิดขึ้นมาได้ว่าเราไม่อาจทำศึกสองด้านพร้อมกันและจำเป็นต้องทิ้งฝั่งใดฝั่งหนึ่งก่อน มนุษย์ก็ไม่แน่ว่าจะรับมือการบุกอย่างเต็มกำลังของพวกข้าได้!”

เธอชะงักไปเล็กน้อย “สรุปแล้วก็คือ การยกระดับที่พวกเจ้าได้รับมานั้นไม่ใช่การยกระดับของอารยธรรม หลังจากนี้อีกหลายร้อยปีมันอาจจะให้ผลที่ไม่ต่างจากเศษชิ้นส่วนสืบทอด แต่สถานการณ์ในตอนนี้มันจะกลายเป็นแบบไหนข้าเองก็ไม่อาจมั่นใจได้เหมือนกัน ดังนั้นหลังจากนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องส่งข่าวพวกนั้นมาให้ข้าแล้ว”

โรแลนด์เหมือนจะอยากพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา

วัลคีรีย์มองไปนอกหน้าต่างพร้อมสัมผัสกับความรุ่งเรืองของเมืองมนุษย์ ในที่สุดตอนนี้ความสุขุมที่อีกฝ่ายแสดงออกมาก็หายไป สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือสีหน้าที่ดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด

เพียงแต่เธอไม่ได้รู้สึกสบายใจเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ ภัยคุกคามจากพระเจ้ายังคงมีอยู่ คำเตือนของทรานฟอร์มเมอร์ยังคงไม่ถูกขจัดออกไป ถ้าหากสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาคือความจริง อย่างนั้นการที่เธอปฏิเสธมันก็คือคำตอบที่ไร้ซึ่งความหวังอย่างเห็นได้ชัด

แต่ว่าการจะให้เธอหักหลังเผ่าพันธุ์จากคำพูดของมนุษย์เพียงฝ่ายเดียว มันก็ดูเป็นการตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่นไป เมื่อลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว เธอเลือกที่จะปฏิเสธอีกฝ่าย

ถึงแม้การตัดสินใจนี้มันจะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงมาก

วัลคีรีย์หยิบเอาเค้กก้อนสุดท้ายใส่เข้าไปในปาก ก่อนจะแสร้งทำเป็นพูดอย่างสบายๆ ขึ้นมาว่า “ขอบคุณเจ้ามากนะ ต่อไปข้าคงจะคิดถึงรสชาตินี้แน่”

“ถ้าเจ้าอยากกิน ครั้งหน้าเราค่อยนัดกันใหม่ก็ได้” โรแลนด์ส่ายหัว “ไม่ต้องพูดเหมือนว่านี่จะเป็นอาหารเย็นมือสุดท้ายหรอก”

“…” วัลคีรีย์ตกตะลึง เธอนึกภาพปฏิกิริยาของอีกฝ่ายหลังจากที่ผิดหวังเอาไว้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าโกรธแค้น ยิ้มเย้ยหยัน หรือว่าพูดเตือนด้วยเสียงดุดัน แต่มันกลับไม่มีการตอบสนองแบบนี้อยู่ในจินตนาการของเธอ ในเมื่อเธอปฏิเสธอีกฝ่ายไปแล้ว อย่างนั้นต่อให้โรแลนด์จะหาโอกาสลงมือกำจัดเธอมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะยังไงเธอก็เป็นหนึ่งในราชาของเผ่าพันธุ์ปีศาจซึ่งเป็นศัตรูที่สำคัญของมนุษย์ในตอนนี้

“ข้ากลับก่อนล่ะ” โรแลนด์ถอนหายใจออกมา ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปทางประตูร้านอาหาร “หลังจากนี้ข้ายังจะส่งข่าวพวกนั้นมาอยู่ ต่อให้เจ้าอยากจะหลบหนีมันก็ตาม เพราะยังไงนั่นมันก็คือความจริง

เจ้านี่ มันไม่ได้ฟังที่เธอพูดเลยเหรอ!

วัลคีรีย์ถามไล่กลับไป “หลังจากนี้เจ้าคิดจะทำยังไง?”

“ทำยังไง?” เขาตอบโดยไม่หันหน้ากลับมา “ความคิดข้าไม่เคยเปลี่ยน เปิดเผยความลับของแหล่งกำเนิดเวทมนตร์ ทำให้สงครามแห่งโชคชะตามันจบสิ้น ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจแบบไหนมันก็ยังเป็นเหมือนเดิม”

นี่เขาแกล้งพูดออกมาหรือว่ามันเป็นความคิดของเขาจริงๆ?

ภายในหัวของวัลคีรีย์มีภาพตอนที่เจอกันครั้งแรกผุดขึ้นมา คำถามสุดท้ายที่โรแลนด์ถามเธอในตอนนั้นคือ

‘เจ้าคิดว่าสิ่งที่ทรานฟอร์มเมอร์ทำเมื่อหนึ่งพันปีก่อนมันผิดหรือไม่?’

…..

“เธอคิดว่าสมาคมเป็นยังไงบ้าง?”

เฟยอวี่หานจับพวงมาลัยพร้อมเอ่ยถามขึ้นมา หลังรถเลี้ยวเข้าไปในถนนวงแหวน มันก็กลับขึ้นไปบนสะพานทางด่วน รถที่ขับอยู่บนสะพานนี้มีไม่มาก ทัศนวิสัยปลอดโปร่ง แม่น้ำที่ส่องประกายระยิบระยับกับตึกสูงที่ตั้งเรียงรายอยู่เต็มฝั่งแม่น้ำทอดยาวไปทางเส้นขอบฟ้า ราวกับว่ามันไม่มีที่สิ้นสุด

สะพานแห่งนี้คือเส้นแบ่งระหว่างเขตเมืองกับเขตชานเมือง จากศูนย์พักพื้นกลับไปยังเขตถงจึจำเป็นต้องขับผ่านมัน

“อื้อ…ไม่ค่อยเหมือนกับที่คิดเอาไว้เท่าไรค่ะ” เมื่อเทียบกับภาพทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ซีโร่เหมือนจะสนใจกับการตกแต่งภายในรถมากกว่า ประเดี๋ยวเธอก็ไปลูบหนังนุ่มๆ ที่อยู่ตรงประตู ประเดี๋ยวเธอก็ไปลูบลำโพงที่อยู่ตรงคอนโซลหน้ารถ ดวงตาที่เป็นเหมือนอัญมณีสีแดงของเธอกรอกไปกรอกมาไม่หยุดนับตั้งแต่ที่ขึ้นรถมา

“โอ้? อย่างนั้นสมาคมในความคิดเธอมันเป็นยังไงล่ะ?”

“ก็…ดูลึบลับกว่านี้ ไม่ใช่มาตั้งอยู่ข้างถนนเหมือนโรงแรมแบบนี้” ซีโร่พูดงึมงำ

“เมื่อก่อนเมืองปริซึมก็เคยเป็นแบบนั้นแหละ แต่ช่วงนี้มันเจอปัญหานิดหน่อย พวกเราก็เลยต้องย้ายมาอยู่ที่นั่นชั่วคราว” เฟยอวี่หานยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กน้อย เธอย่อมไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นเย็นชาเพื่อรักษาระยะห่าง “นอกจากนี้ที่ฉันถามก็ไม่ได้หมายถึงอันนี้ ฉันหมายถึงความรู้สึกของเธอในตอนที่เดินอยู่ในศูนย์ต่างหาก — เพราะว่าถ้าจะเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังแห่งธรรมชาติหลังจากนี้ เธอก็ต้องพักอยู่ที่ศูนย์พักฟื้นอีกนาน ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกอาจารย์ได้เลย”

สาวน้อยไม่ได้ตอบออกมาทันที หากแต่หันหน้ากลับไปแล้วถามกลับว่า “คุณอาโรแลนด์ก็ทำงานอยู่ที่นั่นเหรอค่ะ?”

“ใช่ แต่ว่าเขาคงไม่ได้มาอยู่เป็นเพื่อนเธอทุกวันหรอกนะ”

“หนูรู้ค่ะ” ซีโร่มุ่ยปาก “เขามีพี่สาวน้อยสาวหลายคนต้องดูแล แล้วก็ต้องทำงานจนดึกๆ ดื่นๆ อยู่บ่อยๆ”

จู่ๆ รถก็พุ่งขึ้นไปข้างหน้าทันที

เฟยอวี่หานถอนเท้าออกจากคันเร่ง ก่อนจะแกล้งทำเป็นกระแอมออกมาเล็กน้อย — นี่เป็นข้อมูลที่ได้มาอย่างกะทันหันจริงๆ! ถึงแม้เธอจะรู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงที่หน้าตาสะสวยเหล่านั้นมาจากอีกโลกหนึ่ง แต่เธอกลับมองข้ามปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งไป นั่นคือพวกเธอเรียกเขาว่าฝ่าบาท!”

ใช่แล้ว ในเมื่อเป็นราชา อย่างนั้นการที่มีภรรยาหลายคนมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากอะไร เฟยอวี่หานถึงขนาดตั้งสมมติฐานต่อไปว่าเป็นเพราะพวกเธอมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโรแลนด์ซึ่งเป็นผู้สร้างโลกหรือเปล่า พวกเธอจึงสามารถเข้ามาในโลกนี้ได้?

การที่รับเอาซีโร่ไว้เป็นศิษย์นั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆ เมื่อมีวัลคีรีย์กับซีโร่ เธอเชื่อว่าอีกไม่นานเธอจะต้องรู้ความลับของโลกนั้นอย่างแน่นอน

เดี๋ยวๆ…ถ้าคิดแบบนี้ล่ะก็ อย่างนั้นถ้าตัวเองอยากจะเข้าไปดู ‘โลกแห่งความจริง’ ตัวเองก็ต้อง…

“อาจารย์ อาจารย์…อาจารย์ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”

หลังซีโร่เรียกอยู่หลายครั้ง ก่อนจะดึงเธอออกมาจากภวังค์ได้ “เปล่า ไม่เป็นไร เธอพูดต่อเลย”

“ดังนั้นมีแต่ต้องกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ หนูถึงจะได้เจอคุณอาบ่อยขึ้น” ซีโร่พูดสรุป “อย่างนั้นไม่ว่าสมาคมผู้ฝึกยุทธ์จะเป็นแบบไหน  หนูก็จะอยู่!”

เฟยอวี่หานหุบยิ้มทันที โอเค ช่างเป็นเหตุผลที่เรียบง่ายจริงๆ

เรียบง่าย แต่มุ่งมั่น

เดิมเธอคิดว่าสาวน้อยจะต้องใช้เวลาสักพักในการปรับตัวกับการย้ายออกมา แต่ในตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นตัวเองที่คิดมากไป

อีกฝ่ายโตกว่าที่ตัวเองคิดเอาไว้เสียอีก

“วางใจได้ กว่าจะทำเรื่องย้ายเข้ามาเรียนกับเข้าพักก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยอาทิตย์หนึ่ง ยิ่งปกว่านั้นในสมาคมก็มีวันหยุดด้วย ไม่ต้องคิดว่าหนทางการเป็นผู้ฝึกยุทธ์มันจะลำบากขนาดนั้น เดี๋ยวพอกลับไปครั้งนี้ก็ไปบอกลาเพื่อนที่โรงเรียนนะ…” พอพูดไปได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เฟยอวี่หานก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกตินิดหน่อย

จู่ๆ รถขนสินค้าคันหนึ่งที่อยู่ในถนนฝั่งตรงข้ามก็หักมาทางซ้าย 2 เลน ก่อนจะชนเข้ากับรั้วกั้นถนนแล้วพลิกข้ามมา

เธอรีบเหยียบเบรกพร้อมกับหักพวงมาลัยไปทางขวาทันที

แต่หลังจากนั้นตู้สินค้าขนาดใหญ่ก็กลิ้งทับรั้วกั้นถนนเหมือนกับกำแพงยักษ์ที่กวาดเข้ามา ถนนถูกปิดตาย รถข้างหน้าที่ถูกชนฉีกเป็นชิ้นๆ เหมือนกับกระดาษ เรียกได้ว่าไม่มีโอกาสที่จะรอดชีวิตเลย

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก แทบจะไม่มีเวลาให้ได้ตั้งตัวเลย….

จากนั้นก็มีเสียงดังสนั่นขึ้นมา รถที่ทั้งสองคนนั่งอยู่ปะทะกับรถชนสินค้าอย่างแรง!

เนื่องจากหักพวงมาลัยไปทางขวาอย่างกะทันหัน ตัวรถจึงแทบจะกระเด็นปลิวออกไป แรงปะทะอย่างรุนแรงฉีกโครงรถออก ตำแหน่งห้องคนขับยุบเข้าไปทั้งแถบ

…………………………………………………