ตอนที่ 477 “บุกเดี่ยวมาเพียงลำพัง”

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นฝ่ายรักษาความปลอดภัยของบริษัทเทียนหยิ่งมานานหลายปี มีคนเด่นคนดังแบบไหนที่ไม่เคยพบเห็นบ้างเล่า 

 

 

คนผู้นี้…..หน้าตาดีมาก แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่พวกที่จะควรไปหาเรื่องด้วย 

 

 

กลางหน้าร้อน กลับกล้าสวมชุดนอนสีดำทั้งตัวออกมาข้างนอก 

 

 

ดูอย่างไรก็เหมือนพวกมาเฟียลับๆที่ไม่ควรจะไปผิดใจด้วยเลย 

 

 

ตอนนี้อยู่ๆเขาก็เอ่ยถึงเรื่องเลวร้ายขึ้นมา พนักงานรักษาความปลอดภัยก็พาลนึกไปถึงเรื่องฆ่าคนปิดปากขึ้นมาในทันที อยู่เขาก็รู้สึกมวนท้องขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้าไปหาเรื่องอะไรกับจีเฉวียน 

 

 

จีเฉวียนยึดมือถือของเขาเอาไว้  

 

 

พอดวงเนตรหงส์มองไป พนักงานรักษาความปลอดภัยคนนั้นก็ขาสั่นขึ้นมา ในชั่วขณะนั้นเขารู้สึกเหมือนกับว่าถูกภูเขาลูกหนึ่งทับเอาไว้ จนในอกมีแต่ความอึดอัดไปหมดแทบจะกระอักเลือดออกมา 

 

 

เขากดหน้าอกเอาไว้ เกือบจะเข้าใจไปว่าตนเองเป็นโรคหัวใจเสียแล้ว 

 

 

จีเฉวียนเพียงเหลือบพระเนตรมองดูเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยพระโอษฐ์ตรัสว่า “รถไฟกล่องเหล็กด่วนพิเศษแบบใดที่แพงที่สุด?” 

 

 

พนักงานรักษาความปลอดภัย “?” 

 

 

 ฮ่องเต้ทรงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตรัสว่า “รถไฟฟ้าด่วนพิเศษ” 

 

 

อืม ซิงซิงคล้ายจะเรียกมันแบบนี้ 

 

 

สมองของพนักงานรักษาความปลอดภัยแทบจะกลายเป็นน้ำเปล่าหมดแล้ว เขาไม่เข้าใจที่พระองค์ตรัสแม้แต่น้อย 

 

 

แต่เมื่อต้องเผชิญกับบุคคลยิ่งใหญ่เช่นนี้ เขาก็ไม่กล้าที่จะเงียบเฉย ได้แต่เอ่ยว่า “ในเมืองหลวงพึ่งจะเปิดสายสามสิบแปด ใช้รถแบบใหม่ทั้งหมด สายนี้น่าจะแพงที่สุดแล้วละมั้ง?” 

 

 

“อืม เรียกว่า สามสิบแปดรึ?” (38=ซานสือปา) 

 

 

ฮ่องเต้ทรงเห็นว่าชื่อนี้จำง่ายดี สมควรจับมาเป็นสัตว์พาหนะให้กับตู๋กูซิงหลันที่สุดแล้ว  

 

 

พนักงานรักษาความปลอดภัยผงกศีรษะราวโขลกกระเทียม “หรือจะเรียกว่าสามแปดก็ได้” (38=ซานปา=คำด่าว่า นังตอแหล) 

 

 

“ลูกพี่ ออกประตูไปแล้วก็เลี้ยวขวา เดินผ่านไปสองไฟแดง ก็จะเจอประตูทางเข้าของสายสามแปดแล้ว เมื่อวันก่อนพึ่งจะเปิดใช้บริการเอง ของใหม่ใสแจ๋วเลย” 

 

 

“ดี เราเข้าใจแล้ว เจ้าไสหัวไปได้” ฮ่องเต้ตรัสด้วยสีพระพักตร์เป็นน้ำแข็ง 

 

 

พนักงานรักษาความปลอดภัยได้แต่เหลือบมองโทรศัพท์มือถือแวบหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าขอคืนมา 

 

 

พอฮ่องเต้ปรายพระเนตรมาอีกครั้ง เขาก็แทบจะโกยสี่ขาวิ่งออกไปจากที่จอดรถใต้ดิน 

 

 

…………………………. 

 

 

บนชั้นห้าของตึกเทียนหยิ่ง 

 

 

พอตู๋กูซิงหลันเข้ามาถึง ก็รู้สึกถึงไอเย็นแปลกๆวูบวาบที่ซอกคอ 

 

 

บริษัทเทียบหยิ่งคือบริษัทสร้างละครฟอร์มยักษ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก่อตั้งมานานถึงสามสิบปีแล้ว ปั้นดาราจนกลายเป็นสี่ราชาและห้าราชินีจอเงิน   จนถึงบัดนี้ไม่มีบริษัทใดจะยิ่งใหญ่เกินหน้าได้เลย 

 

 

ในวงการบันเทิง บริษัทเทียนหยิ่งนั้นเปรียบดังผืนฟ้าอันยิ่งใหญ่ 

 

 

ยามปกติในบริษัทมีดารานักแสดงเข้าออกไม่น้อย ตอนแรกที่ทุกคนได้เห็นตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่ทันได้มีปฏิกริยาใดๆออกไป 

 

 

เพียงแต่ตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอปรากฏตัว สายตาของทุกคนต่างก็พากันจับจ้องมาที่ร่างของเธอ 

 

 

เยี่ยซิงหลันหรือ? หลังจากหายตัวไปสองปี….ก็บุกเดี่ยวมาที่เทียนหยิ่งตามลำพัง? 

 

 

 ดูชุดกระโปรง หมวกและแว่นตาราคาถูกๆนั่นสิ…. 

 

 

ทุกคนยิ่งมาต่างก็ยิ่งรู้สึกว่า…..เรื่องที่แพร่สะพัดในอินเตอร์เน็ตนั้นคงจะไม่ใช่เรื่องโกหก เธอคงจะถูกคนตระกูลใหญ่บ้านไฮโซถีบหัวส่งออกมาจริงๆ ถึงได้จำใจต้องปรากฏตัวเช่นนี้ 

 

 

ได้ยินว่าคนที่เธอแต่งงานด้วย ก็คือคุณชายน้อยZของตระกูลที่ลึกลับที่สุดในเมืองหลวง 

 

 

เมื่อหลายวันก่อน มีข่าวในวงมืดว่า เธอไปพัวพันกับคุณชายน้อยZ 

 

 

เธอหายตัวไปนานถึงสองปี คุณชายZคนนั้นก็ไม่มีความเคลื่นไหวใดๆเช่นกัน ดูท่าทั้งสองคนคงจะแอบไปปลีกวิเวกจริงๆ 

 

 

จากรูปที่เด็กส่งของถ่ายออกมา เค้าโครงของผู้ชายที่อยู่ข้างหลังตู๋กูซิงหลัน ก็ดูคล้ายคลึงกับคุณชายน้อยZอยู่หลายส่วน 

 

 

คนอย่างเยี่ยซิงหลันเย่อหยิ่งออกจะตายไป แล้วมีหรือจะไปปอกแอปเปิ้ลให้คนอื่นกิน? 

 

 

สองปีมานี้….คงจะไปคอยปรนนิบัติพัดวี ยกน้ำร้อนน้ำชาให้คุณชายZคนนั้นมาละสิ? 

 

 

แล้วเป็นไงละ แค่แป๊ปเดียวก็คงจะถูกเขาเล่นจนเบื่อแล้วสินะ 

 

 

เกิดเป็นผู้หญิง ต้องรู้จักคิดรู้จักทำอะไรด้วยตนเองเอาไว้บ้าง อย่าได้เอาแต่พึ่งพาผู้ชายอยู่ตลอด ดูสิเป็นไง เยี่ยซิงหลันที่เคยมีชื่อเสี่ยงโด่งดังตอนนี้ต้องชื่อเสียงพังพินาศไปแล้วเห็นไหม? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเมินเฉยต่อสายตามากมาย เดินหน้าเชิดอกตรง ไปยังห้องออดิชั่นที่ชั้นห้า 

 

 

Sherry บอกเอาไว้แล้ว่า คนที่จะมาทำการทดสอบบทให้กับเธอก็คือ ผู้กำกับเรื่อง《พระสนมคลั่ง》ที่ชื่อ หยุนโหว เป็นคนที่รับมือไม่ง่ายเท่าไหร่ 

 

 

พอตู๋กูซิงหลันก้าวเท้าเข้าไปในห้องก็ได้เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยในทันที 

 

 

ผิวพรรณขาวผ่องราวเมล็ดข้าว เรือนร่างบอบบางและสง่างามในชุดกระโปรงติดกันสีเขียว เมื่ออยู่ท่ามกลางฤดูร้อนเช่นนี้ก็ยิ่งส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดูแล้วสดชื่น 

 

 

ซ่งเจียงเสวี่ย 

 

 

ไม่พบกันสองปี มีสง่าราศีดูดีขึ้นมาเชียว 

 

 

เดิมทีซ่งเจียวเสวี่ยกำลังพูดคุยกับหยุนโหวอยู่ พอเห็นตู๋กูซิงหลันเข้ามาถึงได้ชะงักบทสนทนาไป สายตาของเธอทอดลงมาบนร่างของตู๋กูซิงหลันอย่างช้าๆ มองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า 

 

 

“ไม่เจอกันสองปี อาหลัน สบายดีสินะ” 

 

 

น้ำเสียงของเธอเบานุ่ม ดูไม่ออกเลยว่ามีเค้าของความยินดีที่ ‘เพื่อนเก่าได้กลับมาเจอกัน’ อยู่หรือไม่ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองไปยังเธอด้วยแววตาเรียบเฉย “อย่ามาเรียกฉันแบบนี้ พวกเราไม่ได้สนิทกัน” 

 

 

ซ่งเจียงเสวี่ยเปลี่ยนสีหน้าไปในทันที “เธอล้อเล่นแล้ว พวกเราเคยเป็นเพื่อนซี้กันมาก่อนนะ” 

 

 

ซ่งเจียงเสวี่ยแต่งหน้ามาอย่างปราณีต แววตามีรอยยิ้มสามส่วน เย็นชาเจ็ดส่วน สีหน้าเช่นนี้ใครได้เห็นต่างก็มองออกอย่างชัดเจน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันนวดศีรษะ “ก่อนหน้านี้เคยเก็บสุนัขข้างทางที่เกือบจะอดตายมาได้ อุตส่าห์เลี้ยงดูอย่างดีจนอ้วนพี สุดท้ายแล้วมันกลับมาแว้งกัดครั้งหนึ่ง แล้วยังจะกล้ามาร้องขอความเป็นธรรมอีก” 

 

 

ประกายตาของผู้กำกับหยุนโหวส่องไปยังร่างของคนทั้งสองสลับกันไปมา คำพูดของเยี่ยซิงหลันเท่ากับด่ากันซึ่งๆหน้าอยู่ชัดๆ ต่อให้คนตาบอดก็ยังรู้ว่าเธอกำลังประชดใส่ซ่งเจียงเสวี่ย 

 

 

เยี่ยซิงหลันคนนี้ ……ถึงจะหายตัวไปนานถึงสองปี แต่ก็ยังคงเป็นคนที่ไม่ไว้หน้าผู้ใดทั้งสิ้นเหมือนเดิม 

 

 

ตอนนี้ซ่งเจียงเสวี่ยกลายเป็นราชินีจอเงินคนใหม่ไปแล้วนะ เธอยังจะเห็นว่าซ่งเจียงเสวี่ยเป็นแค่นักแสดงหญิงชั้นสามอยู่อีกหรือ? 

 

 

หยุนโหวกำลังจะเอ่ยปาก ก็เห็นตู๋กูซิงหลันปรายตามาทางนี้ 

 

 

“วันนี้ฉันมาเพื่อทดสอบบท ไม่สนใจจะฟังเรื่องไร้สาระที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน” แค่ประโยคเดียว ก็ทำเอาคำพูดทั้งหลายของหยุนโหวที่ยังไม่ทันได้เอ่ยออกมาต้องกลืนกลับลงไป 

 

 

เดิมทีเขาคิดจะเถียงแทนซ่งเจียงเสวี่ยสักสองประโยค แต่ว่าผู้หญิงคนนี้กลับเหมือนถังแก๊ส ยังไม่ทันจะแตะก็พร้อมจะระเบิดแล้ว 

 

 

ซ่งเจียงเสวี่ยสีหน้าไม่น่าดู …..ตอนนี้ข่าวฉาวของเยี่ยซิงหลันแพร่กระจายไปทั่วแล้ว ยังคิดว่าตนเองเป็นศูนย์กลางของผู้คนเหมือนแต่ก่อนอีกหรือ? 

 

 

เธอได้แต่สงบอารมณ์ขุ่นเคืองของตนเองลง ทัดปอยผมที่ข้างหลังหู “ อย่างนั้นพวกเราก็อย่ามัวคุยกันอยู่เลย ไปทดสอบบทเลยเถอะ” 

 

 

ว่าแล้ว เธอก็หันไปส่งยิ้มให้กับตู๋กูซิงหลันอีกครั้ง “อ่อ ลืมบอกเธอไปเลย วันนี้ฉันก็มาเป็นผู้ร่วมพิจารณาด้วยอีกคน เพราะว่าจะมาเล่นประกบฉันไม่ใช่หรือ ฉันย่อมต้องใส่ใจอยู่แล้ว จริงไหม?” 

 

 

 หยุนโหวกลัวว่าเยี่ยซิงหลันจะระเบิดลงที่ตรงนี้ จึงรีบเอ่ยขึ้นมาว่า “เจียงเสวี่ยเป็นนักแสดงมืออาชีพที่มีความรับผิดชอบ ก็เลยคัดเลือกฉากที่นางเอกและนางร้ายปะทะกันมาเป็นบททดสอบ ฉากนี้ขอเพียงคุณเล่นได้ดีให้พวกเราพอใจ บทนางร้ายใน 《พระสนมคลั่ง》จะต้องเป็นของคุณอย่างแน่นอน” 

 

 

หากว่ากันตามจริง ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยซิงหลันอยู่ๆก็มีข่าวฉาวออกมามากมายขนาดนี้ …..การที่เธอยอมมาเล่นเป็นนางร้ายให้ หยุนโหวย่อมรู้สึกดีใจอย่างมาก 

 

 

แต่ช่างน่าเสียดาย…..ตอนนี้ชื่อเสียงของเยี่ยซิงหลันเละเทะหมดแล้ว ทำให้เขารู้สึกลังเลอยู่บ้าง 

 

 

ซ่งเจียงเสวี่ยเสนอตัวมาช่วยเขาเลือกบททดสอบ เขาย่อมต้องรู้สึกขอบคุณอยู่แล้ว เพราะอย่างไรตู๋กูซิงหลันก็ไม่ได้รับงานการแสดงมาสองปีแล้ว ใครจะไปรู้ว่าเธอยังเล่นละครได้หรือไม่? 

 

 

“เรื่องในฉากนั้นเป็นแบบนี้….” หยุนโหวพูดพลางก็รีบฉวยเอาบทละครขึ้นมาเล่มหนึ่ง 

 

 

เป็นตอนที่นางเอกกลับมาเกิดใหม่ แล้วได้พบกับนางร้ายโดยบังเอิญ 

 

 

…………………………