ทางด้านของสันเขาทรราชในตอนนี้กำลังอลหม่านกันเป็นอย่างมาก เนื่องจากพวกเขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าตัวตนอย่างพวกเขาจะมีใครกล้ามาหาเรื่องถึงถิ่น
ด้วยข่าวที่ส่งต่อกันไม่ชัดเจนจึงทำให้เข้าใจกันไปว่าผู้ที่มารุกรานเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิเท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิผู้หนึ่งของสันเขาทรราชจึงปรากฏกายขึ้นขวางทางกลุ่มของหลิงตู้ฉิงด้วยท่าทีองอาจทันที “พวกเจ้าเป็นใครกัน? พวกเจ้ารู้รึเปล่าว่าพวกเราคือสันเขาทรราช พวกเจ้าเบื่อชีวิตกันแล้วใช่ไหม?”
น่าเสียดายที่ผู้เชี่ยวขอบเขตจักรพรรดิจะไปมีปัญญาต่อต้านอะไรกับเล้งเจี้ยนชิว ที่อยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นต้น?
หลังจากที่ผู้เชี่ยวขอบเขตจักรพรรดิของสันเขาทรราชพูดจบเพียงอึดใจเดียว เล้งเจี้ยนชิวก็ส่งเขาไปเกิดใหม่ในทันที
เมื่อเห็นการตายอย่างง่ายดายของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิ บรรดาผู้คนของสันเขาทรราชก็ยกระดับความรุนแรงของเหตุการณ์มากขึ้นไปอีกระดับ พวกเขาได้ส่งกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเองออกมารับมือ
กองทัพของสันเขาทรราชนั้นแน่นอนไม่ได้มีเพียงแค่ชื่อเสียงที่น่าเกรงขามแต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็นับได้ว่าเป็นของจริง พวกเขาสามารถใช้ค่ายกลรบที่สำแดงอำนาจได้ทัดเทียมกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิ ซึ่งในตอนนี้พวกเขาต่างก็บินขึ้นมาบนท้องฟ้าและล้อมกรอบกลุ่มของหลิงตู้ฉิงเอาไว้จากทุกทิศทุกทาง
แต่แล้วเมื่อพวกเขาเห็นว่ามีกลุ่มของสำนักเต๋าสวรรค์นับสิบคนรวมอยู่ในกลุ่มของหลิงตู้ฉิง ผู้เชี่ยวชาญผู้หนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้นำทัพของสันเขาทรราชก็ตะโกนถามขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “พวกเจ้าสำนักเต๋าสวรรค์กล้ามากที่บุกเข้ามาถึงสันเขาทรราชของพวกข้าแบบนี้ พวกเจ้าคิดจะเปิดศึกแตกหักกับพวกเราใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซวนหยวนถึงกับกรอกตาและคิดในใจ ‘พวกเจ้าตาบอดกันเหรอไง? พวกเจ้าไม่เห็นเหรอว่าคนของข้ายังไม่ทันทำอะไรเลยด้วยซ้ำ? มันก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าคนที่ลงมือมันมีเพียงแค่คนเดียวคือ เล้งเจี้ยนชิวแห่งสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์! ทำไมพวกเจ้ากลับมากล่าวหาพวกข้าซะอย่างนั้น?’
ซวนหยวนตอบกลับด้วยสีหน้าจนใจ “พวกข้าสำนักเต๋าสวรรค์ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความวุ่นวายครั้งนี้แม้แต่น้อย แต่ลูกชายของคุณชายท่านนี้อยู่ในสันเขาทรราชของพวกเจ้า เขาต้องการที่จะพบกับลูกชายของเขา”
ในเวลาเดียวกัน หลิงตู้ฉิงที่กำลังนั่งอยู่ในรถมังกรก็ลุกขึ้นยืนและพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ลูกชายของข้า หลิงยู่ชาน อยู่ที่ไหน?”
หนึ่งในคนของสันเขาทรราชถามกลับด้วยสีหน้างุนงง “ใครกันลูกชายของเจ้า หลิงยู่ชาน?”
“ข้านึกออกแล้ว! ไอ้เด็กหนุ่มที่หายตัวไปนานและเพิ่งถูกหาตัวเจอเมื่อเร็ว ๆ นี้ไง!” ใครบางคนที่นึกออกตะโกนขึ้น
“หลิงยู่ชาน เด็กที่ถูกพาตัวมาจากทะเลชางหมางนั่นน่ะนะ?” ใครบางคนถามทวนขึ้นอีกรอบ
แต่แล้วในเวลาเดียวกับที่เหล่าผู้คนกำลังจะนึกออกว่าหลิงยู่ชานเป็นใคร อำนาจพลังของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิผู้หนึ่งก็ปะทุขึ้นที่ใจกลางเมืองสันเขาทรราชพร้อมกับเสียงตะโกนว่า “เทียนชิว พวกเจ้าทำแบบนี้มันเกินไปแล้ว!”
“เทียนชู เจ้าจงคืนพลังสายเลือดมาให้ชานเอ๋อเดี๋ยวนี้!” อีกเสียงหนึ่งที่ทรงอำนาจยิ่งกว่าเสียงแรกก็ได้ดังขึ้นตามมา “แค่เพียงเพราะชานเอ๋อของเรามีพรสวรรค์ไม่เพียงพอ เจ้าถึงกับขโมยพลังในสายเลือดของเขา เจ้าทำแบบนี้ข้าไม่ยอม! หากวันนี้เจ้าไม่คืนพลังสายเลือดมา ข้าจะสู้กับเจ้าจนตายกันไปข้างหนึ่ง!”
ถัดมาเสียงของเทียนชูก็ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงจนใจ “พี่เทียนเฮง เรื่องปัญหาภายในของพวกเราเอาไว้ก่อนจะได้ไหม ในตอนนี้สันเขาทรราชของเรากำลังถูกศัตรูบุก ไม่ใช่ว่าพวกเราควรรับมือกับศึกภายนอกก่อนจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ?”
ในเวลาเดียวกัน หลิงตู้ฉิงและบรรดาคนของเขาก็ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดนี้เช่นกัน
สีหน้าของหลิงว่านถิงในตอนนี้เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดในทันที นางรีบดึงชายเสื้อหลิงตู้ฉิงและเอ่ยถามว่า “ท่านพ่อ พวกเขากำลังพูดถึงพี่ใหญ่อยู่ใช่ไหม?”
ทางด้านสีหน้าของหลิงตู้ฉิงในตอนนี้กลับกลายเป็นย่ำแย่ยิ่งกว่า เขารีบตะโกนขึ้นในทันที “หมิงยู่!”
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไรมาก ด้วยความรู้ใจหมิงยู่หลอมรวมร่างของนางเข้าไปในร่างของหลิงตู้ฉิงทันที
เมื่อหลอมรวมร่างกับหมิงยู่แล้ว หลิงตู้ฉิงโบกมือฉีกมิติตรงหน้าและพุ่งตัวหายไปโผล่อยู่ตรงหน้าเทียนเฮง และบรรดาผู้คนตระกูลเทียนและถามขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ชานเอ๋อ ที่พวกเจ้าพูดถึงใช่ลูกของข้า หลิงยู่ชาน ใช่ไหม?”
ก่อนหน้านี้ในตอนที่เทียนหลีต้องเผชิญกับทั้งเทียนชู เทียนชิว ในห้องเส้นชีพจรตระกูล เนื่องจากเขาไม่มีทางเลือกมากนักเขาจึงจำใจพาร่างอันหมดสติของหลิงยู่ชานกลับมาที่คฤหาสน์ของตระกูลก่อน
ในทันทีที่เทียนหลีพาร่างของหลิงยู่ชานกลับมาถึงคฤหาสน์ เทียนซ่งหยูและเหมาลี่ก็รีบวิ่งเข้ามาดูทันที และเมื่อพวกเขาเห็นว่าหลิงยู่ชานหมดสติแถมยังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังสายเลือดในร่าง พวกเขาก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ท่านปู่ ชานเอ๋อเป็นอะไรไป? ทำไมเขาถึงหมดสติแบบนี้? และทำไมข้าถึงสัมผัสไม่ได้ถึงพลังสายเลือดของเขาเลย ไม่ใช่ว่าท่านพาเขาเข้าไปที่ห้องเส้นชีพจรตระกูลเพื่อปรับปรุงสายเลือดไม่ใช่งั้นเหรอ?”
เทียนหลีเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าอับอาย “ข้าไม่เคยนึกเลยว่าเทียนเก๋อจะกล้าวางแผนใช้บัลลังก์นั่นในห้องเส้นชีพจรตระกูลเพื่อขโมยพลังสายเลือดของยู่ชาน!”
เทียนหลีอธิบายด้วยประโยคเพียงสั้น ๆ เพราะว่าเขาเองก็ไม่รู้จะสรรหาคำใด ๆ เอ่ยออกมาให้หลานชายและหลานสะใภ้ของเขาได้ฟัง และยิ่งโดยเฉพาะที่เขาเป็นผู้ที่นำหลิงยู่ชานไปที่ห้องเส้นชีพจรตระกูลด้วยตัวเองแล้วเกิดเรื่องเช่นนี้ เขารู้สึกผิดจนแทบจะกระอักเลือด
ไม่ว่าจะยังไง ใครมันจะไปคาดคิดว่าจะมีใครบางคนที่กล้าใช้บัลลังก์ต้องห้ามนั่นในการขโมยสายเลือดของผู้อื่น
ไม่จำเป็นต้องพูดถึงการขโมยพลังสายเลือดของคนที่มีสายเลือดเดียวกัน แค่เป็นการขโมยพลังสายเลือดของผู้อื่นที่มีคนละสายเลือดมันก็เพียงพอที่จะทำให้พลังที่สถิตอยู่ในเส้นชีพจรตระกูลเสียหายแล้ว
เทียนซ่งหยูเดินเข้าไปอุ้มร่างที่หมดสติของหลิงยู่ชานออกมาจากอ้อมแขนของเทียนหลี เมื่อเห็นสภาพที่น่าเวทนาเช่นนี้ของลูกชายของตัวเอง เทียนซ่งหยูถึงกับกระอักเลือดออกมาคำโตด้วยความคับแค้นใจ เขากู่ร้องขึ้นด้วยความเดือดดาลสุดขีด “ไอ้สารเลวเทียนเก๋อ! ข้าจะฆ่าเจ้า!!”
“ข้าก็รู้สึกสงสัยมาตลอดว่าทำไมไอ้สารเลวน้อยนั่นมันถึงได้พูดถึงเรื่องให้ชานเอ๋อของข้าเข้าไปในห้องเสีนชีพจรตระกูลอยู่ได้ทุกวี่วัน ที่แท้มันก็มีแผนการแบบนี้นี่เอง!” เหมาลี่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา
ในระหว่างที่คู่สามีภรรยากำลังเดือดดาล การกระทำของพวกเขาก็ไปสะดุดตาเหล่าผู้อาวุโสในตระกูล
หลังจากนั้นเมื่อเหล่าผู้อาวุโสได้ทราบเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับหลิงยู่ชาน พวกเขาต่างก็พากันเดือดดาลแสดงสีหน้าไม่ยินยอม
หลิงยู่ชานนั้นเป็นลูกหลานของพวกเขา ดังนั้นในเมื่อมีคนทำร้ายลูกหลานของพวกเขาขนาดนี้มันจึงเรื่องธรรมดาที่พวกเขาไม่อาจจะนิ่งเฉยอยู่ได้ พวกเขาจำเป็นต้องไปคิดบัญชีกับเทียนชิว และคนอื่น ๆ
ทางด้านของเทียนเฮง ผู้ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเทียนซ่งหยู เมื่อได้ทราบเรื่องเขาก็ตะโกนขึ้นด้วยความเดือดดาลทันที “เทียนชู เจ้าจงคืนพลังสายเลือดมาให้ชานเอ๋อเดี๋ยวนี้!”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์มันกลายเป็นบานปลายขนาดนี้ เทียนชูก็รู้สึกจนใจเช่นกัน
เขารู้ดีว่าหากเขาไม่จัดการเรื่องนี้ให้ดี เรื่องนี้จะบานปลายใหญ่โตจนกลายเป็นปัญหาภายในตระกูลไม่รู้จบแน่นอน และโดยเฉพาะที่เหตุการณ์ทุกอย่างมันช่างประจวบเหมาะกับที่ในตอนนี้พวกเขากำลังถูกศัตรูบุกด้วยแล้ว มันอาจจะกลายเป็นโอกาสให้ศัตรูใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งนี้ของพวกเขาทำลายพวกเขาได้ง่ายขึ้น
แต่ในทางกลับกัน การที่มีศัตรูบุกเข้ามาในช่วงเวลานี้มันก็มีข้อดีไปอีกแบบก็คือ เขาสามารถใช้ข้ออ้างที่มีศัตรูบุกในการประนีประนอมกับเทียนเฮงได้ก่อนชั่วคราว ซึ่งเมื่อจบเรื่องศัตรูเมื่อไหร่ เทียนเฮงก็น่าจะใจเย็นลงและเมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาก็จะสามารถคุยกันได้ง่ายขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร อย่างน้อย ๆ พวกเขาก็คือคนที่มีสายเลือดเดียวกัน!
“พี่เทียนเฮง ถึงแม้ว่าพวกข้าจะเป็นฝ่ายผิด แต่ในตอนนี้พวกคนของสำนักเต๋าสวรรค์กำลังรุกรานพวกเราอยู่ ข้าคิดว่าพวกเราควรร่วมมือกันขับไล่ผู้บุกรุกออกไปก่อนจะดีกว่าไหม? จากนั้นพวกเราค่อยมาคุยกันใหม่อีกที อ๋อแล้วอีกอย่าง เทียนเก๋อเองก็ได้สาบานต่อกฎแห่งสวรรค์ไปแล้วด้วยว่าเขาจะชดเชยให้กับพวกท่าน” เทียนชูเอ่ยโน้มน้าว
แต่ก่อนที่เทียนเฮงจะได้ตอบอะไรออกไป จู่ ๆ มิติที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาก็ถูกฉีกออกและตามมาด้วยชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขาพร้อมกับเอ่ยถามด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “พวกเจ้ากำลังพูดถึงลูกชายข้า หลิงยู่ชาน ใช่ไหม? เกิดอะไรขึ้นกับเขา?”
เทียนชูตอบกลับด้วยสีหน้าไม่พอใจ “นี่มันเป็นเรื่องภายในของตระกูลเทียนของเรา เจ้าเป็นคนนอกเจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงกล้ามาแทรกแซง?”
หลังจากที่พูดกับหลิงตู้ฉิงเสร็จ เทียนชูก็พูดกับเทียนเฮงทางโทรจิตว่า “พี่เทียนเฮง เอาเป็นว่าพวกเรามาจัดการเรื่องของผู้บุกรุกก่อนจะดีไหม? ไม่ว่าจะยังไงพวกเราก็เป็นพวกเดียวกันนะพี่เทียนเฮง!”
เทียนเฮงแสดงสีหน้าเย้ยหยันและหัวเราะ “พวกเดียวกันงั้นเหรอ?”
แต่ไม่ว่าจะเดือดดาลสักแค่ไหน เทียนเฮงก็รู้ตัวดีว่าอะไรสำคัญที่สุด เขาหันหน้าไปหาหลิงตู้ฉิง และพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “นี่มันเรื่องในตระกูลเทียนของพวกข้า พวกข้าจะจัดการกันเอง ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครจงไสหัวไปซะ!”
หลิงตู้ฉิงถามขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าจะถามพวกเจ้าอีกครั้ง เมื่อครู่พวกเจ้ากำลังพูดถึงหลิงยู่ชาน ลูกชายของข้าใช่ไหม? และตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับเขา!?”