บทที่ 2727 โรคใจก็ต้องใช้ยาใจ 3
“นางขึ้นฟ้าลงดิน ถ้าตามตัวคนที่รู้จักหรือว่ามีวาสนาเคยได้พบหน้าท่านมาได้สักคน นางก็จะถามผู้อื่นว่าจำท่านได้หรือไม่? นางเข้าไปสืบค้นข้อมูลในวังหลวงของอาณาจักรต่างๆ พยายามค้นหาบันทึกที่เกี่ยวข้องกับท่าน…แต่ตอนนั้นทุกคนล้วนลืมเลือนท่านไปแล้ว แม้แต่บันทึกก็สูญหายไปจนหมดสิ้นอย่างน่าประหลาด จนกระทั่งยามนี้ข้าน้อยก็ยังจดจำความสิ้นหวังของนางในยามนั้นได้ไม่เลือน ราวกับถูกโลกทั้งใบทอดทิ้งไปแล้ว…”
นิ้วมือตี้ฝูอีกำแน่นเล็กน้อย หลังจากเขาได้อยู่ร่วมกับกู้ซีจิ่วอีกครั้ง นางไม่เคยเล่าความหลังพวกนี้ให้เขาฟังเลย อย่างมากก็เอ่ยถึงประโยคสองประโยค และพูดอย่างขอไปทีเท่านั้น ไม่นึกเลยว่าตอนนั้นนางจะไม่ได้ลืมเลือน…
ราวกับเขาจะมองเห็นนางในช่วงเวลานั้นที่ล้มลุกคลุกคลานตามหาคนไปทั่วทุกหัวระแหง หัวใจพลันหดรัด โศกหมองเหลือคณา
มู่เฟิงพูดต่อไป “ตอนนั้นทุกคนล้วนไม่สนใจนาง นึกว่านางป่วยไปแล้ว หรืออาจถูกสิ่งใดกระทบกระเทือนเข้า…พวกเราสี่คนคิดจะรักษาให้นาง จนปัญญาที่นางไปมาดั่งสายลม ทุกคนหาตัวนางไม่พบเลย ต่อมาดูเหมือนนางจะไปทะเลมาหนหนึ่ง พอกลับมาอีกครั้งในที่สุดก็ลืมท่านไปแล้ว ตัวคนเสมือนสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นางเย็นชาดุจรูปสลักหยกที่ไม่มีชีวิต นางคือเทพศักดิ์สิทธิ์ อารมณ์ของนางส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศของทวีปนี้ ทวีปซิงเยวี่ยถูกปกคลุมด้วยหิมะอันหนาวเหน็บตลอดปี ประชาชนหาเลี้ยงชีพไม่ได้ ต่อมาไม่ทราบว่านางพบวิธีขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนได้อย่างไร นางขึ้นไปอยู่ที่ดินแดนเบื้องบนครึ่งปี พอกลับมาอีกครั้งถึงได้ดีขึ้นมาบ้าง...”
“นายท่าน เป็นเพราะเทพศักดิ์สิทธิ์กู้ห่วงใยท่าน ซ้ำยังเคยประสบการสูญเสียอันโศกศัลย์ปานนั้นมาแล้ว ดังนั้นตัวนางในยามนี้ถึงได้เดือดร้อนเป็นกังวลเช่นนี้ ไม่อยากห่างจากท่านเลยสักเค่อ...นายท่านขอรับ ความจริงแล้วนี่คือโรคทางใจของนาง โรคใจก็ต้องใช้ยาใจนะขอรับ บางทีถ้าผ่านไปอีกสักหน่อย นางก็คงจะค่อยๆ ปรับตัวได้”
ตี้ฝูอีพยักหน้านิดๆ ยอมรับคำพูดทั้งหมดของมู่เฟิง
ตอนที่กู้ซีจิ่วตื่นขึ้นมา ตี้ฝูอีกำลังนั่งอ่านม้วนหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ข้างกายเธอ
แสงตะวันด้านนอกพอเหมาะพอดี สุขสงบยิ่ง เป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบ และเขาก็อยู่ข้างกายเธอ
กู้ซีจิ่วผวาอยู่ครู่หนึ่ง ตี้ฝูอีกลับสังเกตนางอยู่ตลอด ทันทีที่นางลืมตาขึ้น สายตาเขาก็ผละจากม้วนหนังสือ “เด็กน้อย ตื่นแล้วหรือ?”
กู้ซีจิ่วลุกขึ้นนั่ง “หนนี้ข้าหลับไปค่อนข้างนานเลย”
“ช่วงที่ผ่านมาเจ้าเหนื่อยล้าเกินไป นอนมากๆ ก็ดีแล้ว” ตี้ฝูอีเก็บม้วนหนังสือ “หิวหรือไม่? อยากกินอะไรข้าจะทำให้เจ้ากิน”
กู้ซีจิ่วประหลาดใจ “ท่านทำอาหารเป็นหรือ?”
ตี้ฝูอีชะงักไปแวบหนึ่ง ยิ้มน้อยๆ “บนโลกนี้หามีเรื่องยากไม่ มีเรื่องใดที่สามารถสร้างความลำบากให้ข้าอย่างแท้จริงได้ด้วยหรือ? แยกจากกันสามวัน พบกันอีกคราต้องมองด้วยมุมใหม่ อยากชิมรสมือของข้าไหมล่ะ? ”
“อยาก!” กู้ซีจิ่วก็ไม่เกรงใจแล้ว ความจริงตอนนี้เธอตัดธัญญะแล้ว ไม่กินก็ไม่เป็นไร
แต่ยังคงมีความอยากอยู่ โดยเฉพาะหลังจากตั้งท้อง เธอมักจะมีความอยากอาหารเป็นพิเศษ
“อยากกินอะไร?”
“ปลา!”
แววตาตี้ฝูอีวูบไหวนิดๆ พยักหน้ารับ “ได้! ข้าจะพาเจ้าไปกินปลา!”
….
ตะวันชาดตกดิน คลื่นสมุทรผันผวน แสงอาทิตย์ตกกระทบผืนสมุทรสีครามเข้มไหวระยับดุจทองคำ
กู้ซีจิ่วนั่งอยู่บนเมฆาที่ตี้ฝูอีขับเคลื่อน งุนงงอยู่บ้าง
เธอก็แค่อยากกินปลาสักตัว ไม่ถึงขั้นที่เขาต้องถ่อมาไกลนับพันลี้เพื่อพาเธอดำลงสู่มหาสมุทรลึกกระมัง?
แถมสถานที่แห่งนี้ยังดูค่อนข้างคุ้นตาด้วย
“ซีจิ่ว ยังจำที่นี่ได้หรือเปล่า?”
“จำได้ ด้านล่างนี้คือวังบาดาลของท่าน…” กู้ซีจิ่วตอบได้เร็วยิ่ง มองดูท้องสมุทร สีหน้าซีดเซียวนิดๆ
เห็นได้ชัดเจนยิ่ง เธอนึกถึงความหลังเหล่านั้นขึ้นมาอีกครั้ง ย่อมขยุ้มแขนเสื้อของตี้ฝูอีไว้แน่น
————————————————————————————-
บทที่ 2728 โรคใจก็ต้องใช้ยาใจ 4
ตี้ฝูอีดึงนางกระโดดลงไป “เช่นนั้นพวกเรากลับไปดูกันเถอะ”
ตอนนี้วรยุทธ์ของตี้ฝูอีฟื้นฟูกลับมาอยู่ในช่วงพรั่งพร้อมบริบูรณ์ของเขาแล้ว การลงใต้ทะเลย่อมเป็นเรื่องเล็กน้อย กู้ซีจิ่วอยู่ภายในเขตแดนของเขา แม้แต่มุมชุดก็ไม่เปียกชื้นเลย
ตำหนักแก้วผลึกยังคงเป็นเช่นเดิม งดงามตระการตา
ตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่วจูงมือกันเดินเข้าไป เดินเคียงข้างกันบนทางเดินสายน้อยที่ปูด้วยหินหยกอำพัน จากนั้น ก็ได้เห็นศิลาที่ถูกเธอจารึกเอาไว้…
‘ตี้ฝูอี’ สามคำนี้แทบจะอยู่ทั่วทุกที่ ทุกคมมีดทุกการสลักล้วนจารึกลงไปลึกถึงเพียงนั้น เห็นได้ว่าผู้ที่สลักอักษรเหล่านี้กระวนกระวายมากเพียงใด มีความเร่งร้อนปรารถนาจะสลักนามนี้เอาไว้มากเพียงใด…
“พวกนี้ล้วนเป็นเจ้าที่สลักหรือ?” ตี้ฝูอีถามนาง
กู้ซีจิ่วกระแอมเบาๆ “ตอนนั้นนามของท่านก็เลือนหายไปเองเหมือนกัน ข้าไม่เชื่อในมนต์นั้น ดังนั้นจึงพยายามสลักลงไปอย่างสุดชีวิต ผลคือสิ่งที่ข้าสลักล้วนเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว…ไม่นึกเลยว่าพวกมันจะปรากฏขึ้นอีกครั้งเหมือนกัน”
น้ำเสียงเธอไม่สะทกสะท้าน ทว่าในใจกลับมีความรู้สึกสารพัด
ตี้ฝูอีกุมมือนาง “เช่นนั่นก็เล่าให้ฟังอย่างละเอียดเถอะ มา เจ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อย ข้าอยากรู้เรื่องราวทุกอย่างหลังจากข้าดับขันธ์ไปแล้ว”
กู้ซีจิ่วใจสั่นแวบหนึ่ง ความหลังเหล่านั้นเคยเป็นรอยแผลที่ไม่อาจแตะต้องได้ของเธอ ตอนนี้เขาคิดจะให้เธอเล่าออกมาเองหรือ?
จิตใต้สำนึกของเธอค่อนข้างต่อต้าน เพียงแต่ เมื่อเห็นแววตาที่จริงจังของตี้ฝูอีเธอก็ไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงเริ่มเล่าออกมา
เธอนึกว่าตอนที่เล่าเรื่องพวกนี้ออกมาอีกครั้ง จะทรมานยิ่งนัก กลับคาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะโอบเอวเธอไว้ตลอด ใช้การสัมผัสทางกายบอกต่อเธออย่างจริงจังว่า อดีตเหล่านั้นไม่ว่าจะทุกข์ทรมานสักเพียงใด ล้วนผ่านพ้นไปแล้วทั้งสิ้น เขากลับมาแล้ว…
ค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าตอนเล่าเธอจะหดหู่อยู่บ้าง ในใจปั่นป่วนดั่งคลื่นถาโถม แต่กลับไม่เสียใจมากนัก
ถึงขั้นที่พอเห็นเขารับฟังเธออย่างจริงจังเช่นนี้ เธอก็เกิดความต้องการที่จะบอกเล่าออกมาจริงๆ
เธอพูดจ้อไปเรื่อยๆ เขารับฟังอย่างจริงจัง ไม่ทันรู้ตัวก็เดินมาถึงสวนบุปผานั้นแล้ว บนพื้นของสวนบุปผาเต็มไปด้วยบทกลอนท่อนหนึ่ง ‘เรื่องจบสะบัดแขนเสื้อจาก’
บ้างก็เป็นระเบียบดี บ้างก็ยุ่งเหยิง มีใหญ่มีเล็ก มีหวัดมีตรง…แทบจะสลักไว้ทั่วพื้นสวนรวมถึงโขดหินที่ตั้งตระหง่าน เห็นได้ชัดว่ายามนั้นกู้ซีจิ่วบ้าคลั่งมากขนาดไหน
ว่ากันตามจริงแล้ว อักษรเหล่านี้ทำลายบรรยากาศอันงดงามของที่นี่ยิ่งนัก แต่ในสายตาของตี้ฝูอีแล้ว อักษรเหล่านี้ล้วนทรงคุณค่ายิ่ง!
กู้ซีจิ่วกลับอับอายอยู่บ้าง “ตอนนั้นเก็บนามของท่านไว้ไม่ได้ ทว่าทิ้งบทกลอนเหล่านี้ไว้ได้ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงจารึกไปกองใหญ่ ผลคือหลับไปงีบหนึ่งพอตื่นขึ้นมา ข้ายังคงไม่อาจต้านทานอำนาจลิขิตสวรรค์ได้ ลืมท่านไปจริงๆ แล้ว เมื่อเห็นอักษรที่เกลื่อนพื้นข้ายังนึกอยู่เลยว่าข้าประสาทไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะสลักบทกลอนท่อนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า…”
“ลิขิตสวรรค์คือไอ้สารเลว!” ตี้ฝูอีวิจารณ์
กู้ซีจิ่วชะงักไป อยากเอ่ยเตือนเขาสักประโยคยิ่งนัก ห้ามไม่ได้เขาด่าตัวเอง…
แต่เธอไม่อาจแพร่งพรายความลับของสวรรค์ได้ จึงกลืนคำเตือนนี้ลงไปอย่างเงียบงัน
จะว่าไปแล้วก็แปลก หลังเธอเล่าเรื่องพวกนี้ออกไป อารมณ์ก็ดีขึ้นไม่น้อย ราวกับความหลังอันเลวร้ายเหล่านั้นได้คลี่คลายบรรเทาไปพร้อมกับการบอกเล่าของเธอ
ตี้ฝูอีลอบสังเกตสีหน้านางอยู่ตลอด เห็นดวงตานางหยีโค้งก็ทราบแล้วว่าในที่สุดนางก็ข้ามผ่านมาได้แล้ว!
เห็นทีว่าวิธีหนามยอกต้องเอาหนามบ่งแขนงนี้ของเขาจะได้ผลแล้ว!
เรื่องบางอย่างยิ่งเก็บไว้ในใจก็ยิ่งกลายเป็นหนามยอกอกได้ง่ายๆ แต่หลังจากได้บอกเล่าออกมาแล้ว กลับจะทำให้อารมณ์ที่ย่ำแย่สงบลงอย่างแท้จริง
เมื่อก่อนเขาหาทางเลี่ยงไม่ให้นางนึกถึงเรื่องเหล่านั้นมาโดยตลอด ทำพลาดไปแล้วจริงๆ
ในที่สุดตี้ฝูอีก็โล่งใจแล้ว เขาให้กู้ซีจิ่วนั่งลงบนเก้าอี้ ส่วนตัวไปก็ไปตกปลามาหลายตัว เตรียมปรุงให้นางกิน
————————————————————————————