ใบหน้าสีแดงของเฉินตงหวา กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว มองหลี่ซู่เฟินและกล่าวเยาะเย้ยว่า “เป็นเพราะผมมองคนผิดพลาด คุณดูสิว่าตอนนี้เขาทำให้ตระกูลเฉินเดือดร้อนขนาดไหน? แม้แต่ผู้นำตระกูลก็ถูกคนรับใช้ของตระกูลหนานกงใช้แส้เฆี่ยนตีด้วย จิงเย่ ผู้นำตระกูลอายุมากแล้ว ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะหายนะอย่างเฉินโม่? คุณทนได้อย่างไร?”
เฉินจิงเย่มองเฉินกั๋วเหลียงที่ถูกเฉินตงซุ่นพยุงอยู่ และเดินอยู่ด้านหน้าสุด ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาเกือบจะร้องไห้ออกมา
“ผมมันอกตัญญู ทำให้คุณพ่อและทุกคนต้องทนทุกข์ทรมานไปด้วย!”
เฉินตงเยว่นวดคลึงไหล่ที่ถูกแส้ฟาด และกล่าวด้วยความโกรธว่า “คุณควรให้หายนะอย่างเฉินโม่ชดใช้ความผิดด้วยความตาย! เขาสร้างปัญหา แต่กลับให้สมาชิกของตระกูลเฉินเป็นแพะรับบาปแทน เขากลับลอยนวลอย่างมีความสุข มันไร้เหตุผลสิ้นดี!”
เฉินจิงเย่ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น มีความมุ่งมั่นปรากฏอยู่ในดวงตา
“ตอนนี้เฉินโม่ไม่อยู่ที่นี่ ผมเป็นพ่อของเขา ผมควรขอโทษและรับผิดชอบแทนเขา!”
หลังจากกล่าวจบ เฉินจิงเย่วิ่งไปที่ก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่ริมถนน
“จิงเย่ คุณอย่าฟังพวกเขาพูดจาเหลวไหล!” หลี่ซู่เฟินคว้าเฉินจิงเย่อย่างรวดเร็ว และกอดเขาไว้แน่น
“เฉินจิงเย่ คุณฟังฉันนะ เสี่ยวโม่ต้องกลับมาช่วยพวกเราอย่างแน่นอน คุณอย่าเป็นอะไรเด็ดขาด ใช่ว่าคุณไม่รู้นิสัยของเสี่ยวโม่ ถ้าคุณเป็นอะไรไป เขาอาจจะทำสิ่งที่อยู่เหนือจินตนาการได้!” หลี่ซู่เฟินกล่าวด้วยความเฉียบขาด
จากนั้นหันไปมองเฉินตงหวาและคนอื่น ๆ แล้วกล่าวด้วยความเย็นชา “ในฐานะที่เป็นสมาชิกตระกูลเดียวกัน ตอนนี้ตระกูลกำลังมีปัญหา แต่พวกคุณยังปัดแข้งปัดขากันอีก พวกคุณต้องการบีบบังคับให้จิงเย่ตายถึงจะพอใจใช่ไหม? ถ้าพวกคุณแน่จริง ก็ไปต่อสู้กับหนานกงหยู่ด้วยเหตุผลสิ พวกคุณรู้ว่าเฉินจิงเย่เป็นคนที่รังแกได้ง่าย ไม่โต้เถียงพวกคุณ พวกคุณมันเป็นคนประเภทที่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า และหวาดกลัวคนที่แข็งแกร่งกว่า ไม่ช้าก็เร็วตระกูลเฉินจะถูกทำลายด้วยน้ำมือของพวกคุณ!”
ถึงแม้ว่าหลี่ซู่เฟินจะไม่ใช่คนของตระกูลเฉิน แต่ไม่ว่าจะเป็นวาทศิลป์หรือความกล้าหาญ เธอเหนือกว่าเฉินจิงเย่ เพราะช่วงหลายปีที่ผ่านมา เธอเป็นคนบริหารดูแลเหม่ยหวา กรุ๊ปคนเดียวมาโดยตลอด เธอฝึกฝนจนชำนาญแล้ว
เฉินตงหวาและคนอื่น ๆ ถูกหลี่ซู่เฟินตำหนิ จนพูดอะไรไม่ออก เพราะพวกเขารังแกเฉินจิงเย่จริง ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น พวกเขาจะไม่กล้ารังแก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะให้พวกเขาไปต่อสู้กับหนานกงหยู่ด้วยเหตุผล
“ไม่ว่าคุณจะพูดอะไร มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่า ความทุกข์ทรมานทั้งหมดที่ตระกูลเฉินประสบในวันนี้ เป็นเพราะเฉินโม่ลูกชายของคุณ และคุณก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงความผิดนี้ได้!” เฉินตงเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา เมื่อสักครู่เขาถูกแส้เฆี่ยนตี ทำให้เขารู้สึกเกลียดเฉินโม่มาก!
หลี่ซู่เฟินกล่าวเย้ยหยัน “วางใจเถอะ เสี่ยวโม่ต้องมาช่วยพวกเราแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น ถ้าเสี่ยวโม่ช่วยพวกเราออกไปแล้ว บางคนอย่าลืมสิ่งที่พูดเมื่อสักครู่ล่ะ!”
เฉินตงเยว่เงียบและไม่กล้าพูดอะไรอีก ถ้าเฉินโม่สามารถเอาชนะหนานกงหยู่ได้จริง ๆ สถานะของเฉินโม่ในตระกูลเฉินก็จะสูงขึ้นไปอีก
เฉินตงเยว่และคนอื่น ๆ เงียบชั่วคราว แต่ยังมีคนอีกมากมายที่ยังคงดุด่าเฉินโม่ จนกระทั่งเดินไปถึงสุสานบรรพบุรุษของตระกูลหนานกงแล้ว เสียงดุด่าเฉินโม่ก็ยังไม่หยุด
“ถึงแล้ว!”หนานกงหยู่ตะโกนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“เข้าแถวเป็นสามแถว ยืนให้ดี ๆ!” คนรับใช้ของตระกูลหนานกงยังคงใช้แส้เฆี่ยนตีคนของตระกูลเฉิน
คนของตระกูลเฉินร้องไห้เป็นระยะ ๆ
หนานกงหยู่มองภาพนี้ด้วยสีหน้าราบเรียบ เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ตระกูลเฉินประสบ ไม่สามารถระบายความแค้นของเขาได้
“ที่นี่คือสุสานบรรพบุรุษของตระกูลหนานกง ลูกชายและหลานชายของผมถูกฝังอยู่ที่นี่เช่นกัน ตอนนี้ พวกคุณคุกเข่าก้มกราบขอโทษพวกเขา!” หนานกงหยู่ตะโกนเสียงดัง และดังสะเทือนไปทั่ว
หนานกงหยู่มองเฉินกั๋วเหลียง ตะโกนทันทีว่า “คุกเข่า!”
สมาชิกบางคนของตระกูลเฉิน หวาดกลัวกับวิธีการที่โหดเหี้ยมของหนานกงหยู่ เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงตะโกนด้วยความโกรธของหนานกงหยู่แล้ว พวกเขาตกใจกลัวจนขาอ่อนแรง และคุกเข่าลงบนพื้น