ตอนที่ 1986

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,986 : กวนซิ่ว

 

ชื่อต้วนหลิงเทียนไม่ใช่อะไรที่แปลกหูติงจงแม้แต่น้อย

 

กระทั่งระยะหลังมานี้ ชื่อดังกล่าวแทบจะล่วงรู้กันไปทั่วลัทธิบูชาไฟแล้วก็ได้…

 

อย่างไรก็ตามเนื่องจากพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าของชื่อนี้เป็นแค่รากวิญญาณสีเหลือง เช่นนั้นตั้งแต่ต้นจนจบมันจึงไม่เคยเห็นเจ้าของชื่อนี้อยู่ในสายตาสักครั้ง…

 

ยิ่งไปกว่านั้นมันยังกล้าพูดได้อีกว่า

 

ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่บังเอิญมีโชคเท่านั้น!

 

คนธรรมดาสุดท้ายก็ยังเป็นได้แค่คนธรรมดาวันยังค่ำ! ต่อให้โชคดีเพียงใด ก็ไร้หนทางโงหัวขึ้นมาได้!!

 

มีไหวพริบปฏิภาณสูงล้ำจนเข้าใจเวทย์พลังขั้นสูงได้แล้วจะอย่างไร?

 

หากไร้ซึ่งความสามารถในการต่อสู้หนุนเสริม ก็ยากจะบรรลุความสำเร็จอะไรได้!

 

สำหรับเรื่องนักรบมังกร 9 เล็บ…

 

อาศัยพรสวรรค์รากวิญญาณดาษๆอย่างรากวิญญาณสีเหลือง เกรงว่ากระทั่งเผ่าพันธุ์มังกรเองก็คงไม่ได้คาดหวังอะไรกับอนาคตอีกฝ่ายแล้ว

 

แม้ศักดิ์ฐานะจะเทียบได้กับมังกรเทพยดา 8 กรงเล็บแล้วอย่างไร? มังกรเทพยดา 8 กรงเล็บไม่ใช่ไม้ประดับ! ยังต้องเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความแข็งแกร่งอีกด้วย!!

 

เพราะสุดท้ายที่ไฉนมังกรเทพยดา 8 กรงเล็บถึงมีฐานะสูงส่งในเผ่าพันธุ์มังกรได้นั้น ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะพลังสามารถสูงล้ำยากจะเทียบทั้งสิ้น!

 

ในสายตาของติงจง สิ่งใดๆเหล่านี้ต้วนหลิงเทียนล้วนไม่มีทั้งนั้น

 

ในเผ่าพันธุ์มังกรมีเพียงตัวตนอันเข้มแข็งเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับ หากไร้ซึ่งพลังอำนาจต่อให้มีชาติกำเนิดหรือฐานะสูงอะไรก็แค่หนอนอ่อนแอตัวหนึ่ง!

 

“อ้อ ที่แท้เจ้าก็คือต้วนหลิงเทียนคนนั้น”

 

ติงจงกล่าว ทว่ายามนี้สีหน้าของมันแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง รอยยิ้มระรื่นหายไปถูกความเฉยเมยเข้ามาแทนที่!

 

ถึงแม้มันจะได้ยินมาว่าพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนที่เผยออกล่าสุด จะเทียบได้กับครึ่งก้าวเซียนสวรรค์ แต่สำหรับมันก็เท่านั้น…ไม่ได้มีราคาอะไร!

 

และในสายตาของมัน นี่สมควรเป็นขีดจำกัดของต้วนหลิงเทียนแล้ว!

 

เพราะสุดท้ายพรสวรรค์รากวิญญาณอีกฝ่ายก็แค่รากวิญญาณสีเหลือง ด่านพลังฝึกปรือสมควรหยุดอยู่ที่เซียนปฐพีขั้นสูงสุด กระทั่งโอกาสจะทะลวงถึงเซียนนภาก็ริบหรี่เต็มที!

 

เช่นนั้นชั่วชีวิตของอีกฝ่าย สุดท้ายพลังฝีมือสูงสุดเท่าที่จะบรรลุได้ เห็นทีก็จะมีแต่ครึ่งก้าวเซียนสวรรค์เท่านั้น…

 

ตัวตนเช่นนี้ไม่คุ้มค่าที่ติงจงจะลดตัวลงมาสานไมตรีด้วย

 

‘หืม?’

 

เมื่อเห็นว่าอยู่ๆติงจงก็เปลี่ยนทีท่าจากหน้ามือเป็นหลังมือต้วนหลิงเทียนก็แปลกใจเล็กน้อย

 

ทว่าครู่ต่อมา คล้ายตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ต้วนหลิงเทียนเพียงยักไหล่เบาๆก่อนที่จะเผยรอยยิ้มช่วยไม่ได้ออกมา อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดจะกล่าวอะไรให้มาก

 

ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ใช่ตัวโง่งม

 

เหตุผลที่ไฉนสีหน้าติงจงยิ้มแย้มระรื่นนักตอนแรกทำไมเขาจะไม่รู้? ไม่พ้นอีกฝ่ายคิดว่าเขาเป็นชนชั้นอัจฉริยะมากพรสวรรค์มีอนาคตไกลที่จ้าวแท่นบูชาแนะนำมาแน่นอน มันจึงคิดสานไมตรีด้วย!

 

ทว่าตอนนี้หลังได้ยินชื่อของเขา สีหน้าของมันก็เปลี่ยนไปทันที

 

ไหนเลยเขาจะไม่รู้ได้

 

ว่าในสายตาของติงจง ตัวเขาไม่ได้มีค่ามีราคาอะไรให้มันสนใจอีกต่อไป!

 

สำหรับเหตุผลนั้น ต้วนหลิงเทียนก็พอเดาได้ 2ประการ

 

ประการแรกก็คงเหมือนๆกับคนส่วนใหญ่ในลัทธิบูชาไฟ ที่รู้แค่ว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาเป็นสีเหลือง จึงยากที่จะบรรลุถึงขอบเขตพลังใดๆได้…

 

ประการที่ 2 ติงจงคิดว่าเขาคงไม่อาจงัดข้อกับหลี่อันได้ไหว และต้องตายเพราะฝีมือหลี่อันเข้าสักวัน

 

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่ตอนนี้เขาก็รู้ได้ชัดอย่างหนึ่ง

 

ในสายตาของติงจง เขาไม่ได้มีคุณค่ามีราคาอะไรอีกต่อไป

 

ด้วยเหตุนี้ทัศนคติของติงจงที่มีต่อเขาจึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

 

‘ช่างตื้นเขินนัก…’

 

ต้วนหลิงเทียนได้ใช้ชีวิตมาไม่น้อย ชนชั้นผู้ดีจอมปลอมเข้าหาแต่ผู้ที่มีผลประโยชน์ก็พบเห็นมามากไหนเลยจะยังสนใจอะไรอีก แต่อย่างไรเขาก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนในใจอยู่บ้าง

 

แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้ติดใจอะไร

 

ไม่สำคัญหรอกว่าติงจงจะดูดีเขาหรือไม่ ขอเพียงมันลงทะเบียนให้เขาจบๆไปก็พอ

 

โชคดีที่แม้ติงจงจะไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาอีกต่อไป แต่อีกฝ่ายก็ไม่คิดสร้างปัญหาอะไรให้เขา เลือกที่จะลงทะเบียนให้เขาตามระเบียบแต่โดยดี

 

หลังลงทะเบียนให้ต้วนหลิงเทียนแล้ว ติงจงก็หันไปมองชายหนุ่มด้านซ้ายค่อยกล่าว “เจ้าไปเอาชุดของศิษย์ฝ่ายในมาสักสองสามชุด”

 

หลังจากกล่าวจบ มันก็หันไปมองชายหนุ่มด้านขวา “เตรียมป้ายประจำตัว และบัตรผลึกแก้วสะสมคะแนนให้มัน”

 

“ทราบ!”

 

ชายหนุ่มทั้ง 2 ข้างกายติงจง เป็นศิษย์ที่มาทำงานในสำนักลงทะเบียน แน่นอนว่าย่อมไม่กล้าขัดคำสั่งติงจง เร่งกระทำตามคำสั่งทันที

 

บางทีอาจเพราะได้รับอิทธิพลจากติงจง ยามพวกมันมองมาที่ต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ในแววตาคล้ายจะเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม

 

สำหรับเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้สนใจอะไรพวกมัน

 

ทุกผู้คนล้วนมีชีวิตและสิทธิ์เป็นของตัวเอง ใครอยากทำอะไรก็ทำ…แค่พวกมันไม่มาหาเรื่องเขาก็พอ!

 

‘ศิษย์ฝ่ายในจะได้รับป้ายประจำตัวด้วยงั้นเหรอ?’

 

ลูกตาต้วนหลิงเทียนทอแสงวูบหนึ่ง เพราะตอนเป็นศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬ ก็มีเพียงชุดประจำแท่นบูชาเท่านั้น ไม่ได้รับป้ายประจำตัวแต่อย่างใด

 

ดูเหมือนศิษย์ฝ่ายในจะได้รับการดูแลดีกว่านั้น

 

‘นอกจากนั้นยังมีบัตรผลึกแก้วเก็บคะแนนสะสมอะไรด้วย ไม่พ้นเหมือนกับบัตรผลึกแก้วเก็บคะแนนอุทิศของสำนักจันทร์จรัสแสงแน่นอน…ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์สมควรมีของดีๆให้แลกเปลี่ยนไม่น้อย!’

 

เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ไม่ยาก

 

ไม่นานนัก ชายหนุ่มทั้ง 2 คนก็ได้เตรียมชุดให้ต้วนหลิงเทียน รวมถึงป้ายประจำตัวและบัตรผลึกแก้วสำหรับต้วนหลิงเทียนเสร็จสิ้น

 

“รบกวนแล้ว”

 

เผชิญกับสีหน้าแววตาเย็นชาคล้ายจะถอยเหินไปพันลี้ของติงจงกับพวกทั้ง 3 ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ถือสาอะไร ยังพยักหน้ากล่าววขอบคุณออกไปด้วยรอยยิ้ม ค่อยหันหลังเดินจากไป

 

ทว่าหลังจากที่เดินออกมาสักพัก ต้วนหลิงเทียนพลันชะงักเท้า เพราะพึ่งนึกอะไรขึ้นได้…

 

เขาไม่รู้ว่าที่พักของศิษย์ฝ่ายในอยู่ที่ไหน!

 

ครู่หนึ่งต้วนหลิงเทียนคิดจะย้อนกลับไปถาม

 

อย่างไรก็ตาม พอคิดถึงแววตาของทั้ง 3 ที่ไม่แยแส เขาก็ล้มเลิกความคิดที่กลับไปถามพวกมัน ‘ช่างเถอะ ไม่ต้องพึ่งพวกมันก็ได้…แค่นี้ไปถามศิษย์ฝ่ายในสักคนเอาก็พอ’

 

พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ก้าวเดินจากไปต่อทันที

 

“อาวุโสติงจงท่านมิให้พวกเราพามันไปส่งที่พัก…เรื่องนี้จะไม่เป็นไรหรือ? อย่างไรมันก็พึ่งเข้ามาในเกาะหลักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรก”

 

ไม่นานหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนจากไป ชายหนุ่มคนหนึ่งหันไปมองถามติงจง

 

“ทำไม? เจ้าคิดเสนอหน้าช่วยมันเพื่อให้มันซาบซึ้งรึ?”

 

ติงจงกล่าวออกด้วยวาจาทั้งสีหน้ารังเกียจ “แต่อย่าได้ลืมไป ต้วนหลิงเทียนนั่นไม่ว่ามันจะมีไหวพริบปฏิภาณสูงล้ำจนมีเวทย์พลังขั้นสูงมากมาย แต่วันหน้ามันก็ยากจะประสบความสำเร็จใหญ่โตอะไรได้! เพราะพรสวรรค์รากวิญญาณของมันก็แค่สีเหลืองเท่านั้น!”

 

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ติงจงจะดูแคลนต้วนหลิงเทียนอย่างไร ด้านต้วนหลิงเทียนตอนนี้ก็ได้ถามทางจากผู้อื่นเรียบร้อย ในที่สุดเขาก็รู้ว่าที่พักของศิษย์ฝ่ายในอยู่ไหน…

 

“ขอบคุณศิษย์พี่ท่านนี้มาก”

 

เมื่อได้คำตอบของคำถามที่อยากรู้ ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกยินดีนัก เร่งประสานมือขอบคุณศิษย์ที่เขาหยุดถามทางทันที

 

ศิษย์ฝ่ายในของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน เป็นชายวัยกลางคนหน้าตาซื่อๆ ดูแล้วท่าทางมันน่าจะเป็นคนซื่อสัตย์คนหนึ่ง

 

อยู่ๆได้รับการประสานมือคารวะด้วยความขอบคุณของต้วนหลิงเทียน ชายวัยกลางคนดังกล่าวรีบโบกมือโบกไม้ทันที “พอๆ ศิษย์น้องอย่าได้มากพิธี!อย่างไรพวกเราเหล่าศิษย์ก็เหมือนพี่น้อง”

 

จากทีท่าและวาจาของชายวัยกลางคนเห็นชัดว่ามันเป็นคนดีคนหนึ่ง

 

“ศิษย์น้อง ช้าก่อน”

 

แต่เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกำลังจะเหินร่างจากไป อยู่ๆชายวัยกลางคนพลันกล่าวรั้งเขาเอาไว้

 

“หือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนมองชายวัยกลางคนด้วยความสงสัย

 

“ถ้ายังไง…ให้ข้าไปส่งเจ้าดีไหม?”

 

ชายวัยกลางคนกล่าวถาม

 

“ไม่ต้องหรอก”

 

ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ไปทางเดียวกันจากทิศทางที่อีกฝ่ายกำลังมุ่งหน้าไปตอนแรก เช่นนั้นเขาก็ไม่คิดจะรบกวนอะไรอีกฝ่าย บอกปัดความหวังดีออกไปทันที

 

“ไม่ต้องแน่หรือ?”

 

ชายวัยกลางคนถามอีกครั้ง แววตาเผยความกังวลออกมา

 

“ไม่ต้องจริงๆศิษย์พี่”

 

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวพร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่จะเหินร่างจากชายวัยกลางคนทันที ยังเป็นทิศทางเดียวกับที่ชายวัยกลางคนบอกเขาแต่แรก…ทิศทางที่ตั้งเขตที่พักของศิษย์ฝ่ายใน

 

“กวนซิ่ว เจ้ารู้จักศิษย์เจ้ารู้จักศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬคนเมื่อครู่ด้วยรึ?”

 

หลังต้วนหลิงเทียนเหินร่างจากไป มีชายคนหนึ่งเหินร่างเข้ามาหาชายวัยกลางคนหน้าซื่อ พร้อมถามด้วยความสงสัย

 

มองจากเครื่องแต่งกายของชายผู้นี้ เห็นชัดว่ามันก็เป็นศิษย์ฝ่ายในเช่นกัน

 

“ข้าไม่รู้จักหรอก”

 

ชายวัยกลางคนหน้าซื่อนามกวนซิ่วส่ายหัวปฏิเสธ ค่อยยิ้มกล่าว “ศิษย์น้องคนนั้นสมควรเป็นศิษย์ที่พึ่งมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์…มันไม่รู้ว่าที่พักกเหล่าศิษย์อยู่ที่ใดจึงมาถามข้า”

 

“หือ? เช่นนั้นสมควรเป็นศิษย์ใหม่แล้วจริงๆ!”

 

ชายหนุ่มกล่าวออก ด้วยตระหนักใดได้ “ยิ่งไปกว่านั้นเจ้านั่นสมควรเป็นอัจฉริยะที่ได้รับคำแนะนำจากจ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬโดยตรง…เพราะนี่ยังไม่ใช่ช่วงเวลาทดสอบประเมินศิษย์แท่นบูชาจตุรลักษณ์อะไร มันเข้ามาได้ก่อนแบบนี้ย่อมหมายความว่าเป็นคนพิเศษ! หาไม่แล้วคงไม่มีทางได้รับคำแนะนำจากจ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬ!!”

 

“เป็นอัจฉริยะที่จ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬแนะนำมาเองหรือ?”

 

กวนซิ่วเองก็พึ่งตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ เมื่อครู่แม้จะรู้ว่าต้วนหลิงเทียนสมควรเป็นศิษย์ที่พึ่งมาใหม่จากแท่นบูชาเต่าทมิฬ แต่มันก็ไม่ทันได้คิดอะไรมากมาย

 

“เหอะๆ ข้าล่ะเชื่อเจ้าเลยจริงๆ…โอกาสดีๆแบบนี้แต่เจ้ากลับปล่อยให้หลุดมือไปเสียอย่างนั้น! อัจฉริยะแบบนั้นหากเป็นข้าๆคงรีบทำความรู้จักไว้แต่เนิ่นๆแล้ว! หากเจ้าคบหามันเป็นสหายได้ตั้งแต่วันนี้ ไม่แน่วันหน้าเจ้าอาจพลอยสบายไปด้วยไม่รู้เรื่อง!”

 

ชายหนุ่มมองชายวัยกลางคนหน้าซื่อด้วยใบหน้าเหยเกราวกับมองตัวโง่งม

 

“จะให้ข้าเข้าหาศิษย์น้องเพราะเรื่องนี้?”

 

อย่างไรก็ตามกวนซิ่วคล้ายทำท่าเหมือนไม่เข้าใจสิ่งที่ชายหนุ่มกล่าว

 

“ใช่แล้วกวนซิ่ว รีบตามไปเร็ว! ไปตอนนี้ยังทัน!!”

 

ชายหนุ่มเหลือบมองต้วนหลิงเทียนที่กำลังจะเหินร่างไปไกลรับตา ค่อยหันไปมองกล่าวกับกวนซิ่วเพื่อเร่งเร้า

 

“ไม่ล่ะ!”

 

ทว่ากวนซิ่วกับยืนกรานปฏิเสธ “ข้าไม่คิดเข้าหาใครเพื่อผลประโยชน์…คบหาสหายด้วยเหตุผลนี้ยังจะเรียกว่าสหายกันได้อย่างไร”

 

กล่าวจบ กวนซิ่วก็จากไปทันที

 

“นับเป็นท่อนไม้โง่งมจริงๆ! กระทั่งให้ตายยังเป็นไม้ที่มิอาจแกะสลัก!!”

 

เมื่อเห็นว่ากวนซิ่วไม่ฉกฉวยโอกาสอันดีไว้ ชายหนุ่มได้แต่สบถออกมาด้วยความขัดใจ ยังเสียดายโอกาสอันล้ำค่าเช่นนี้แทน

 

ราวๆหนึ่งเค่อต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็มาถึงเขตที่พักของศิษย์ฝ่ายใน

 

ที่พักของเหล่าศิษย์ฝ่ายในกลับไม่มีระดับชั้นอะไร ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีการต่อสู้แย่งชิง

 

และที่พักของเหล่าศิษย์ฝ่ายในก็ตั้งอยู่ในหุบเขาขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

 

เขตที่พักของเหล่าศิษย์ยังเพียงกินพื้นที่เล็กๆมุมหนึ่งของหุบเขาเท่านั้น และบ้านพักของเหล่าศิษย์ก็เป็นลักษณะบ้านเดี่ยวพร้อมลานส่วนตัว ตั้งห่างกันพอประมาณทำให้ไม่รู้สึกแออัดคับแคบแต่อย่างใดหน้าบ้านมีลานว่างทั้งโต๊ะหินอ่อนไว้รับรองแขก รั้วบ้านเป็นแนวดอกไม้ดูแล้วสบายตานัก

 

ด้านหลังบ้านยังมีลานว่างให้ฝึกซ้อม

 

อีกทั้งมองจากประตูเรือนพักที่ทำจากศิลา ก็บ่งบอกให้รู้ว่าการเก็บเสียงย่อมดีไม่น้อย ภายในบ้านสมควรสงบเงียบเหมาะแก่การบ่มเพาะพลัง!