บทที่ 895 การตัดสินใจ ณ คฤหาสน์ฮัลล

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

คฤหาสน์ฮัลล์ตั้งอยู่ตรงชายป่า คฤหาสน์หลังนี้เป็นที่พักตากอากาศ ซึ่งตระกูลฮอฟเฟนเบิร์กจะมาพักผ่อนล่าสัตว์ในช่วงฤดูร้อน แต่เนื่องจากช่วงนี้ยังเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ จึงมีแขกและคนรับใช้อยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น บรรยากาศแสนเงียบสงบมาก

ห้องทำงานภายในคฤหาสน์หลังนี้จะเป็นห้องทรงงานของกษัตริย์ฮอฟเฟนเบิร์ก ซึ่งทรงใช้บริหารกิจการบ้านเมืองในช่วงวันหยุดยาว ที่นี่จึงมีระบบป้องกันด้วยพลังเทพขั้นสูงดูแลอยู่ แต่พลังเทพศักดิ์สิทธิ์ ดังกล่าวกำลังช่วยคุ้มครองนักเวทสามคนในตอนนี้

ดักลาสหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ในฐานะอาคันตุกะของราชวงศ์ เขาต้องเปลี่ยนเสื้อคลุมเวทมนตร์เป็นเสื้อโค้ตคอตั้งสูงที่กำลังนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน นั่นทำให้รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว

“เจ้าเป็นคนจัดการให้ดักลาสซ่อนใช่ไหม?” หลังจากเดินเข้าไปในห้องทำงาน เฟอร์นันโดก็แกล้งยิงคำถามใส่แฮททาเวย์ เพื่อจะตรวจสอบดูว่าเป็นความตั้งใจของนางหรือดาบแห่งสัจธรรม

เขาไม่มีเวลาสนใจท้องฟ้าเลยระหว่างการต่อสู้ แต่เพราะเจ้าแห่งความตาย และแม่มดแดนน้ำแข็งสิ้นท่า แต่ดาบแห่งสัจธรรม และเจ้าแห่งเวลายังมีชีวิตอยู่ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาคาดเดา อัศวินผู้สูงศักดิ์ทั้งสองต้องหักพลังพวกเขา!

ความสูญเสียครั้งนี้หนักหนาเกินกว่าที่เฟอร์นันโดจะรับได้ เขาจึงไม่อยากจะไว้ใจพวกขุนนางและอัศวินอีกแล้ว

แฮททาเวย์พยักหน้า “ใช่”

นางเป็นขุนนาง แต่นางก็กลายเป็นนักเวท ด้วยมิตรภาพที่รู้จักกันมาหลายปี เฟอร์นันโดจึงไว้ใจนางมากขึ้น

ชาร์ปหัวเราะคิกคัก “เจ้าคิดว่าฝ่าบาททรงไม่ทราบเหรอว่าแฮททาเวย์กำลังทำอะไร? พระองค์ทรงแสร้งทำเป็นไม่ทราบ เราก็แค่ทำสิ่งที่ต้องทำ ไม่มีขุนนางคนไหนอยากเห็นศาสนจักรสังหารนักเวทจนหมดหรอกนะ เหมือนที่ดักลาสว่าไว้ ความขัดแย้งของเรากับศาสนจักรจะยิ่งรุนแรงขึ้น”

เขาเองก็ไม่แน่ใจเรื่องอนาคต

ดักลาสนั่งบนเก้าอี้ทรงสูงท่าทีสบายๆ เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถ้ายังมีเทพีปฐพี ศาสนจักรนอกรีต แดรกคูลา จันทราสีเงิน เทือกเขาความมืด และมหาสมุทรไร้พรมแดนอยู่ อีกนานกว่าศาสนจักรจะทิ้งขุนนาง แต่ตอนนี้ว่าทัพพันธมิตรถูกบดขยี้ เป็นไปได้ไม่ได้เลยที่พวกเขารับมือกองกำลังของศาสนจักร ศาสนจักรจะเรืองอำนาจสูงสุดเหรือดินแดน เจ้าต้องเตรียมรับมือให้ดี”

เขาไม่ได้พูดเร็วเกินไปหรือช้าเกินไป เสียงของเขามีอำนาจดึงดูดในแบบฉบับของสุภาพบุรุษวัยกลางคน แม้สถานการณ์ที่เขาอธิบายจะดูไม่สู้ดี แต่เฟอร์นันโดกับชาร์ปก็รู้สึกสบายใจและลดความกังวลงได้บ้าง

นี่มันพลังของชั้นตำนานหรือเพราะว่าดักลาสโตขึ้นเป็นผู้นำที่มีเสน่ห์ไปแล้ว? คำถามผุดขึ้นในใจของเฟอร์นันโด

“ข้ากลัวว่าความอดทนจะไม่ช่วยอะไร” หลังจากสงบสติอารมณ์ เขาก็เปิดใจออกมา พวกเขายังกังวลเรื่องดาบแห่งสัจธรรม อีกทั้งขุนนางส่วนใหญ่ เพราะไม่มีความหวังที่จะเอาชนะศึกครั้งนี้ได้เลย

ดักลาสดื่มน้ำไปอึกหนึ่งก่อนที่เขาจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงน่าฟังของเขา “ดูจากกรณีก่อนๆ จะเห็นว่าโป๊บต้องฟื้นพลังหลังใช้พระเจ้าเสด็จทุกครั้ง พวกนักเวทอย่างเราต้องบอกว่า กว่าพลังศักดิ์สิทธิ์จะกลับมาใช้ได้คงอีกนานมาก โป๊บคนก่อนแสดงให้เราเห็นผลของการใช้มันบ่อยเกินไปแล้ว เราไม่ต้องกลัวพระเจ้าเสด็จมากนัก

“‘จันทราสีเงิน’ อัลเทอร์นา ก็หนีรอดไปพร้อมกับบาดแผลสาหัส หลังถูกพระเจ้าเสด็จเข้าเต็มๆ นั่นแปลว่ายังมีวิธีต้านพลังพระเจ้าเสด็จ ถ้านางหายดีแล้ว เราอาจหาวิธีอัญเชิญเจ้าแห่งนรกหรือเจตจำนงแห่งขุมนรก แค่นี้เราก็มีวิธีจัดการโป๊บแล้ว”

การวิเคราะห์ชัดเจน แต่เป็นเรื่องยากที่จะสงบสติอารมณ์ครุ่นคิดเมื่อตกอยู่ในภาวะวิตกจริต จิตอันชาญฉลาดก็ไม่อาจมองข้ามตัวเองได้เมื่อติดอยู่ในหมอกหนา

พอได้ฟังการวิเคราะห์ของดักลาส ชาร์ปก็ยิ่งสงบลง จนกลับมาเชื่อมั่นได้อีกครั้ง

“แต่การอัญเชิญเจ้าแห่งนรกหรือเจตจำนงแห่งขุมนรกมีพิธีกรรมที่ซับซ้อนและราคามหาศาล เป็นไปได้ว่าศาสนจักรจะรู้ตัวและทำลายแผนเสียก่อนฮ แล้วเจตจำนงแห่งขุมนรกก็ยังบ้าคลั่งและกระหายเลือด เขาอาจแว้งกัดเราก็ได้ หลังถูกอัญเชิญมา”

ชาร์ปแสดงความคิด

“ฮ่าๆ ตาขาวชะมัด” เฟอร์นันโดมองชาร์ปแบบเหยียดๆ “ถึงเจตจำนงแห่งขุมนรกจะบ้าคลั่ง เราก็ต้องเตรียมการล่วงหน้าพาเขาไปในทิศทางที่เราต้องการ”

ในฐานะนักเวทที่เกิดในจักรวรรดิเวทมนตร์ เฟอร์นันโดไม่ปฏิเสธการอัญเชิญปีศาจ แม้เขาจะไม่หน้าพวกปีศาจสมองทึบพวกนั้นก็ตาม

ดักลาสยิ้ม “ข้าคงต้องลงไปนรก คุยกับเจ้านรกสักหน่อย เขาเป็นพวกครึ่งเทพที่มีเหตุผลและรู้จักคิด เราอาจหาวิธีพาเขามาที่นี่ได้ง่ายขึ้น พูดตามตรง ข้าไม่ชอบการบูชายัญเลือดเสียเลย”

หลังจากบรรลุชั้นตำนาน เขาก็เดินทางข้ามไปมิติอื่นๆ ได้ โดยไม่ต้องใช้ประตูมิติเพื่อข้ามไปมิติอื่น

“รอสักหน่อยเถอะ ดูจากคุณค่าของ ‘หลักคณิตศาสตร์แห่งปรัชญาเวทมนตร์’ เดี๋ยวเจ้าอาจจะบรรลุไปอีกขั้นก็ได้” เฟอร์นันโดคิดว่าดักลาสน่าจะรอให้เขาแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ เผื่อเจ้าแห่งนรกจะดูแคลนพันธมิตร “อ่อนแอ”

“การพัฒนาตัวเองไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการไปนรกของข้า” ดักลาสพยักหน้า “จากการประเมิน ข้าน่าจะไปถึงระดับสามในสามสิบปี ซึ่งจะมีกำลังรบไม่แพ้ใคร”

เขามองไปที่ชาร์ป “เส้นทางนี้อันตรายและยาก แต่มันจะสิ้นหวังถ้าเราไม่ทำอะไรเลย แต่ถ้าเราเริ่มเดินทีละก้าว เราก็ทิ้งความหวังไว้ในความมืดและความสิ้นหวังไปตลอด”

“อันที่จริงสถานการณ์วันนี้ไม่ได้เลวร้ายนัก สำหรับนักเวท ตั้งแต่การล่มสลายของอัลโต้ และการตายของเจ้าแห่งความตาย แกนนำศาสนจักรก็สนใจนักเวทน้อยลง แต่มุ่งเน้นจัดการพวกนอกรีตและพวกหุบเขาแห่งความมืด หมายความว่าเจ้าจะต้องถูกไล่ล่าน้อยลงในอนาคต” ชาร์ปพูดถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่เขาสัมผัสได้ในช่วงนี้

ดักลาสยิ้มเยาะตัวเอง “ความอ่อนแอก็มีข้อดี”

เฟอร์นันโดสอดแทรกขึ้นด้วยอารมณ์เหยียดหยาม “ข้าคิดว่าอีวานจะฟัดกับเกรกอรี่ หลังจากอดขึ้นเป็นโป๊บ แต่กลับเชื่องเป็นลูกแกะ”

“พลังของนักบวชมาจากพระเจ้าแห่งสัจธรรม การก่อกบฏต่อโป๊บที่พระเจ้าแห่งสัจธรรมเลือกก็เท่ากับเป็นการกบฏต่อพระเจ้า ไม่มีนักบวชคนไหนกล้าหือขนาดนั้นหรอก แต่ก็แปลว่าพวกเขาจะไม่มีพันธมิตรหรือแนวร่วม แล้วว่ากันว่าว่าโป๊บมีวิธีที่เรียกว่า ‘การคว่ำบาตร’ มันปิดกั้นการเชื่อมต่อระหว่างนักบวชกับพระเจ้าแห่งสัจธรรมได้ พวกนั้นจะเติมพลังศรัทธาไม่ได้ แล้วอีวานจะกล้าท้าทายเกรกอรี่ได้ไง” ดักลาสส่ายหน้า

จู่ๆ แฮททาเวย์ก็พูดแทรกน้ำเสียงเย็นชา “มีการคว่ำบาตรจริงๆ หรือคะ?”

“มีจริงๆ…” ดักลาสพยักหน้าสีหน้าเคร่งขรึม “แต่เราไม่ต้องเสียใจไปหรอก ถึงอีวานไม่กล้าท้าทายเกรกอรี่โดยตรง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่อยากสร้างปัญหาหรือหาศัตรูให้กับเกรกอรี่ บางทีทัศนคติของเขาต่อนักเวทอาจเปลี่ยนไป เราน่าจะลองติดต่อกับเขาดูนะ”

พวกสี่หารือกันเป็นเวลานาน และวางแผนไว้มากมาย เฟอร์นันโดรู้สึกถึงความปรารถนาที่มี เมื่อเข้าร่วมสหภาพนักเวทอีกครั้ง

ดักลาสตบๆ เสื้อผ้าและลุกขึ้นยืน “เฟอร์นันโด แผลของเจ้ายังคงไม่หายดี ไปพักได้แล้ว เราค่อยมาคุยกันเรื่องเวทมนตร์ใหม่”

“ก็ได้ ข้าค่อยมาคุยเรื่อง ‘หลักคณิตศาสตร์แห่งปรัชญาเวทมนตร์’ กับเจ้าทีหลัง มันเป็นผลงานชิ้นเอกที่เยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์เวทมนตร์อย่างแน่นอน” เฟอร์นันโดไม่หวงคำชม

ดักลาสยิ้ม “ข้าดีใจที่เจ้าชื่นชมมัน ข้าก็ภูมิใจงานนี้เหมือนกัน แต่ยิ่งศึกษามากขึ้น ข้ายิ่งสับสน ฮ่าๆ เรื่องที่เราไม่รู้มักน่าสนใจเสมอ แรงโน้มถ่วงคืออะไร? แล้วธรรมชาติของแรงโน้มถ่วงคืออะไร?”

และแล้ว… ความลึกซึ้งในคำถามของเขาก็ทำให้ทั้งเฟอร์นันโดและแฮททาเวย์นิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี ชาร์ปผู้ที่ไม่รู้จักอาร์นาคา ทำได้เพียงยักไหล่ แล้วเดินไปที่หน้าต่างดึงผ้าม่านเปิด

แสงแดดอันบริสุทธิ์และอบอุ่นสาดเข้ามาจากภาย จนทั้งห้องกลายเป็นทองคำ กว่าจะรู้ตัว ก็เช้าแล้ว!

“เฟอร์นันโด ข้าอยากให้เจ้าช่วยติดต่อกับนักเวทคนอื่นๆ ลองตั้งสหภาพอื่นขึ้นมาอีก”

“อย่าเรียกสหภาพเลย มันทำให้นึกถึงตาจิ้งจอกเฒ่า เรียกว่าสภานักเวทเถอะ”

“ข้าไม่ติด”

“ฟังดูไม่เข้าท่า…” แฮททาเวย์พูดขัดน้ำเสียงแผ่วเบา

เอริก้าหนักใจ เมื่อเห็นนักเวทรอบตัวต่างสิ้นหวังและหมดหนทาง องค์กรเล็กๆ ที่นางสังกัดอยู่ไม่อาจรับมือกับคลื่นยักษ์สึนามิได้

นางกลับเข้าห้อง และนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง เมื่อคิดอยู่พักใหญ่ ก็หยิบหนังสือปกดำออกมาจากกระเป๋าเวทมนตร์ มันส่งมาจากท่านดักลาสในการติดต่อกันครั้งสุดท้าย ด้วยสถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น นางจึงยังไม่มีเวลาอ่านเลย

เอริก้าเปิดหนังสืออ่านอย่างตั้งใจด้วยความชื่นชมเป็นทุนเดิม

ขณะที่นางอ่าน มือก็สั่นอย่างรุนแรงจนนางแทบจะจับหนังสือให้นิ่งไม่ไหว ถึงนางจะไม่ได้ศึกษาแคลคูลัสตามที่ดักลาสพูดถึงในจดหมาย แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการทำความเข้าใจคร่าวๆ ว่าบทความที่สามเล่าถึงอะไร

“แรงโน้มถ่วง…”

“ใช่สายเปียโนของเทพธิดาแห่งเวทมนตร์หรือเปล่านะ?

“นี่คือเรื่องจริงของโลกเราหรือ?

“เวทมนตร์ยิ่งใหญ่กว่าที่ข้าคิดไว้มาก!”

ด้วยความตะลึงงัน นางยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าแอตแลนต์ เนตรคำสาป เรียกรวมกลุ่มใหม่

หลังเสียงประตูดังเอี๊ยด หญิงสาวในชุดสตรีเปิดประตูห้องเข้ามา เทียนในมือของนางส่องสว่างให้ห้องมืด

เมื่อแสงเทียนหยุดไหว ชายหนุ่มร่างสูงผอมเกร็งก็หันกลับไปมองนางด้วยความหวาดกลัว มือของเขาถือหัวใจและศพเละๆ อยู่ตรงหน้า

ตุ้บ

เทียนตกลงบนพื้น สาวสวยก็ยกมือปิดปาก นางถามอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง “เจ้า… เป็นนักเวทงั้นรึ?”

“ไม่ ไม่…” ใบหน้าของเขาซีดขาว ชายหนุ่มส่ายหน้าด้วยความตื่นตระหนก แต่เขาไม่สามารถตอบคำถามได้

ชายหนุ่มผมและตาสีดำเหยาะย่างไปตามถนน ผิวปากด้วยความสบายใจ ใบหน้าหล่อเหลาและดูทรงภูมิของเขาเป็นที่ถูกตาต้องใจสาวๆ

“ละครเรื่องนี้ห่วยแตกเสียไม่มี ไม่เห็นจะดีเท่าเรื่องในหัวข้า!” เขาเดาะลิ้นเล่นและวิจารณ์ละคร และก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึง “ท่านหญิงออเดรย์ช่างเย้ายวนชวนฝันจริงๆล…”

แล้วก็มีชายคนหนึ่งอายุประมาณสามสิบกว่าๆ วิ่งเข้ามาหาจากมุมหนึ่งของถนน ตะโกนโหวกเหวกโวยวายมาแต่ไกล “หนีเร็ว! รีบออกจากเมือง! ไวเคานต์รู้แล้วว่าเจ้าไปนอนกับท่านหญิงออเดรย์!”

“อะไรนะ?” ชายหนุ่มหน้าซีดทันที ความสบายใจหายไปทันตา เขาหยิบสัมภาระแล้ววิ่งออกอย่างไม่รอช้า

กว่าจะออกจากเมืองได้ พระอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว

“สวยชะมัด!” เขาค่อยๆ ตั้งสติแล้วก็หัวเราะร่วนออกมา “นี่เป็นโอกาสดีที่ข้าจะได้ไปเรนทาโต อยากไปมานานแล้ว ข้าคือบุรุษผู้ถูกกำหนดให้เป็นนักเขียนบทละครผู้ยิ่งใหญ่!”

ชายหนุ่มผมดำผิวปากอย่างร่าเริงอีกครั้งท่ามกลางแสงตะวันตกดิน