เล่มที่ 26 เล่มที่ 26 ตอนที่ 764 หนาว ร้อน…

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

แท้จริงแล้ว ตงหลิงหวงและมู่หรงฉีไม่ได้ตกอยู่ใต้หน้าผา ทว่าตกลงมาบนส่วนเว้าของหน้าผาสูงชันแห่งหนึ่ง

เหล่าองครักษ์และทหารที่ออกตามหาพวกเขาล้วนไปกันอีกทางซึ่งค่อนข้างไกล ทว่าเส้นทางเดินค่อนข้างราบเรียบ จากนั้นจึงเดินอ้อมลงไปใต้หน้าผา ทำให้หาพวกเขาไม่พบ

ตอนที่ตงหลิงหวงตกลงมา นางตกลงบนต้นไม้ใหญ่ที่ยื่นออกไป จึงไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก

ทว่ามู่หรงฉีอาการหนักมาก

เดิมที เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมากอยู่แล้ว อีกทั้งตอนที่ตกลงมา ขาขวาของเขากระแทกเข้ากับหินก้อนใหญ่ จนทำให้ขาหัก

ในสภาพเช่นนี้ พวกเขาไม่อาจไปที่ใดได้เลย ดังนั้นเวลานี้จึงต้องอาศัยอยู่ในถ้ำหลังหน้าผา

ถ้ำแห่งนี้คงมีผู้บำเพ็ญเพียรทิ้งเอาไว้ ด้านในยังมีข้าวของเครื่องใช้ทั่วไปมากมาย และยังมีร่องรอยของคนอาศัย แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ใช้มานานมากแล้ว

บนผนังมีเคล็ดวิชาวรยุทธ์มากมาย

ทว่านับตั้งแต่ตกลงมา มู่หรงฉีก็ตกอยู่ในอาการหมดสติ และตงหลิงหวงก็ไม่มีเวลาใส่ใจสิ่งเหล่านั้น

หิมะข้างนอกตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบปิดปากถ้ำ

ภายในถ้ำ ตงหลิงหวงใช้ฟืนที่มีอยู่ก่อนหน้าเพื่อก่อกองไฟ ทว่าฟืนมีจำกัด เมื่อใช้มาสามวันแล้วจึงเหลือไม่มาก

ตงหลิงหวงโยนฟืนท่อนสุดท้ายเข้าไปในกองไฟ พลางมองมู่หรงฉีที่ยังหมดสติด้วยใบหน้าเศร้าหมอง

มู่หรงฉีได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้ที่นี่จะมีร่องรอยของคนอาศัยอยู่ ทว่าไม่มีสมุนไพรแม้แต่น้อย แม้จะมีต้นไม้มากมายที่เจริญเติบโตอยู่บนหน้าผาด้านนอก ทว่าสมุนไพรที่สามารถใช้รักษาบาดแผลได้นั้นมีอยู่จำนวนน้อย

ตงหลิงหวงพบเพียงสมุนไพรที่ใช้หยุดเลือดชั่วคราว จึงใช้หยุดเลือดให้มู่หรงฉี

ทว่าร่างกายของเขายังมีอาการบาดเจ็บภายใน และจำเป็นต้องใช้ยาสมุนไพรที่ดีกว่านี้ ขาที่หักก็ต้องให้หมอทำการตรวจรักษาและเชื่อมต่อกระดูกให้เร็วที่สุด

แม้นางจะเรียนวิชาแพทย์มาบ้าง ทว่าไม่ชำนาญการต่อกระดูก จึงทำได้เพียงเชื่อมต่อขาส่วนที่หักให้มู่หรงฉีเท่านั้น โดยไม่แน่ใจว่าเชื่อมต่อกันได้ถูกต้องหรือไม่

นอกจากนั้น อาหารที่นี่ก็มีจำกัด ในฤดูหนาวเช่นนี้ แม้พืชบางชนิดจะเจริญเติบโตได้ดี ทว่าไม่มีสิ่งใดที่พอประทังชีวิตได้

หลายวันมานี้ พวกเขาใช้ผักป่าที่พอจะกินได้มาทำเป็นอาหารเพื่อประทังชีวิต หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาคงไม่ได้ตายด้วยฝีมือเหล่านักฆ่า แต่ต้องอดตายที่นี่เป็นแน่

เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ตงหลิงหวงก็ยืนขึ้นและเริ่มมองไปรอบๆ ถ้ำ

นางมองไปที่หน้าผาด้านนอก

หากมู่หรงฉีขาไม่หัก บางทีพวกเขาทั้งสองอาจปีนหน้าผาขึ้นไปได้

ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ อย่าได้คิดใช้วิธีนั้นเลย

ดังนั้นวิธีเดียวที่เหลือคือ ตรวจดูว่ามีเส้นทางอื่นให้ออกจากถ้ำหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ช่วงหลายวันที่ผ่านมา ตงหลิงหวงได้ค้นหาภายในถ้ำหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้จึงแทบไม่มีความหวัง

“หนาว… หนาว หนาวมาก… ”

ทันใดนั้น เสียงของมู่หรงฉีก็ดังมาจากด้านหลัง

ตลอดหลายวันที่ผ่านมา มู่หรงฉีอยู่ในอาการหมดสติและไม่พูดสิ่งใดสักคำ บางครั้งลมหายใจของเขายังแผ่วเบาอีกด้วย

ทันทีที่ได้ยินเสียง ตงหลิงหวงก็คิดว่ามู่หรงฉีฟื้นแล้ว นางจึงรีบวิ่งไปหามู่หรงฉี

แต่กลับเห็นมู่หรงฉีที่ได้รับบาดเจ็บนอนขดตัวเหมือนเด็ก ร่างกายสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้

เส้นผมของเขายุ่งเหยิงเล็กน้อย ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ บนหน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเย็นเฉียบ

แม้มู่หรงฉีจะเทียบเยี่ยโยวเหยาไม่ได้ แต่ทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเหอ เขาถือได้ว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและมีอำนาจ

แม้แต่ในแคว้นหนานหลี การปกครองของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าเยี่ยโยวเหยาเลย

บางคนในแคว้นหนานหลียังคงเกรงกลัวมู่หรงฉีอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ผู้ใดจะคิดว่าฉีอ๋องที่เคยเป็นบุรุษผู้สูงศักดิ์และหยิ่งทะนง จะตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ถึงเพียงนี้?

แท้จริงแล้ว ตงหลิงหวงไม่มีเวลาครุ่นคิดเรื่องนี้ เมื่อเห็นอาการของมู่หรงฉี นางก็รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น จึงรีบนั่งลงวัดอุณหภูมิร่างกายของมู่หรงฉี

มู่หรงฉีมีไข้จริงๆ

ไม่กี่วันมานี้ สิ่งที่นางกลัวมากที่สุดคือมู่หรงฉีจะมีไข้

เมื่อมีไข้แสดงว่าบาดแผลบนร่างกายมีอาการอักเสบ

ตงหลิงหวงตรวจดูบาดแผลบนร่างกายของมู่หรงฉีอีกครั้ง

เป็นจริงดั่งที่คาดไว้ บาดแผลหลายแห่งอักเสบและมีน้ำหนองไหลออกมา มู่หรงฉีมีอาการหนาวสั่นเล็กน้อย

ภายใต้สภาพอากาศเช่นนี้ อุณหภูมิโดยรอบยิ่งลดต่ำลงมากขึ้นเรื่อยๆ

ทว่าเมื่อมองไปที่กองไฟ เปลวไฟสุดท้ายก็ดับลง พวกเขาทั้งสองมีเพียงเสื้อผ้าที่สวมใส่ และตงหลิงหวงไม่มีสิ่งใดที่จะห่มให้มู่หรงฉีอีกแล้ว

“หนาว… หนาว… หนาว… ”

มู่หรงฉีขดตัวแน่น ริมฝีปากเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความหนาวเย็น

ตงหลิงหวงมองท่าทางของมู่หรงฉีพลางขมวดคิ้วแน่น ดวงตาลึกซึ้งแสดงออกอย่างไม่อาจทำใจได้

นางกำมือข้างลำตัวแน่น ราวกับภายในใจกำลังกดดันอย่างหนัก

ผ่านไปครู่หนึ่ง นางกัดฟันอย่างแรง ก่อนจะนั่งลงปลดกระดุมเสื้อผ้าของมู่หรงฉี และปลดเสื้อผ้าของตนเอง จากนั้นจึงเข้าไปสวมกอดมู่หรงฉีไว้ในอ้อมแขน

การสวมกอดกันและกัน เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำให้ร่างกายอบอุ่น

เมื่อรู้สึกว่าร่างกายของมู่หรงฉีสั่นเทาน้อยลง ตงหลิงหวงจึงถอดเสื้อผ้าของตนออกและคลุมร่างกายของมู่หรงฉีไว้

หลังจากนั้นไม่นาน มู่หรงฉีก็หยุดสั่น ทว่าร่างกายของเขากลับเดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อน ดั่งอยู่ท่ามกลางน้ำแข็งและกองไฟ

เขาขมวดคิ้วแน่นตลอดเวลา ดูเหมือนเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างมาก

“ร้อน… ร้อน… ร้อนมาก… ”

มู่หรงฉีเริ่มทุรนทุรายไม่หยุด

ตงหลิงหวงเหลือบตามองบุรุษผู้นั้น ราวกับมองภูเขาที่อยู่ไกลแสนไกล คิ้วโค้งงดงามดั่งดวงจันทร์ จมูกโด่งเป็นสัน และใบหน้าหล่อเหลาคมสันดั่งเทพเจ้าแกะสลัก

หัวใจที่อ่อนโยนอยู่แล้ว ยิ่งอ่อนโยนประดุจสายน้ำ

“หวงเอ๋อร์… เจ้าเชื่อข้า หวงเอ๋อร์ เจ้าเชื่อข้า ข้าจะต้องรับผิดชอบตัวเจ้าอย่างแน่นอน… หวงเอ๋อร์ อย่าจากข้าไป… อย่า… ”

ไม่รู้ว่ามู่หรงฉีที่กำลังหมดสติอยู่นั้นเห็นสิ่งใด จึงทำให้เขาพูดจาเพ้อเจ้อคร่ำครวญเช่นนี้

ตงหลิงหวงตบแก้มของมู่หรงฉีอย่างต่อเนื่อง

“มู่หรงฉี ท่านตั้งสติหน่อย! ”

“มู่หรงฉี ท่านเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นหนานหลี มีทหารและประชาชนมากมายรอท่านอยู่ที่แคว้นหนานหลี ท่านจะเป็นอันใดไปไม่ได้ ท่านได้ยินหรือไม่? ”

“มู่หรงฉี… ท่านยังมีเสด็จพ่อของท่าน และยังมีน้องสาวที่พลัดพรากจากกันหลายปี ท่านจะเป็นอันใดไปไม่ได้ พวกเขากำลังรอท่านกลับไป”

“มู่หรงฉี มีคนมากมายรอท่านกลับไป พวกเขาต้องตามหาท่านอย่างแน่นอน”

“มู่หรงฉี มีผู้คนจำนวนมากที่ต้องการท่าน… และ… รวมถึงข้าด้วย… ”

แม้แต่ตงหลิงหวงเองก็คิดไม่ถึงว่าตนจะพูดประโยคสุดท้ายออกมา

ก่อนหน้านี้ ไม่ว่ามู่หรงฉีจะสนใจนางเพียงใด นางก็ยังคงแสดงออกอย่างเย็นชา แม้นางจะมีท่าทีเฉยเมย ทว่านางไม่เคยเปิดเผยความรู้สึกภายในใจของนางแม้แต่น้อย

คำพูดเช่นนี้ เกรงว่ามีเพียงยามที่เขาไม่ได้สติเท่านั้น นางถึงจะกล้าพูดออกมา

ตงหลิงหวงมองบุรุษในอ้อมแขนของนาง พลางหวนนึกถึงสิ่งที่นางพูดด้วยความตื่นเต้นเมื่อครู่นี้ ทำให้ภายในใจของนางรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก

“หวงเอ๋อร์… ”

มือของมู่หรงฉีขยับเข้ามาใต้เสื้อผ้าและสัมผัสร่างที่อ่อนนุ่มของตงหลิงหวง ปลุกความคิดร่องรอยของนางให้ตื่นขึ้น

ทันใดนั้น แก้มของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ แม้แต่เรือนร่างก็รู้สึกร้อนผ่าวเล็กน้อย