“เรื่องนี้พี่หล่งโปรดวางใจ ขอแค่ตระกูลจ้าวไม่มีจอมมารนั่งบัญชาการ พวกเราย่อมไม่จำเป็นต้องเปิดโปงฐานะระดับผสานอินทรีย์ แค่ชิงกิ้งก่ามารก็จากไป ไม่มีทางทำเรื่องที่ไม่จำเป็นแน่” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวฉีกยิ้มเบิกบานแล้วตอบกลับอย่างมั่นใจเต็มสิบ

หานลี่และหญิงสาวสวมชุดขนนกย่อมไม่มีความเห็นอื่น

บรรพชนตระกูลหล่งเห็นเช่นนี้ก็พยักหน้า

ดังนั้นเวลาต่อจากนี้กลุ่มคนและพวกก็เริ่มปรึกษารายละเอียดการลงมือ และยืนยันแผนการทุกขั้นตอน

สองสามชั่วยามต่อมาบรรพชนตระกูลหล่งและหานลี่ก็ออกไปจากถ้ำพำนักกลับเข้าไปในเมืองฮ่วนเย่

สองเดือนตามมาหานลี่ยังคงฝึกฝนอยู่ในเจดีย์ไม่ยอมออกมา รอเวลานัดมาถึงอย่างเงียบๆ

ช่วงเวลานี้เขาได้รับข่าวสารจากบรรพชนตระกูลหล่งสองสามครั้ง ดูเหมือนทุกอย่างจะดำเนินการไปอย่างราบรื่น

บรรพชนตระกูลหล่งไม่เพียงทำให้คนของตระกูลจ้าวไม่ชอบ แม้กระทั่งทำให้จอมมารตระกูลจ้าวสองตนตัดสินลงมือด้วยตนเองภายใต้การจัดวางอย่างระมัดระวัง

แต่แค่ยามนี้บรรพชนตระกูลหล่งเอาแต่อยู่ในเมืองฮ่วนเย่ ไม่ได้เปิดโอกาสให้คนตระกูลจ้าวเลยสักนิด

วันนี้หานลี่นั่งสมาธิอยู่ในเจดีย์ ฉับพลันนั้นตรงหว่างเอวก็มีเสียงร้องต่ำๆ ดังขึ้น ลำแสงสีขาวบินออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วกลายเป็นอักขระสีขาวสิบกว่าตัวกระจายออก

หานลี่กวาดตามองอักษรเหล่านั้นสองสามแวบ แล้วหัวเราะน้อยๆ ออกมา จากนั้นก็หยัดกายลุกขึ้นเดินลงจากเจดีย์

ยามที่มาถึงชั้นหนึ่งของเจดีย์ จูกั่วเอ๋อร์กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ ประตู มือหนึ่งเท้าคางด้วยความเหม่อลอย

เมื่อเห็นหานลี่เดินลงมาจากด้านบน หญิงสาวก็ได้สติกลับคืนมาและเข้ามาคารวะอย่างตื่นตระหนก

“ครั้งนี้ เจ้าไม่ต้องอยู่ที่นี่แล้ว ตามข้ามาเถิด” หานลี่กำชับอย่างราบเรียบ แล้วเดินออกไปนอกประตู

จูกั่วเอ๋อร์ได้ยินพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจออกมา ปากก็เอ่ยคำว่า “เจ้าค่ะ” แล้วรีบตามหลังหานลี่มา

ถึงอย่างไรเสียช่วงเวลานี้แม้หานลี่จะไม่ได้ปฏิบัติกับนางอย่างทารุณ แต่หญิงสาวผู้นี้ก็ถูกจำกัดอยู่ในเจดีย์ แน่นอนว่าจึงรู้สึกอุดอู้ และรู้สึกเหมือนติดคุก ยามนี้ได้ออกมาย่อมดีใจ

หลังจากที่ออกจากเจดีย์หานลี่ก็พาจูกั่วเอ๋อร์นั่งรถอสูรออกจากเมืองฮ่วนเย่

หลังจากออกจากประตูเมือง หานลี่ก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนี พาจูกั่วเอ๋อร์ไปยังยอดเขานิรนามแห่งหนึ่ง

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ลำแสงหลีกหนีของหานลี่ก็ร่อนลงไป

ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งบนยอดเขา บุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงของตระกูลหลินรออยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นหานลี่ปรากฏตัว ก็เผยรอยยิ้มแล้วเข้ามาต้อนรับทันที

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ผู้นี้แม้จะยังคงมีท่าทีแก่ชรา แต่ผมที่เดิมเป็นสีเทาขาวกลับเปลี่ยนมาเป็นสีดำแล้ว ใบหน้าก็มีสีโลหิตปรากฏขึ้นหลายส่วน

เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างนี้เป็นผลมาจากยาชุบโลหิตของหานลี่ในวันนั้น

“พี่หานตรงต่อเวลาจริงๆ หญิงสาวผู้นี้คือชนรุ่นหลังของเจ้าหรือ” บุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงกวาดตามองจูกั่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างแววตาเปล่งประกายขณะเอ่ยถาม

“ใช่แล้ว นางมีต้นกำเนิดเดียวกันกับข้า รบกวนสหายพานางกลับไปที่แดนวิญญาณเถิด รอให้เรื่องของแดนมารจบลง ข้าจะไปรับนางทันที” หานลี่ตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ

“สหายวางใจ ในเมื่อข้าเอายาลูกกลอนมาแล้ว ย่อมต้องปกป้องความปลอดภัยของนาง พี่หล่งและพวกจะดำเนินแผนการอีกสองวัน เรื่องนี้รอช้าไม่ได้ ข้าจะออกเดินทางวันนี้” บุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ

“อืม สหายหลินไปก่อนสองวันก็ดี หากถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง จะเป็นปัญหา” หานลี่พยักหน้าแล้วเอ่ยอย่างเห็นด้วย จากนั้นก็หันหน้าไปเอ่ยกับจูกั่วเอ๋อร์

“เจ้าได้มาพบกับข้าที่นี่ ก็นับว่าเรามีวาสนาต่อกัน ข้าจะช่วยเจ้ากลับไปในเผ่าก็แล้วกัน สหายหลินผู้นี้เป็นหนึ่งในอาวุโสระดับสูงของตระกูลที่ยิ่งใหญ่ในเผ่ามนุษย์ เจ้าติดตามเขาไปย่อมไม่เป็นอันใด เรื่องอื่นรอให้พบกับเจ้าครั้งหน้า ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังอย่างละเอียดอีกที”

จูกั่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างได้ฟังก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ริมฝีปากพะงาบๆ คิดจะเอ่ยซักถามอันใด

แต่ยามนี้หานลี่กลับสะบัดแขนเสื้อ

หมอกสีเขียวม้วนออกมาหานลี่กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพวยพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ชั่วพริบตาก็ไปจากที่นี่

บนยอดเขาจึงเหลือเพียงบุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงและจูกั่วเอ๋อร์ตามลำพัง

“แม่หญิง ไม่ต้องมองแล้ว พี่หานฝากเจ้าไว้กับข้า ข้าจะพาเจ้ากลับแดนวิญญาณ” บุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงเอ่ยกับจูกั่วเอ๋อร์อย่างราบเรียบ

“แดนวิญญาณ ท่านอาวุโสคือคนของเผ่ามนุษย์จริงๆ! หรือว่าท่านอาวุโสหานี่ก็เป็น” จูกั่วเอ๋อร์เป็นผู้ที่ชาญฉลาดมาก หลังจากได้สติกลับคืนมาแล้ว ก็ยังคงเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“หึๆ จากฐานะของข้าและพี่หาน จะหลอกเจ้าอยู่ที่ในระดับจิตวิญญาณสีทองเพื่ออันใดกัน” บุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงหัวเราะหึๆ ออกมา

“แต่เมื่อครู่ท่านอาวุโสหานบอกว่าชนรุ่นหลังมีที่มาเดียวกัน นั่นมันเรื่องอันใดกัน ท่านอาวุโสบอกได้หรือไม่” จูกั่วเอ๋อร์ตื่นเต้นอยู่ชั่วครู่ แล้วนึกอันใดได้พลางเอ่ยถาม

“เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้ หรือว่าพี่หานไม่เคยเอ่ยกับเจ้า” บุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจเล็กน้อย

“ชนรุ่นหลังก็เพิ่งรู้ว่าท่านอาวุโสหานไม่ใช่คนของเผ่ามาร จะรู้ได้อย่างไรว่ามีที่มาเดียวกันกับท่านอาวุโสหาน” จูกั่วเอ๋อร์สั่นศีรษะระรัว ใบหน้าเผยสีหน้าฉงนออกมา

แต่หญิงสาวกลับย้อนนึกในใจ ก่อนหน้านี้ยามที่หานลี่พบนางครั้งแรกก็ถามเกี่ยวกับเคล็ดวิชาวัฏจักรหญิงพรหมจารี จึงคาดเดาในใจอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก

แม้ว่าบุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงจะสนใจความสัมพันธ์ของจูกั่วเอ๋อร์และหานลี่ แต่ก็ไม่ได้ซักถามอันใดในยามนี้ หลังจากที่เอ่ยอย่างราบเรียบสองสามประโยค ก็ยกมือขึ้นปล่อยรถเหาะสีดำสนิทคันหนึ่งออกมา ด้านหน้ามีอสูรหุ่นเชิดที่คล้ายกับมังกรวารีอยู่สองสามตัวกำลังหมอบอยู่

บุรุษกวักมือทั้งสองขึ้นไปบนรถตามลำดับ แล้วห้อตะบึงไปกลางอากาศตรงไปยังดินแดนรกร้างโดยมีอสูรหุ่นเชิดลากไป

……

เพราะกลัวว่าหลังจากนี้ไม่นานบรรพชนตระกูลหล่งและพวกจะเคลื่อนไหว ดังนั้นเมื่อออกจากบริเวณของเมืองฮ่วนเย่ บุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงก็กระตุ้นอสูรหุ่นเชิดเต็มอัตรา

หลังจากผ่านไปชั่วครู่รถเหาะก็มาปรากฏตัวห่างออกไปพันหมื่นลี้

ยามนี้ด้านล่างรถเหาะล้วนเป็นเนินเขาสูงต่ำ ไม่ไกลนักล้วนเป็นภูเขาเรียงทอดติดกัน ชั่วพริบตาก็บินผ่านไป

และในยามนั้นเองโสตประสาทของบุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงพลันมีเสียงราบเรียบของสตรีดังขึ้น

“ในเมื่อมาถึงแล้วก็ลงมาเถิด”

สิ้นเสียงเหนือรถเหาะก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น กลีบดอกไม้สีแดงจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นทั่วท้องฟ้า ผนึกรวมกันกลายเป็นมือยักษ์ขนาดร้อยจั้งเศษแล้วกดลงมาบนรถเหาะอย่างดุดัน

ยามนั้นกลิ่นหอมพลันโชยลงมา ราวกับท้องฟ้าทั้งผืนพังทลายลงมาก็ไม่ปาน ทำให้ผู้คนไม่อาจหลบหลีกได้!

“แย่แล้ว!”

บุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ชั่วขณะนั้นพลันร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง มือหนึ่งร่ายอาคมอย่างรวดเร็ว อีกมือหนึ่งกลับชูขึ้นสูง

พริบตานั้นอสูรหุ่นเชิดสองสามตัวที่เดิมลากรถอยู่พลันชูคอขึ้นกลางอากาศพร้อมกัน แล้วพ่นเสาลำแสงหนาหลากสีสันออกมา ในเวลาเดียวกันรถเหาะพลันเปล่งแสงสว่างวาบ รัศมีลำแสงสีขาวชั้นหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏออกมา คุ้มกันคนบนรถเอาไว้

แทบจะในเวลาเดียวกันไอสีดำที่พันรัดใบมีดกระดูกก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วบินออกมาจากมือของบุรุษ แล้วพลิ้วไหวกลายเป็นใบมีดสีขาวความยาวยี่สิบสามสิบจั้ง สับลงไปที่มือยักษ์สีชมพู

ทุกแห่งที่ใบมีดยักษ์กวาดผ่านไป บรรยากาศรอบๆ พลันรางเลือน และบิดเบี้ยวไปมาไม่หยุด ราวกับว่ากำลังจะปริแตกอย่างไรอย่างนั้น

บุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงคู่ควรกับที่เป็นตัวตนระดับผสานอินทรีย์ แม้ว่าพลังยุทธ์จะลดลง แต่ลงมือภายใต้ความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว ก็ยังคงมีอานุภาพการทำลายล้างที่น่าตกตะลึง!

ครู่ต่อมาเสาลำแสงและใบมีดยักษ์โจมตีไปบนฝ่ามือยักษ์พร้อมกัน

เสียงอึกทึกสะเทือนเลื่อนลั่นดังมาก บรรยากาศรอบๆ ในรัศมีร้อยลี้ส่งเสียงอื้ออึงไม่หยุด

เสาลำแสงถูกรัศมีลำแสงสีชมพูที่แผ่ออกมาจากมือยักษ์พลันม้วนวน เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ใบมีดกระดูกยักษ์พลันถูกพลังมหาศาลที่ลึกล้ำยากจะคาดเดากดลงมาแล้วปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

รูม่านตาของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ตระกูลหลินหดเล็กลง ใบหน้าซีดขาวไร้สีโลหิต ยามที่คิดจะสำแดงอิทธิฤทธิ์อื่นๆ ต้านทานมือยักษ์ กลับสายไปเสียแล้ว

เห็นเพียงลำแสงสีชมพูกลางอากาศม้วนวนลงมา ชั่วพริบตารัศมีลำแสงบนรถเหาะก็ฉีกขาด บุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงรู้สึกเพียงว่าตรงหน้ามีดอกไม้ประหลาดสีชมพูจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมา พลังปราณในร่างแข็งค้าง และเปลี่ยนเป็นขมุกขมัวท่ามกลางกลิ่นหอมพิศวง

แต่ก่อนที่เขาจะสิ้นสติสัมปชัญญะ ในหูพลันมีเสียงกรีดร้องด้วยความตกตะลึงระคนหวาดกลัวของจูกั่วเอ๋อร์ดังขึ้น

บุรุษผมเผ้ายุุ่งเหยิงหยักรอยยิ้มขมขื่น!

ครึ่งวันก่อนเขายังคุยโวโอ้อวดกับหานลี่ ผลคือยามนี้จะปกป้องตนเองก็ยังยาก ทว่าหากไม่ใช่ว่าเขาสูญเสียพลังปราณไปกวาครึ่ง ก็คงไม่มีทางเป็นเช่นนี้แน่

ความคิดนี้เปล่งแสงสว่างวาบในหัวของบุรุษ สติสัมปชัญญะรางเลือนพลางล้มตึงลงบนรถเหาะ

……

หนึ่งชั่วยามต่อมาท่ามกลางป่าลึกสีดำ บุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงฟื้นขึ้นมาอย่างช้าๆ อีกครั้ง

ชั่วพริบตาที่เขาลืมตาทั้งสองข้างขึ้น ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบนเรือนร่าง จึงรีบกวาดสายตาไปบนเรือนร่าง

เห็นเพียงเขาในยามนี้อยู่ในต้นบุปผาสีชมพู ร่างกายถูกห่อหุ้มด้วยดอกพิศวง ดูเหมือนจะเป็นทิวทัศน์ที่สวยสดงดงาม แต่เรือนกายกลับไร้เรี่ยวแรง จุดตันเถียนยิ่งว่างเปล่า ราวกับว่าไม่มีพลังปราณหลงเหลืออยู่แล้ว

บุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง ถึงได้เลื่อนสายตากวาดมองบริเวณรอบ

ผลคือยังไม่ได้เห็นอันใด เสียงบุรุษหยาบกระด้างก็ดังขึ้นจากด้านข้าง

“ใต้เท้าเป่าฮวา มนุษย์ผู้นี้ฟื้นแล้ว”

บุรุษใจหายวาบ มองไปทางเสียงที่ได้ยินอย่างไม่ต้องขบคิด

เห็นเพียงบนถุงดินด้านข้างมีชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำหน้าตาอัปลักษณ์ยืนเอาสองมือเท้าสะเอวอยู่ และกำลังพิจารณาเขาด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม

“จอมมารเผ่ามาร!”

บุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงคาดเดาเรื่องนี้ได้ตั้งนานแล้วจึงไม่ได้เผยสีหน้าตกตะลึงมากนัก กลับแววตาเปล่งประกายพลางมองไปยังต้นไม้ใหญ่อีกต้นที่อยู่ไกลนัก

ใต้ต้นไม้เงาลวงตาต้นบุปผาสีชมพูเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด! หลังจากที่ชายร่างใหญ่ส่งเสียงดังขึ้น รัศมีลำแสงทั้งหมดก็สลายหายไป ที่เดิมมีหญิงสาวหน้าตางดงามไม่เป็นสองรองใครสวมชุดกระโปรงสีขาวปรากฏขึ้น

เดิมหญิงสาวชุดขาวผู้นี้หลับตาคู่งามทั้งสองข้างอยู่ ยามที่บุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงมองไป กลับดูเหมือนจะสัมผัสได้จึงลืมตาขึ้น สายตาประสานเข้ากับสายตาของบุรุษอย่างพอดิบพอดีราวกับดวงดาว

พริบตานั้นสติสัมปชัญญะของบุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงก็รางเลือน รู้สึกเพียงว่าแววตาของสตรีราวกับแฝงความเยือกเย็นสุดจะพรรณนาออกมา ทรวงอกร้อนผ่าว แม้กระทั่งเกิดความรู้ยอมตายแทนอีกฝ่ายได้