ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิน ตอนที่ 14 บรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้โกรธแค้น

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ลมหนาวอันเวิ้งว้างพัดหวีดหวิว ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ที่นั่น พินิจดูบุคคลผู้น่าหวาดหวั่นที่อยู่ห่างออกไปล้านล้านลี้ผู้นั้นอย่างเยือกเย็น! ถึงแม้ว่าภายในใจจะมีจิตต่อสู้เดือดพล่าน แต่เขาก็เข้าใจกระจ่างดีว่า… ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะมีคุณสมบัติพอที่จะต่อสู้เผชิญหน้ากับบรรพชนราตรีนิรันดร์ แต่ถึงอย่างไรในท้ายที่สุดสองฝ่ายก็มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน! ตนเองก็ได้ทำได้แค่ ‘ป้องกันตัวเอง’ อย่างสบายๆ เท่านั้น ไปทำการบุกสังหารก็เป็นการรนหาที่เปล่าๆ

“รอให้หลอมอาวุธเทพอลวนของข้าสำเร็จก่อน ความห่างชั้นก็จะน้อยลงแล้ว ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา”ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ พลังยุทธ์ของเขาในตอนนี้สามารถนับได้เพียงว่าเทียบเคียงกับมหาเคารพฝูอี่เท่านั้น พลังยุทธ์เช่นนี้เมื่อเผชิญกับบุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ต้องถูกกดดันอยู่ดี

“ปราการเมืองสิบเก้าแห่ง ข้าเพิ่งช่วยไปแค่สามแห่งเท่านั้น เหลืออีกสิบหกแห่งที่มีความยุ่งยากอยู่บ้าง ต้องรอหลังจากที่บรรพชนราตรีนิรันดร์จากไปแล้ว”

ตอนนี้มิใช่เวลาเหมาะที่จะช่วยเหลือ

เวลาที่บรรพชนราตรีนิรันดร์กำลังโกรธแค้น กำลังเสาะหาตัวเขา

……

“สมควรตาย ที่แท้แล้วเป็นผู้ใดกันแน่” ชุดคลุมสีดำส่งเสียงพึ่บพั่บ นัยน์ตาอันเยียบเย็นของบรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้มีใบหน้าหล่อเหลามองลงไปยังเบื้องล่าง ทุกตารางนิ้วของห้วงอากาศเบื้องล่างล้วนถูกแช่แข็งไปเสียแล้ว เหล่าผู้บำเพ็ญที่อยู่ห่างออกไปค่อนข้างใกล้เหล่านั้นต่างก็รู้สึกได้ว่าร่างกายแข็งเกร็ง ห้วงสมองขาวโพลนไปหมด ถึงขนาดที่ต่างพากันสูญเสียความสามารถในการคิดใคร่ครวญไป เมื่ออยู่ต่อหน้าบรรพชนราตรีนิรันดร์ พวกเขาแต่ละคนก็ไม่มีเรี่ยวแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย

บรรพชนราตรีนิรันดร์กำลังเสาะหาอยู่

เคล็ดลับสะกดรอย…ร่องรอยวิญญาณ…ย้อนรอยกาลเวลา…

“นี่มันเรื่องอันใดกัน” สีหน้าของบรรพชนราตรีนิรันดร์ทวีความเคร่งขรึมยิ่งขึ้น ไม่ว่าเขาจะค้นหาอย่างไร เมื่อถึงตอนที่กำลังจะสอดแนมไปถึงตัวมือสังหาร ต่างก็ถูกรบกวนนจนมิอาจตรวจหาต่อไปได้อีก

“แม้กระทั่งข้ายังมิอาจตรวจพบได้ หรือว่าจะเป็นฝีมือเทพจักรวาลขั้นสุดยอดสักคนหนึ่ง ต่อให้เป็นเทพจักรวาลขั้นสุดยอดธรรมดาทั่วไปก็ไม่สามารถผลาญสังหารจวินอ๋องดำได้ภายในชั่วพริบตาเดียวหรอก” บรรพชนราตรีนิรันดร์เอ่ยพึมพำ พอจวินอ๋องดำขอความช่วยเหลือ เขาก็มาในทันทีทันใด แต่ก็ยังมาช้าเกินไปอยู่ดี! การส่งสารในตอนแรกของจวินอ๋องดำก็ยังค่อนข้างมั่นใจในตนเอง รอจนถึงเวลาที่ขอความช่วยเหลือก็คือเวลาที่ชะตาถึงฆาตแล้ว

เห็นได้ชัดว่าฆาตกรซ่อนเร้นพลังยุทธ์เอาไว้ในตอนแรก รอจนเผยเขี้ยวเล็บ ก็ผลาญสังหารภายในกระบวนท่าเดียว!

“สามารถผลาญสังหารได้ภายในชั่วพริบตา เป็นใครกัน เป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทานคนอื่นหรือไร” บรรพชนราตรีนิรันดร์เกิดความคิดมากมายขึ้นภายในชั่วครู่เดียว ผู้ที่สามารถทำการผลาญสังหารจวินอ๋องดำได้ภายในชั่วพริบตาทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็มีอยู่น้อยนิดเหลือเกิน แม้แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เพียงแค่ลองเสี่ยงดูสักตั้ง มิได้มีความมั่นใจสักเท่าใดนัก อย่างเช่นมหาเคารพฝูอี่และคนอื่นๆ พลังยุทธ์พอๆ กันกับเขา บางทีก็อาจจะสามารถผลาญสังหารจวินอ๋องดำได้สำเร็จ แต่การจะผลาญสังหารได้ภายในชั่วพริบตานั้นเกรงว่ายังไม่แน่ว่าจะสามารถทำได้

ผู้ที่กล้าพูดว่าสามารถทำได้อย่างแน่นอน

ก็มีแต่บุคคลผู้ไร้เทียมทานเท่านั้น!

“อาศัยผู้ยิ่งใหญ่รังแกผู้น้อย สังหารจอมเคารพคนหนึ่งจนตายก็แล้วไปเถิด แต่ยังต้องซ่อนหัวเร้นหาง แม้กระทั่งโฉมหน้าที่แท้จริงก็ยังมิกล้าเปิดเผยออกมาเลย” บรรพชนราตรีนิรันดร์หรี่ตา ทันใดนั้นก็มองไปทางผู้บำเพ็ญจำนวนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปเบื้องล่างอย่างละเอียด โดยเฉพาะบรรดาผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น บรรพชนราตรีนิรันดร์ส่งระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างแทรกผ่านเข้าสู่ห้วงสมองของพวกเขาในทันทีแล้วเริ่มต้นพลิกดูความทรงจำ

เป็นถึงบุคคลผู้หลอมมารรับใช้ได้แข็งแกร่งที่สุดในทั้งดินแดนจิตโลกา การสำรวจทางด้านวิญญาณของบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็ล้ำลึกเป็นที่สุด ต่อให้เป็นวิญญาณขั้นอลวนก็สามารถตรวจดูได้อย่างสบายๆ

ตรวจดูความทรงจำ…

บรรพชนราตรีนิรันดร์มองเห็นชายหนุ่มเสื้อดำคนหนึ่งห้ำหั่นกับจวินอ๋องดำ จนกระทั่งปรากฏร่างแยกทั้งเก้าออกมา สำหรับภาพเหตุการณ์ที่ใช้ ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ ในช่วงเวลาวิกฤติที่สุด ก็เป็นเพราะตงป๋อเสวี่ยอิงเจตนาบิดหมุนห้วงอากาศ บรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่งเหล่านั้นต่างก็ไม่ได้เห็น

“ชายหนุ่มเสื้อดำ ร่างแยกเก้าร่างอย่างนั้นหรือ ดูเคล็ดวิชาการต่อสู้ ไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าเป็นยอดฝีมือทางด้านวิถีอากาศ ที่แท้แล้วเป็นผู้ใดกันแน่ บุคคลผู้ไร้เทียมทานทางด้านวิถีอากาศก็มีอยู่สองท่าน จักรพรรดิเซี่ยหรือว่าผู้พเนจรอย่างนั้นหรือ ไม่ถูกสิ ก่อนหน้าที่ราชันย์อนธการอมตะจะกลับมา

จักรพรรดิเซี่ยก็คือผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกา เขาหยิ่งยโสเพียงใด ไม่มีทางซ่อนเร้นตัวตนเพียงเพื่อจะลอบสังหารจวินอ๋องดำหรอก ผู้พเนจรหรือ ผู้พเนจรสงบนิ่งกว่ามาก นี่ก็ไม่เข้ากับอุปนิสัยของเขาเอาเสียเลย!” บรรพชนราตรีนิรันดร์นึกค้าน “มหาเคารพฝูอี่ก็มีความเป็นไปได้อยู่บ้าง บางครั้งเขาก็ทำอะไรโดยไม่เลือกวิธีการอยู่บ้าง! ‘อ๋องสัตว์โลกา’ แห่งรัฐโบราณสหโลกาเล่า วิถีอากาศของอ๋องสัตว์โลกาก็ไปถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้วเช่นกัน ด้วยอุปนิสัยโหดเหี้ยมทารุณของอ๋องสัตว์โลกา ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นฝีมือเขา”

“เป็นใครกันหนอ” บรรพชนราตรีนิรันดร์ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด

เพราะเจ็บปวดใจ!

ผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพมีน้อยนิดเหลือเกิน

ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขามีอยู่ทั้งสิ้นห้าคนเท่านั้นเอง! ในบรรดานั้นมีอยู่สามคนที่เป็นสามคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ ‘เก้าผู้ท่องราตรีนิรันดร์’ ที่เขาหล่อหลอมขึ้นมา! ส่วนคนอื่นๆ ก็คือผู้แกร่งกล้าที่เต็มใจสวามิภักดิ์ต่อเขา ระดับจอมเคารพสองคนที่เป็นผู้นำของบรรดาคนเหล่านั้นก็คือจวินอ๋องดำและจวินอ๋องเหยียน! บรรพชนราตรีนิรันดร์ก็คาดหวังว่าจะมีเทพจักรวาลที่แกร่งกล้ามาสวามิภักดิ์ต่อเขามากยิ่งขึ้น

ตามปกติแล้วเขาก็ตั้งใจปฏิบัติต่อจวินอ๋องดำและจวินอ๋องเหยียนอย่างตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง

ตอนนี้จวินอ๋องดำตายแล้ว!

……

กาลเวลาเคลื่อนผ่าน

บรรพชนราตรีนิรันดร์ยืนอยู่กลางท้องฟ้าเหนือซากปรักหักพังเป็นเวลาชั่วจิบชาจอกหนึ่งเต็มๆ แล้ว ในที่สุดก็ยังก้าวยาวๆ อย่างจนใจก้าวหนึ่งแล้วทลายอากาศจากไป หายลับไปไม่เห็นอีก

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ที่ด้านนอกรัฐวายุโหม มองดูภาพเหตุการณ์นี้อยู่ห่างๆ แล้วก็มิได้กระวนกระวาย หากแต่รอคอยอย่างเงียบๆ

ฟ้าสว่างแล้วก็มืดลง

หนึ่งวันผ่านไป ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่บนความรกร้างราวกับรูปปั้นดวงตาเปล่งประกายน้อยๆ “ถึงเวลาแล้วสินะ”

พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!

ที่พื้นที่ต่างๆ กันบนดินแดนจิตโลกาอันกว้างใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นกลางบ้านธรรมดาทั่วไปภายในปราการเมืองของนครหลวงเกาะสักแห่ง หรือว่าจะเป็นในกระท่อมไม้กลางภูเขาลึก หรือว่าหุบเขากลางภูเขาใหญ่ หรือจะเป็นภายในวังใต้ดิน…สถานที่ทุกหนทุกแห่งต่างก็มีชายหนุ่มเสื้อดำคนแล้วคนเล่าปรากฏตัวขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงมีร่างแยกอยู่ทั้งสิ้นกว่าหมื่นร่าง นอกจากร่างแยกเก้าร่างที่สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาเข้าสู่โลกกำเนิดอื่นๆ แล้ว ร่างแยกอื่นๆ อีกจำนวนมากก็ได้กระจายตัวไปตามที่ต่างๆ ในดินแดนจิตโลกา ตามปกติแล้วพวกเขาต่างก็ซ่อนเร้นพลังยุทธ์ สงบเสงี่ยมเจียมตัวเป็นอย่างยิ่ง หรือบำเพ็ญอย่างเงียบๆ ตามลำพัง มีบางส่วนที่เริ่มเปิดสำนักวิชาเล็กๆ ชี้แนะศิษย์จำนวนหนึ่ง มีบางส่วนที่เปิดโรงหลอมเพื่อช่วยทำการหลอมอาวุธ

ตอนนี้มีร่างแยกสิบหกร่างที่เคลื่อนไหวแล้ว

พวกเขาต่างก็สำแดงการเคลื่อนที่ในพริบตาก่อน ซ่อนตัวรักษาระยะห่างแล้วสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาพร้อมกันในทันใด แยกกันมุ่งหน้าไปยังปราการเมืองที่ซ่อนเร้นต้นไม้ประหลาดอัปลักษณ์เอาไว้

กระแสอากาศหมุนวนปรากฏขึ้น

ร่างแยกก้าวยาวๆ เข้าไป หลังจากผ่านเข้าไปแล้วก็ไปถึงยังใจกลางโถงตำหนักลับแห่งหนึ่งในทันใด มองเห็นต้นไม้ประหลาดอัปลักษณ์ต้นนั้นแล้ว

“บังอาจบุกรุกพื้นที่หวงห้าม”

“ฆ่ามัน”

ผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนสองคนที่รับผิดชอบเฝ้ายามทั้งตกใจทั้งโมโห ทางหนึ่งก็ควบคุมค่ายกลหมายจะจัดการตงป๋อเสวี่ยอิงที่บุกรุกเข้ามา อีกทางหนึ่งก็ส่งสารติดต่อ ‘จวินอ๋องดำ’ หัวหน้าของพวกเขา แต่ตอนนี้จวินอ๋องดำตายไปแล้ว พวกเขาจะสามารถติดต่อได้อย่างไรกันเล่า

ปัง…

ร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง ร่างแยกทั้งสิบหกร่างที่ส่งออกมานี้ต่างก็เป็นร่างแยกที่ค่อนข้างอ่อนแอ วิญญาณก็ค่อนข้างอ่อนแอ มีพลังยุทธ์เพียงแค่หนึ่งในสิบส่วนของปกติเท่านั้น แต่เพียงแค่โบกมือคราหนึ่ง ขั้นอลวนสองคนก็กลายเป็นผุยผงกระจัดกระจายไปเสียแล้ว ร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงถอนต้นไม้ประหลาดอัปลักษณ์ต้นนั้นขึ้นมาในทันที มองดูพลอยสีดำสามเม็ดบนต้นไม้ประหลาดแล้วก็หัวเราะ จากนั้นก็สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาจากไปในทันที!

……

ร่างแยกแต่ละร่างต่างก็สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกามาถึงที่นี่กันหมด รับหน้าที่เฝ้ายามบรรดาขั้นอลวนเหล่านั้น มีเพียงสองคนที่ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงแยกเอาไปไว้ที่อีกด้านหนึ่ง ยังมิได้สังหาร สองคนนี้ถึงแม้ว่าจะผิดแผกอยู่บ้าง อุปนิสัยแปลกประหลาด แต่ก็มิอาจนับได้ว่าเป็นมาร

แต่ทว่าก็ยังมีร่างแยกร่างหนึ่งที่เผชิญกับความยุ่งยากเข้า

“พรึ่บ”

ในขณะที่ร่างแยกร่างนี้ก้าวออกมาจากกระแสวนอันบิดเบี้ยว ห้วงอากาศด้านข้างกลับมีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาในทันใด เขามีชุดคลุมสีดำที่เดินริมด้วยลวดลายดอกไม้สีทอง ใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาเย็นเยียบดุจน้ำแข็งมองตงป๋อเสวี่ยอิง พร้อมกันนั้นก็ยื่นมือมา! ฝ่ามือปล่อยแสงทองอันยิ่งใหญ่มหาศาลไร้ที่สิ้นสุดออกมา นิ้วมือทุกนิ้วล้วนมีแสงทองปรากฏขึ้น ตรงมาหมายจะจับตัวร่างแยกนี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้

“ข้ารอเจ้าอยู่ที่นี่มานานแล้ว!” นัยน์ตาของบรรพชนราตรีนิรันดร์เต็มไปด้วยความเยียบเย็น

…………………………………………………