ผู้สัญจรเร่งรีบเดินผ่านไปผ่านมาบนถนน แต่โอลิเวอร์กลับยืนนิ่งอยู่กลางทางเหมือนรูปปั้น

ในคนวัยหนุ่มเช่นเขา แม้จะเขียนบทละครเก่งและเผชิญโลกมาหลากหลาย และนี่ไม่ใช่การเดินทางไกลครั้งแรก แต่สถานการณ์นี้ก็หนักอึ้งเกินไปสำหรับเขา นั่นเป็นเงินค่าใช้จ่ายของอีกสองสามเดือนข้างหน้า!

เขาจะทำอย่างไงล่ะทีนี้? จะกินอะไร? จะไปนอนที่ไหน

คำถามมากมายผุดขึ้นในหัว ทั้งหัวเสีย ทั้งโกรธ จนขารู้สึกว่าช่วงบ่ายแดดจ้ากลับมืดมิด และผู้คนรอบตัวต่างก็เมินเฉยและห่างเหินราวกับว่าอยู่คนละโลก

“ไอ้โจรชั่ว!”

หลังจากยืนนิ่งอยู่นาน โอลิเวอร์ก็ตะโกนออกมาเสียงโหยหวน จนเกือบทำคนที่ไปมาสะดุด

พอร้องโวยวายออกมา เขาก็จับกระเป๋าเดินทางไว้แน่น กลัวว่าจะมีโจรโผล่มาขโมยสมบัติชิ้นสุดท้ายไปอีก

เขาไม่แยแสสายตาคนอื่นที่กำลังมองเขาราวกับว่าเขาเป็นคนบ้า โอลิเวอร์นระบายความรู้สึกออกมา ไม่นาน เขาก็สงบสติอารมณ์ลงได้ ก่อนเริ่มคิดหาวิธีเอาตัวรอด

“ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ โอลิเวอร์ เจ้าทั้งเก่ง หน้าตาก็ดี และเข้มแข็งพอจะผ่านปัญหานี้ไปได้” โอลิเวอร์ปลอบใจตัวเองและคิดแบบเร็วๆ หาทางออกด้วยประสบการณ์ที่มี แต่ประสบการณ์ส่วนใหญ่ล้วนมาจากบทละคร

“เอาล่ะ ตอนนี้ ข้าต้องการใครสักคนที่ชื่นชอบข้า ชีวิตใหม่ของข้าจะเริ่มตรงนั้น” หาทางออกด้วยบทละคร เขากำหมัดแน่น “โอลิเวอร์ สมบัติล้ำค่าที่สุดของเจ้าไม่ใช่กระเป๋าเงินที่ถูกขโมย แต่เป็นสติปัญญาและบทละครในกระเป๋าต่างหาก เพียงแค่ให้สุภาพบุรุษที่มีรสนิยมดีสักคนได้อ่าน เจ้าก็จะได้รับเงินตอบแทนงามๆ ในทันที”

เมื่อเจอทางออกแล้ว โอลิเวอร์ก็เรียกความฮึกเหิมของคนหนุ่มกลับมา เขาหยิบกระดาษออกมาจากกระเป๋าสองสามปึก กอดไว้แน่น เขาถามทางไปเรื่อย แล้วก็จินตนาการถึงข้าวของที่จะซื้อหลังจากร่ำรวย บ้านหรูๆ สาวใช้แสนสวยที่ว่านอนสอนง่าย อาหารที่เลิศรส ไวน์ดังๆ สาวๆ ทรงเสน่ห์ ที่สำคัญที่สุด ลูกน้องสองสามคนที่จะฆ่าไอ้โจรชั่วนั้น!

สมาคมบทละครตั้งอยู่ที่ถนนอะลันมู ไม่ไกลจากประตูเมือง แปบๆ โอลิเวอร์ก็เห็นตึกรูปร่างประหลาดที่มีเสาหินสีเทาค้ำอยู่ตรงหน้า

พอเห็นยามที่ประตู เขาก็หยุดเดิน เขานึกถึงบทละครที่เห็นได้ทั่วไป ทหารยามผู้หยิ่งผยองจะไม่ยอมให้พระเอกผ่านทาง เพราะเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น ด้วยเหตุนี้ เขาต้องหาทางอ้อมไปเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์

“ข้าจะพลาดไม่ได้” โอลิเวอร์รู้สึกว่าเขาฉลาดมากที่คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขาจึงเดินไปที่จัตุรัสใกล้ๆ สางผมที่ยุ่งเหยิงจากการบันดาลโทสะก่อนหน้านี้ สระน้ำตรงหน้าเรียบราวกับกระจก แล้วก็หยิบเสื้อคลุมสีดำตัวใหม่ออกจากกระเป๋าเดินทาง เปลี่ยนกับตัวที่เลอะมอมแมมที่ใส่อยู่ ขั้นสุดท้าย เขาพับผ้าเช็ดหน้าเป็นดอกไม้และเหน็บไว้ในกระเป๋าเสื้อที่หน้าอก

“สุภาพบุรุษผู้สง่างาม” โอลิเวอร์พยักหน้าพึงพอใจ และเดินไปที่ประตูสมาคมบทละครอีกครั้ง

เขาไม่มองหน้ายามตอนเดินเข้าประตูด้วยซ้ำ เขาแค่พ่นลมหายใจออกมาอย่างประชดประชันตอนที่ยามจะเข้ามาหยุด

ยามทั้งสองคนถูกหลอกด้วยความน่าเชื่อถือและรูปลักษณ์ภายนอกของเขา คิดว่าเขาเป็นขุนนางสูงศักดิ์ จนต้องถอยกลับไป ไม่กล้าเข้ามายุ่ง

“ฮ่าๆ โอลิเวอร์ เจ้าเก่งมาก! เจ้าทำได้แน่!” โอลิเวอร์ชมตัวเองและเร่งฝีเท้าขึ้น

“นี่! นี่! ขอบอกเลยนะ ข้าจะเป็นนักเขียนบทละครที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต! อย่ามาหยาบคายกับข้า!”

ไม่กี่นาทีต่อมา โอลิเวอร์ก็ถูกชายฉกรรจ์สองคนจับโยนลงมาจากบันได

“ไสหัวไป ไอ้สิบแปดมงกุฎ!”

“คนบ้าอะไรวะเนี่ย!”

พวกเขาด่าทอ พร้อมทั้งโยนกระเป๋าและบทละครของโอลิเวอร์ทิ้ง

ตุ้บ

กระเป๋าเปิดออกเมื่อตกกระแทกพื้น เสื้อผ้าและบทละครของเขาก็ปลิวว่อน

เขาเห็นภาพบทละครที่รักโปรยปลิวอยู่ตรงหน้า ก่อนหล่นลงพื้นดิน โอลิเวอร์ก็ตะลึงงันไปชั่วอึดใจ ก่อนจะตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “พวกจ้าจะต้องเสียใจ!”

นักเขียนหนุ่มพรสวรรค์สูงอย่างข้าจะยิ่งใหญ่แน่นอน!

โอลิเวอร์เก็บข้าวของอย่างน่าสังเวช เขาเดินไปบนถนนอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าจะทำอะไร หรือจะไปที่ไหนดี

“คืนนี้ต้องหาที่พักก่อน แล้วค่อยไปดูที่ศาลาว่าการพรุ่งนี้ เผื่อจะมีงานให้ทำบ้าง” พอเห็นว่าเมฆดำทะมึน โอลิเวอร์ก็ดึงสติกลับมาจากอารามหงุดหงิดและกัดฟันกรอด “ข้าแต่งกลอนได้ ข้าขีดๆ เขียนๆ เก่งอยู่แล้ว ใครจะยอมอดตายในเรนทาโต”

เขาค่อยๆ เรียกความมั่นใจกลับมา เขาเจอที่พักใต้ชายคาอาคารหลังหนึ่ง และหลบอยู่ที่นั่น

ฝนตกหนัก จนเกิดหมอกบนพื้น

โอลิเวอร์อึ้งกับภาพที่เห็นที่จู่ๆ ก็ช่วยให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมา “ประสบการณ์ในวันนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับงานในอนาคต!”

โอลิเวอร์รู้สึกเหมือนหัวกำลังจะระเบิด เขาหันหลังไป ก็เห็นคนจรจัดคนหนึ่งกำลังจ้องเขาอยู่

“ที่นี่ของข้า!” ชายจรจดชี้ที่ชายคา

และแล้วความโมโหที่โอลิเวอร์เก็บมาทั้งวันก็ระเบิด ด้วยความเป็นหนุ่ม เขาตะคอกใส่ “ข้ามาถึงก่อน!” และพุ่งเข้ากอดรัดฟัดเหวี่ยงกับชายจรจัด

แต่แล้วใบหน้าของเขาก็เย็นเยียบ ตาเหม่อลอย เพราะมีชายจรจัดอีกคนโผล่มาด้านหลัง แล้วเอาไม้ฟาดหัวเขาเต็มๆ

ความมืด เลือด ความเจ็บปวด และความหนาวเหน็บหลอกหลอนโอลิเวอร์ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะหนีจากความอนาถที่ไม่อาจคาดเดานี้

โอลิเวอร์กระเสือกระสนลุกขึ้นนั่ง ความมืดในม่านดวงตาค่อยๆ จางไป มีแสงเทียนรำไรอยู่ตรงหน้า

“ที่ไหน… ข้าอยู่ที่ไหน?” เขาพึมพำ มองดูกระท่อมโทรมๆ เขารู้สึกเจ็บๆ ตรงหัว

“บ้านข้าเอง”

เสียงที่แสนเย็นชาของชายคนหนึ่งดังขึ้น ประตูเข้าห้องถูกเปิดออก ชายหัวล้านร่างอ้วนดูบึกบึนเดินออกมา “เจ้าถูกขายให้ข้า”

“อะไรนะ?” โอลิเวอร์กระโดดลงจากเตียงอย่างไม่อยากชื่อหูตัวเอง แต่ก็ถูกชายหัวล้านต่อยจนลงไปกองกับพื้น

“เรียกข้าว่า หัวหน้า เข้าใจไหม” ชายหัวล้านแสดงอำนาจ “หุบปากแล้วฟัง”

เขามึนหัวจากหมัดนั้น โอลิเวอร์จับริมฝีปากที่บวมเป่ง และมองชายหัวล้านอย่างหวาดกลัว

ชายหัวล้านหัวเราะเยาะ “คนนอกที่ไม่มีเงิน ไม่แข็งแกร่งพอ เจ้ากล้ามากที่คิดสู้กับคนจรจัดเจ้าถิ่น ฮึฮึ พอพวกมันจัดการเจ้า พวกมันขโมยเสื้อผ้าแล้วขายเจ้าให้ข้า ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าจะเป็นลูกน้องข้า เจ้าจะเป็นอิสระก็ต่อเมื่อเจ้าทำงานชดเชยเงินที่ข้าเสียไป”

ไอ้เวรนี่ก็ไม่ได้ดูเลวร้ายนัก… โอลิเวอร์ปิดปาก แล้วถามออกไป “ข้าต้องทำอะไร?”

“เราฝังศพ” ชายหัวล้านตอบด้วยน้ำเสียงรังเกียจ

ชายหัวล้านชื่อจอร์จพาโอลิเวอร์ไปที่ห้องเก็บศพตั้งแต่เช้าตรู่

“ศพไม่มีญาติกับเงินเก็บไว้ที่นี่ เรามีหน้าที่ฝังศพในสุสานที่ใหม่ ศาสนจักรกับศาลาว่าการจะจ่ายเงินเรา” ทันทีที่จอร์จเปิดประตู กลิ่นศพเหม็นเน่าก็ลอยออกมาปะทะจมูก ทำเอาโอลิเวอร์ที่ไม่เคยได้กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงขนาดนี้มาก่อนอ้วกแตกอ้วกแตน

มีสัปเหร่ออีกหลายคนคนอื่นๆ ในเสื้อผ้าขาดวิ่นในห้องเก็บศพ ทุกคนเป็นลูกน้องของจอร์จ

“เฮ้ย วันนี้มีเด็กใหม่มาสองสามคน” จอร์จพูดด้วยน้ำเสียงยินดีปรีดา แล้วเขาก็เดินพรวดๆ ไปที่ศพที่มาใหม่ ค้นหาข้าวของที่อาจมีค่าทั่วทั้งศพ ถ้าเสื้อผ้าของศพยังพอใช้ได้ เขาก็จะถอดออก

โอลิเวอร์เหงื่อแตก ตัวสั่นเทา รู้สึกราวกับว่าตกนรก

พอขโมยข้าวของศพแล้ว จอร์จก็หัวเราะออกมา ”เด็กๆ ไปทำงานกันเถอะ!”

โอลิเวอร์ยกศพใส่เกวียนที่ใหญ่พิเศษอย่างอิดออด ตอนเขาสัมผัสผิวหนังที่เย็นเฉียบ เขาเกือบจะกระโดดหนี เขารู้สึกว่ามือของเขาสกปรกมาก จนแทบจะอ้วกใส่ตัวเอง

สัปเหร่อนั่งด้วยกันตลอดทางตั้งแต่ห้องเก็บศพไปจนถึงสุสานแห่งใหม่ โอลิเวอร์ไม่มีโอกาสหนี ตาจอร์จหัวล้านยังบอกว่าเขามีเส้นสายทั้งในศาสนจักรและศาลาว่าการ ถ้าโอลิเวอร์กล้าหนี เขาก็จะเป็นฝ่ายถูกฝังในสุสานแห่งใหม่แทน

กลิ่นเหม็นของซากศพลอยคละคลุ้งทั่วสุสานใหม่ ทำให้คนในสลัมที่อยู่ใกล้ๆ มีกลิ่นติดตัวตลอดเวลา

“มีแต่พวกจนๆ เท่านั้นอยู่ที่นี่ บาทหลวงไม่เคยคิดจะล้างที่นี่” จอร์จบ่นและส่งให้โอลิเวอร์ขุดหลุม

บาทหลวงเป็นผู้สร้างสุสานใหม่แห่งนี้ จึงไม่น่าจะมีผีโผล่มาหลอกหลอน พวกเขาค่อนข้างมั่นใจ

โอลิเวอร์ถือพลั่วขุดหลุมราวกับเครื่องจักรที่ไร้ความรู้สึก ระหว่างที่ขุดไป ก็มีกระดูกหลายชิ้นที่ไม่รู้โผล่มาจากไหน ทำให้เขาต้องผงะถอยด้วยความตกใจ

“มีศพฝังตรงนี้แล้วเหรอวะ” จอร์จลูบหัวล้าน “ช่างมัน ฝังทับไปเลย” เขาพูดอย่างไม่แยแส

ศพถูกโยนลงมาไป แล้วก็ดินกลบทับ ไม่นานดินก็เต็มหลุมศพ

จอร์จเอาแผ่นไม้จารึกหลุมศพปักตรงกลางสุสาน ไม่มีสัญลักษณ์ หรือคำจารึก มีเพียงรูปไม้กางเขนหยาบๆ

“ชีวิตข้าจะจบลงแบบนี้เหรอ?” ท่ามกลางกลิ่นเหม็นเน่า โอลิเวอร์ก็ยังคิดอย่างมึนงงและสับสน

ณ คฤหาสน์หลังหนึ่งย่านชานเมือง ห้องโถงสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ อาหารเลิศรสส่งกลิ่นฟุ้งไปทั่ว

“เขาชื่ออะไร? อ๋อ วิเซนเต้ เอาขอสักตัวไหม? นี่เป็นบุหรี่ที่ดีที่สุดจากอาณาจักรบริแอนน์” ขุนนางหนุ่มรสนิยมสูง ผมดำ ตาฟ้า ดึงหน้าตึงใส่วิเซนเต้ ขณะถือบุหรี่สีเหลืองสองสามมวนในมือ

ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงเต็มไปด้วยการเหยียดหยาม

วิเซนเต้ที่กำลังหน้าแดงได้แต่ส่ายหน้า “ขออภัย ข้าไม่สูบ”

“โถ ลูกแหง่ ไม่แปลกที่เชอร์ลีย์จะชอบเจ้า” ขุนนางหนุ่มพูดจากระแทกกระทั้น

เชอร์ลีย์ที่อยู่ไม่ไกลจากวิเซนเต้เดินเข้ามาและเชิดหน้าขึ้น “ใช่ ข้าเกลียดผู้ชายที่กินเหล้า สูบบุหรี่ และไร้มารยาท”

แล้วนางก็ลากวิเซนเต้ไปที่โต๊ะอาหารใกล้ๆ และกระซิบเบาๆ “วิเซนเต้ อย่าถือสาเลยนะ ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรชวนเจ้ามาร่วมมื้อค่ำที่นี่เลย”

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเราแต่งงานกัน ข้าก็ต้องเจออยู่ดี” เมื่อนึกถึงความฝัน วิเซนเต้พูดออกมาอย่างภาคภูมิ “ข้าพร้อมรับทุกเรื่อง จริงอยู่ที่ข้าไม่ใช่ขุนนางที่มีอภิสิทธิ์มาตั้งแต่เด็ก แต่ข้าจะพยายามได้ดีกว่าพวกเขา และไม่ยอมให้ชีวิตในอนาคตของเจ้าเลวร้ายแน่นอน”

พ่อแม่ของเชอร์ลีย์จ้องมองดูทั้งสองด้วยสายตาเย็นชาไกลๆ

……………………………………………………………………………………..