ในตอนนี้บรรดาผู้คนของสันเขาทรราชต่างมองไปที่ร่างของหลิงตู้ฉิงที่ลอยอยู่เหนือเมืองของพวกเขาด้วยแววตาสิ้นหวัง
รัศมีแสงสีดำทมิฬที่ค่อย ๆ กินวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ มันทำให้พวกเขารู้สึกเศร้าใจอย่างสุดจะบรรยาย
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดที่แสงสีดำกลืนกินไปถึง สิ่งเหล่านั้นจะหายไปตลอดกาลราวกับไม่เคยมีพวกมันอยู่ในโลกนี้ และที่สำคัญความเร็วของแสงสีดำที่ค่อย ๆ ขยายวงกว้างขึ้นมันไม่ลดลงเลย มันมีแต่จะเพิ่มความเร็วมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ซึ่งถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไปเมืองสันเขาทรราชที่มีประวัติมายาวนานนับล้านปีคงได้ถูกลบหายออกไปจากโลกแน่นอน
บรรพบุรุษของสันเขาทรราชที่เห็นภาพเช่นนี้ก็ตกตะลึง และทำได้แต่ตะโกนสั่งขึ้นว่า “ห้ามใครก็ตามลงมือกับไอ้สิ่งนี้ ถอยออกห่างไปจากมันให้มากที่สุดทันที!”
ในตอนนี้บรรดาบรรพบุรุษของสันเขาทรราช ที่แต่เดิมเอาแต่เก็บตัวอยู่ในส่วนลึกสุดของสันเขาทรราชได้ปรากฏกายกันออกมาหมดแล้ว ซึ่งหลาย ๆ คนก็เป็นตัวตนที่อยู่มาตั้งแต่โบราณกาล พวกเขาต่างร้องตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงเดือดดาลทันที “ใครเป็นคนพาไอ้ปีศาจตนนี้มาที่เมืองของข้า!?”
พวกเขาคือเหล่าคนที่ทันเห็นยุคที่หลิงตู้ฉิงกำลังอยู่ในจุดสูงสุด ดังนั้นพวกเขาจึงรู้เป็นว่าอย่างดีว่า หลิงตู้ฉิง น่ากลัวขนาดไหน
เมื่อได้ยินเหล่าบรรพบุรุษตะโกนถามคำถามนี้ เหล่าผู้คนของสันเขาทรราชต่างก็พากันชี้นิ้วไปที่ซวนหยวน
ในทันทีที่เหล่าบรรพบุรุษหันไปและเห็นว่าต้นเหตุของเรื่องนี้คือ ซวนหยวน พวกเขาก็ตะโกนด้วยสีหน้าเคืองแค้นทันที “ไอ้เฒ่าซวนหยวน ไอ้สารเลว! เจ้าพาไอ้ปีศาจตนนี้มาที่สันเขาทรราชของพวกข้าทำไม? พวกข้าไปทำอะไรให้สำนักเต๋าสวรรค์ของเจ้าขุ่นเคือง เจ้าถึงต้องการมาทำลายสันเขาทรราชของพวกข้าแบบนี้!? ทุกคนจงฟังข้า เก็บสมบัติทุกอย่างที่สำคัญและถอนตัวออกนอกเขตเมืองทันที!”
ในเมื่อหลิงตู้ฉิงปรากฏกายขึ้นที่สันเขาทรราชและแสดงท่าทีอาฆาตแบบนี้ พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าวันนี้สันเขาทรราชของพวกเขาคงจบเห่แล้วแน่นอน
ซวนหยวนรีบตะโกนตอบกลับทันที “ไอ้แก่เทียนซ่ง ข้าไม่ได้ตั้งใจพาเขามาที่นี่สักหน่อย! มันเป็นเพราะลูกหลานของเจ้าเองนั่นแหละที่มันโง่เง่าพาลูกชายของเขามาที่เมืองของเจ้า แถมยังขโมยพลังสายเลือดของลูกชายเขาไปจนหมด จนตอนนี้ลูกชายของเขายังไม่ได้สติเลยด้วยซ้ำ เจ้าจะมาโทษข้าว่าข้าพาเขามาถล่มสันเขาทรราชของเจ้าได้ยังไง!?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เทียนซ่งถึงกับขวัญผวามากขึ้นไปอีก เขารีบถามกลับในทันทีด้วยสีหน้างุนงง “ลูกชาย? ลูกชายของเขาถูกคนของข้าขโมยพลังสายเลือดไปได้ยังไง? นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน เจ้าเล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้!”
ซวนหยวนเหลือบมองไปที่เทียนเฮงที่อยู่ห่างออกไป และพูดว่า “ทำไมเจ้าไม่ถามคนของเจ้าเองเล่า! แต่ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อนว่าถ้าเจ้าจะทำอะไรก็จงรีบทำไว ๆ ไม่อย่างนั้นเมืองของเจ้าทั้งหมดได้เหลือแต่ซากแน่ ๆ!”
แม้แต่ซวนหยวนที่ไม่ได้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับหลิงตู้ฉิง ยังรู้สึกหวาดกลัวจนเหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง
ส่วนทางด้านของเย่ชิงเฉิง และคนอื่น ๆ ที่เห็นเหตุการณ์กลายเป็นแบบนี้พวกเขาก็ได้แต่รู้สึกหนาวไปจนถึงขั้วหัวใจ และเข้าใจแล้วว่าธาตุของสามีหรือเจ้านายของพวกเขานั้นน่ากลัวขนาดนี้นี่เอง
มันไม่แปลกใจเลยที่ทำไมแต่ก่อน หลิงตู้ฉิงถึงไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา ที่แท้ก็เพราะว่าเขามีพลังอำนาจเพียงพอที่จะไม่เห็นใครอยู่ในสายตาได้นั่นเอง!
ในเวลาเดียวกัน เทียนซ่งก็รีบบินมาหาเทียนเฮง และเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าแข็งกร้าวว่า “บอกข้ามาเร็วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมไอ้เฒ่าซวนหยวนมันถึงบอกว่าพวกเจ้าเป็นคนไปล่วงเกินไอ้ปีศาจตนนี้ก่อน?”
เทียนเฮงเผยสีหน้าซับซ้อน จากนั้นเขามองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นและตอบกลับว่า “ท่านบรรพบุรุษ เมื่อไม่นานมานี้ครอบครัวของข้าได้พบกับทายาทของพวกเราผู้หนึ่งที่หายสาปสูญไปเมื่อร้อยกว่าปีก่อนและได้นำตัวเขากลับมาที่สันเขาทรราชของพวกเรา ทายาทของข้าผู้นี้มีพลังสายเลือดที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากแต่พรสวรรค์ในด้านการบ่มเพาะของเขากลับไม่ดีมากนัก ดังนั้นเทียนชูจึงวางแผนอย่างลับ ๆ ขโมยพลังสายเลือดของทายาทข้าไปให้กับเทียนเก๋อ หลังจากนั้น ชายที่กำลังทำลายเมืองของเราก็ปรากฏตัวขึ้นและบอกกับพวกเราว่าเขาเป็นพ่อบุญธรรมที่ชุบเลี้ยงทายาทของข้ามาโดยตลอดก่อนหน้านี้ และเมื่อเขาได้รู้เรื่องราวว่าบุตรบุญธรรมของเขาถูกขโมยพลังสายเลือดไป เขาจึงเกิดคลั่งขึ้นมา…”
เทียนซ่งยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกโมโห เมื่อเขาฟังจบเขาก็กู่ร้องด้วยความเดือดดาลทันที “ไอ้สารเลวเทียนชูมันไปไหน? แล้วเทียนเก๋อและผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่น ๆ ทั้งหมดอยู่ที่ไหนกัน? ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”
บังอาจสร้างปัญหาถึงขนาดนี้ แต่กลับไม่กล้าโผล่หน้ามาเผชิญกับปัญหางั้นเหรอ?
ไอ้พวกคนรุ่นหลังไม่รักดีพวกนี้มันรู้บ้างไหมว่าพวกมันได้ไปล่วงเกินตัวตนที่สันเขาทรราชไม่อาจล่วงเกินได้!
ในตอนนี้เทียนซ่งอยากจะบี้เหล่าลูกหลานของเขาที่สร้างปัญหานี้ให้ตายคามือในทันที
เทียนหลีที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเสริมขึ้นว่า “ท่านบรรพบุรุษตอนนี้ เทียนชูได้ตายไปแล้วโดยพ่อบุญธรรมของยู่ชาน ส่วนเทียนเก๋อและผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่น ๆ ในตอนนี้พวกเขายังคงอยู่ในห้องเส้นชีพจรตระกูล!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เทียนซ่งก็อึ้งไปอยู่พักหนึ่ง แต่เขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาสนใจเรื่องการตายของเทียนชู เขารีบพุ่งตรงไปยังห้องเส้นชีพจรตระกูลทันที
ในตอนนี้ห้วงความคิดเดียวของเขาที่มีก็คือเขาต้องเอาพลังสายเลือดที่ถูกขโมยไปคืนไปให้กับลูกชายของปีศาจตนนั้นให้เร็วที่สุด
หลังจากที่เทียนซ่งเข้าไปถึงในห้องเส้นชีพจรตระกูล มันก็เป็นเวลาเดียวกับที่เทียนเก๋อใกล้จะดูดซับพลังสายเลือดของหลิงยู่ชานจนเกือบเสร็จ ซึ่งแม้ว่ามันจะยังไม่เสร็จดีแต่มันก็ทำให้สายเลือดของเทียนเก๋อแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมนับพันเท่า!
เมื่อสัมผัสได้เช่นนี้ เทียนซ่งก็เข้าใจได้ในทันทีว่า ทำไมเทียนชูและเทียนเก๋อถึงกล้าวางแผนอุกอาจขโมยสายเลือดของคนตระกูลเดียวกันแบบนี้ หากปัญหาเช่นวันนี้มันไม่เกิด อีกไม่นานสันเขาทรราชของพวกเขาคงจะมีตัวตนที่ไร้เทียมทานเกิดขึ้นในตระกูลแน่นอน
แต่น่าเสียดาย…
ทันทีที่เทียนชิวและเทียนเฟิงเห็นการมาถึงของเทียนซ่ง พวกเขาก็ถามขึ้นด้วยสีหน้าตกตะลึงทันที “ท่านบรรพบุรุษ ท่านมาที่นี่ได้ยังไง?”
เทียนซ่งเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้ามาดูความประเสริฐของสิ่งที่พวกเจ้าทำลงไปยังไงล่ะ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เทียนชิวและเทียนเฟิงต่างก็รู้ตัวแล้วว่าเรื่องการขโมยพลังสายเลือดของคนในตระกูลนั้นกลายเป็นเรื่องใหญ่แล้ว
ทางด้านของเทียนซ่ง เมื่อเขาพูดจบประโยคเขาก็ไม่ใส่ใจอะไรอีก เขาพุ่งตัวไปคว้าที่คอเสื้อของเทียนเก๋อที่ยังไม่เสร็จจากการดูดซับพลังสายเลือดของหลิงยู่ชานทั้งหมดขึ้นมาจากบัลลังก์
“ท่านบรรพบุรุษ ไหน ๆ เรื่องราวมันก็เลยเถิดมาจนขนาดนี้แล้ว ท่านปล่อยให้เก๋อเอ๋อ ดูดซับให้เสร็จก่อนเถอะ!” เทียนชิว รีบเอ่ยขึ้นทันที
เทียนซ่งไม่ตอบอะไรออกไป เขารีบพาตัวเทียนเก๋อ ออกจากห้องเส้นชีพจรตระกูลและบินขึ้นไปฟ้าและตะโกนไปหาหลิงตู้ฉิง “โปรดเมตตาด้วย! พวกเรายินดีคืนพลังสายเลือดให้กับลูกชายของท่านและยินยอมที่จะให้ท่านลงทัณฑ์ประหารเหล่าคนที่เกี่ยวข้อง พวกเราวิงวอนขอท่านแค่เพียงอย่างเดียวโปรดอย่าได้สังหารพวกเราทั้งหมดเลย หากท่านละเว้นพวกเราสักครั้ง พวกเราจะจดจำพระคุณนี้ไปจนวันตาย!”
พลังสายเลือดของหลิงยู่ชานที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของเทียนเก๋อในตอนนี้ มันทำให้หลิงตู้ฉิงที่อยู่ในอาการเหม่อลอยเริ่มได้สติขึ้นมาบ้าง
หลิงตู้ฉิง เมื่อเห็นว่าคนที่เอาพลังสายเลือดของลูกชายเขาไปคือ เทียนเก๋อ เขาก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นเขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ที่แท้ก็เป็นเจ้า!”
เมื่อหลิงตู้ฉิงพูดจบ แสงสีดำที่ขยายออกไปเรื่อย ๆ จู่ ๆ ก็หยุดลง
อันที่จริงก่อนหน้านี้ หลิงตู้ฉิงอยู่ในสภาวะเหม่อลอยมาโดยตลอด ซึ่งแสงรัศมีสีดำที่แผ่ขยายออกไปนั้นมันคือเจตจำนงแห่งการสังหารของเขาเองล้วน ๆ ที่เขาไม่ได้ควบคุมอะไรมันเลย ในตอนนี้เมื่อเขาได้สติ เขาจึงควบคุมเจตจำนงแห่งการสังหารของเขาเอาไว้ชั่วคราว แต่ในความเป็นจริง ตัวตนที่ได้สติของเขานั้นน่ากลัวกว่าเจตจำนงแห่งการสังหารที่เขาแผ่ออกไปเสียอีก
เทียนเก๋อที่เพิ่งตื่นขึ้นมาและยังไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไร เมื่อเขาเห็นหลิงตู้ฉิงและสภาพเมืองของเขาที่เละเทะ เขาก็ตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ “เจ้าเป็นใครที่ได้กล้าบังอาจมาทำลายเมืองของข้าแบบนี้!”
เทียนซ่งรีบตบไปที่ใบหน้าของเทียนเก๋อจนเลือดกบปากทันที และคิดในใจว่า “เมื่อครู่ข้ายังต้องอ้อวอนขอชีวิตอยู่เลย แต่ตอนนี้เจ้ากลับปากดีกล้ายั่วยุเขาอีกงั้นเหรอ!”
ทางด้านของเทียนชิวและเทียนเฟิง ในตอนนี้พวกเขาก็บินขึ้นมาบนท้องฟ้าแล้วเช่นกัน แต่เมื่อพวกเขาเห็นสภาพเมืองที่เละเทะ พวกเขาก้ได้แต่อ้าปากค้างด้วยอาการตกตะลึง
นี่มันเกิดอะไรขึ้นในระหว่างที่พวกเขาอยู่ในห้องเส้นชีพจรตระกูลกัน?
หลิงตู้ฉิงจ้องไปที่เทียนเฟิงด้วยสายตาเย็นชาและพูดว่า “ข้าจำเจ้าได้ ล่าสุดข้าเจอกับเศษเสี้ยวจิตสำนึกของเจ้าที่เมืองหยูหลัน ซึ่งเจ้าทำตัวขวางหูขวางตาข้ามาก ๆ เอาล่ะจงตาย ๆ ไปซะ ข้ารำคาญลูกตา!”
หลิงตู้ฉิงไม่ได้ออกท่าทางใด ๆ ทั้งนั้น แค่เพียงการเหลือบมองวิญญาณของเทียนเฟิงก็ถึงกับแตกสลาย
เทียนชิว เมื่อเห็นภาพเช่นนี้เขาก็รู้สึกกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อและมองไปที่เทียนซ่ง ด้วยความหวังว่าเทียนซ่งจะลงมือทำอะไรสักอย่าง
แต่แล้วในทางกลับกัน เทียนซ่งกลับทำทีเป็นว่าการฆ่านี้มันถูกต้อง เขาพูดขึ้นด้วยท่าทีเห็นด้วย “ไอ้เดรัจฉานพรรค์นี้มันสมควรที่จะตายไปตั้งนานแล้ว ว่าแต่พี่ชายตอนนี้ท่านพอจะใจเย็นลงได้บ้างรึยัง? ให้ข้าคืนพลังสายเลือดของลูกท่านให้ลูกท่านเลยไหม?”