GGS:บทที่ 993 นี่มัน…

ซูจิ้งได้เข้าไปจัดการขยะห้วงเวลากองโลหะ เศษโลหะเหล่านี้มีชิ้นส่วนที่มีรูปร่างศรีษะและแขน ซูจิ้งได้ดึงพวกมันขึ้นมาด้วยกระแสจิตมาวางไว้ที่ด้านนอกของกอง พวกมันทั้งมีสนิมที่เกรอะกรังและทรุดโทรมราวกับว่าพร้อมจะสลายหายไปหากไปแตะพวกมัน
ซูจิ้งได้สำรวจอย่างถี่ถ้วนในขยะกองโลหะส่วนที่เหลือ เขาพบชิ้นส่วนบางอย่างที่คล้ายเกาะหุ้มของอะไรบางอย่าง
เมื่อเขาลองตรวจสอบดูแล้วแต่ก็ไม่พบอะไรที่ดูแปลกประหลาดแต่อย่างใด พวกมันดูเหมือนโลหะทั่วไป เห็นดังนั้นซูจิ้งจึงได้ให้เสี่ยวไป๋ลองซ่อมแซมมันดู
ผลก็คือเสี่ยวไป๋สามารถซ่อมแซมมันได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นี่หมายความว่าชิ้นส่วนของแขนและหัวนี่ไม่น่าจะอยู่ที่นี่แต่อย่างใด
ชิ้นส่วนที่เหลือน่าจะยังคงอยู่ในห้วงเวลาฯที่พวกมันจากมาไม่ใช่เป็นเพราะความสามารถของเสี่ยวไป๋

คราวนี้ซูจิ้งจึงได้ลองให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมชิ้นส่วนหัวและแขนดู ชิ้นส่วนนี้มีสภาพไม่ต่างกับเศษเกราะที่เขาเจอก่อนหน้านี้
ไม่นานหลังจากที่เสี่ยวไป๋ซ่อมแซม ชิ้นส่วนและแขนค่อยๆคืนสภาพความเงางามของตัวเอง ร่องรอยแตกหักหายไป มันดูแวววาวและเปล่งประกาย
ซูจิ้งได้ลองตรวจสอบดูอีกครั้ง คราวนี้เขาได้ลองนำมีดไททาเนียมอัลลอยด์ของเขามากรีดดูก็ต้องพบกับสิ่งที่น่าประหลาดใจ นั่นก็เพราะว่ามีดของเขาไม่สามารถทำได้แม้แต่ทิ้งร่องรอยไว้เลยแม้แต่น้อย
ต้องรู้ก่อนว่ามีดของเขาเล่มนี้คือมีดที่สร้างมาจากสุดยอดโลหะไททาเนียมอัลลอยที่แกร่งที่สุดในโลก มันนั้นสามารถตัดเหล็กได้ง่ายอย่างกับตัดดินโคลน แต่เมื่อมีดนี้เจอกับโลหะชิ้นนี้ อย่าว่าจะตัดเลย รอยเล็กๆก็ยังไม่มีเลยสักนิด

คราวนี้ซูจิ้งได้ลองถอยห่างไปไกลกว่าสามสิบเมตรก่อนที่จะเขวี้ยงมีดที่เสริมความเร็วด้วยกระแสจิตของเขาที่มีความเร็วระดับเดียวกับโซนิคบูมจนเกิดเสียงคลิ๊กดังลั่นในทันทีที่เร่งความเร็ว
แต่ผลสุดท้ายก็คือหลังการปะทะ มีดสุดยอดไททาเนียมอัลลอยด์ของเขากลับโค้งงอและทิ้งเพียงรอยบุบที่เล็กมากๆไว้เท่านั้น มันทิ้งเอาไว้เพียงเท่านั้นจริงๆ

“แข็งโคตร นี่มันโลหะอะไรกันเนี่ย หรือว่าเป็นโลหะผสมเหมือนกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยท่าทางตื่นเต้นเล็กน้อย เหตุผลก็เพราะว่านี่คือโลหะที่แข็งที่สุดเท่าที่เขานั้นเคยพบมาจากขยะฯทั้งหมด
นี่แสดงให้เห็นว่าห้วงเวลาฯที่ขยะฯพวกนี้จากมาจะต้องมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าโลกนี้มากอย่างแน่นนอน อย่างน้อยๆก็คงมากกว่าโลกนี้หนึ่งเท่าตัว
ซูจิ้งคิดได้ดังนั้นจึงได้วางแผนที่จะนำโลหะบางส่วนไปยังสถาบันวิจัยโลหะและวัสดุเทียนซือไปศึกษา
ซูจิ้งได้วางชิ้นส่วนศรีษะและแขนเอาไว้ข้างๆก่อนที่จะรื้อค้นขยะฯกองโลหะต่ออย่างบ้าคลั่ง ตัวเขาในตอนนี้ได้มุ่งเน้นในการคัดแยกขยะฯโลหะที่น่าจะเป็นโลหะชนิดเดียวกับชิ้นส่วนนี้เป็นพิเศษ โดยหวังว่าเขาอาจจะซ่อมแซมชิ้นส่วนทั้งหมดนี้จนกลายเป็นเครื่องจักรพิเศษอะไรบางอย่าง
ไม่นึกว่าหลังจากลองดูทั้งหมดแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นชิ้นส่วนที่ได้รับความเสียหายเท่านั้น อย่าว่าแต่เครื่องจักรที่มีชิ้นส่วนครบเลย แม้แต่ชิ้นส่วนที่ไม่มีร่องรอยความเสียหายเขาก็แทบจะหาไม่เจอด้วยซ้ำ

หลังจากใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงในการค้นขยะฯกองโลหะจนในที่สุดเขาก็ได้พบชิ้นส่วนที่สมบูรณ์สักที ชิ้นส่วนนี้มีลักษณ์ค่อนข้างเกือบจะเป็นลูกบาศก์ ขนาดโดยคร่าวๆแล้วเขาคิดว่าน่าจะอยู่ประมาณหนึ่งลูกบาศก์เมตร
ชิ้นส่วนนี้เท่าที่ดูมันนั้นยังขาดชิ้นส่วนอยู่อีกหลายชิ้นเหมือนกันทำให้ตอนนี้มันไม่สามารถทำงานได้ แถมจากสภาพของมันเองก็ไม่ต่างจากชิ้นส่วนอื่นที่เต็มไปด้วยสนิมและทรุดโทรม
หากมองเพียงแวบแรกแถบจะไม่ต่างอะไรจากก้อนสนิมก้อนใหญ่ๆเท่านั้น นอกจากนี้เครื่องจักรนี้ค่อนข้างจะมีร่องรอยเสียหายอย่างนักจนทำให้ซูจิ้งเองก็ไม่แน่ใจว่าหลังจากซ่อมแล้วยังใช้ได้อยู่รึเปล่า

ซูจิ้งไม่ได้มีทางเลือกอื่นใดในตอนนี้ ทำได้เพียงให้เสี่ยวไป๋มาลองซ่อมแซมเครื่องนี้ดูเท่านั้น แต่นี่เองก็ทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อยเลยเพราะดูเหมือนว่าการซ่อมแซมในครั้งนี้จะเสร็จสมบูรณ์ดี
ในระหว่างการซ่อมแซมมีชิ้นส่วนมากมายที่ล่องลอยมาจากขยะฯกองโลหะที่เขารื้อทิ้งรื้อขว้างไปก่อนหน้านี้ พวกมันลอยเข้ามาประกอบจนดูแล้วทำให้ซูจิ้งค่อนข้างจะมั่นใจว่าสมบูรณ์ดี สนิมที่เกาะในทุกชิ้นส่วนได้จางหายไป และชิ้นส่วนที่ได้รับความเสียหายร้ายแรงก่อนหน้านี้ก็ประสานกันอย่างสมบูรณ์

ในที่สุดแล้วมันก็ได้กลายเป็นเครื่องจักรที่ดีใหม่เอี่ยมอ่องชิ้นหนึ่งราวกับเพิ่งจะถูกสร้างขึ้นมา
“เยี่ยม….ว่าแต่มันคืออะไรล่ะ” ซูจิ้งได้ลองทำการสำรวจเจ้าเครื่องจักรชิ้นนี้อยู่นานแต่ก็ยังไม่เห็นร่องรอยที่จะพอบอกได้ว่ามันคืออะไรแม้แต่น้อย เท่าที่เขารู้เพียงตอนนี้ก็คือมันดูซับซ้อนพิกล
เขาได้ลองใช้กระแสจิตเข้าไปสำรวจเครื่องจักรนี้ดูเช่นเดียวกัน และผลก็คือเข้ารู้เพียงว่ามันซับซ้อน เขานั้นไม่ได้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีมากสักเท่าไหร่นัก แน่นอนว่าเพียงแค่ใช้กระแสจิตตรวจสอบก็ไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย ที่สำคัญที่สุดคือ เทคโนโลยีที่ใช้สร้างเจ้านี่เป็นของห้วงเวลาฯอื่น

“ฉันว่าต่อให้ศึกษาเองแบบนี้ ให้ตายยังไงก็คงจะไม่รู้เรื่องแหะ ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือฉันไม่รู้ว่าต้องใช้ความรู้แขนงไหนในการศึกษาเจ้านี่ อืมมม….. คงต้องส่งไปสถาบันวิจัยโลหะและวัสดุจริงๆสินะ” คิดได้ดังนี้น ซูจิ้งก็ได้ขนเครื่องจักรนี้พร้อมทั้งชิ้นส่วนโลหะจำนวนหนึ่งขึ้นรถบรรทุก ก่อนที่เขาจะขับรถไปยังสถาบันวิจัยโลหะและวัสดุเทียนซือ
ที่นั่น เจียงจือ ติงบิน เทาจง และนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆกำลังจะเริ่มทำงานประจำกันอยู่ เมื่อพวกเขาเห็นซูจิ้งได้ขนวัตถุปริศนามาก็ได้รีบมามะรุมมะตุ้มกันในทันที
และในทันทีที่พวกเขาลองทดสอบขั้นต้นในวัตถุปริศนาที่ซูจิ้งนำมาต่างก็ตกใจกันไปทั่ว นั่นก็เพราะวัตถุนี้ไม่ว่าจะเป็นความแข็ง ความทนทาน ความทนความร้อน ความทนต่อการการกัดกร่อน และด้านอื่นๆนั้น ดูเหมือนว่าเจ้าโลหะปริศนาชิ้นนี้อยู่ในขั้นสูงสุดในทุกด้าน มันสูงช้ำยิ่งกว่าวัตถุใดๆในโลกที่เคยบันทึกเอาไว้

“หัวหน้า หัวหน้าไปเอาโลหะชิ้นนี้มาจากไหนกันครับ ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีโลหะที่แข็งแกร่งขนาดนี้”
เจียงจือและนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆต่างก็ตั้งคำถามนี้ออกมาทั้งในใจและนอกใจในระหว่างที่ตกตะลึงกับผลลัพท์ที่ได้ จนทำให้พวกเขานั้นอดไม่ได้ที่จะคิดว่าซูจิ้งไปขโมยมาจากฐานวิจัยลับสุดยอดบางแห่ง
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกน่า แค่ศึกษาพวกมันก็พอแล้ว อ้อ อีกเรื่อง ช่วยฉันดูหน่อยสิว่าเจ้านั่นคืออะไรกันแน่” ซูจิ้งพูดพลางชี้ไปยังวัตถุทรงลูกบาศก์ที่ดูราวกับเป็นเครื่องจักรชิ้นหนึ่ง ของอยากรู้เรื่องเจ้าลูกบาศก์นี่ยิ่งกว่าการสร้างโลหะพวกนี้เสียอีก

“….มันดูซับซ้อนนะ” เจียงจือพูดออกมา
“เอ่ออออ พวกเราไม่ถนัดเรื่องเครื่องยนต์กลไกสักเท่าไหร่น่ะครับ” ติงบินแม้จะรู้สึกเสียดายแต่ก็ต้องพูดออกมา
“ดูเหมือนจะเป็นเครื่องยนต์ไม่ก็ตัวขับเคลื่อนนะครับ” เทาจงที่สำรวจได้เล็กน้อยก็ได้พูดออกมา
หากพูดถึงเครื่องยนต์แล้วก็ต้องพูดถึงตัวแกนพลังงาน นอกจากนั้นยังต้องพูดถึงชิ้นส่วนอย่างอื่นอีกมากมาย แต่สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องนี้แล้ว ยังไงซะเครื่องยนต์ก็เป็นเพียงอุปกรณ์สร้างพลังงานอย่างหนึ่งเท่านั้น
“ในเมื่อที่นี่คือสถาบันวิจัยโลหะและวัสดุก็น่าจะพอมีนักวิจัยที่รู้เรื่องนี้อยู่นา ไปเรียกคนที่รู้เรื่องนี้มาศึกษามันดูก็แล้วกัน” ซูจิ้งได้พูดกับเจียงจือขึ้นมา
และนี่เองทำให้เขาไปเกณฑ์คนที่รู้เรื่องแนวนี้ที่อยู่ในสถาบันมาช่วยกันศึกษาร่วมกับเทาจง

หลังจากที่นักวิจัยที่เกณฑ์มาเห็นลูกบาศก์นี้เพียงแวบแรกก็ทำได้เพียงแต่ส่ายศรีษะไปมาแล้วเผลอบอกออกมาว่าพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้หากไม่ชำแหล่ะมันดู ตอนแรกที่เผลอพูดออกมานั้นพวกเขาต่างก็นึกว่าหัวจะขาดกันหมดแล้ว
แต่กลายเป็นว่าเมื่อได้ยินดังนั้นซูจิ้งก็ได้อนุญาตอย่างง่ายดาย พวกเขาจึงได้ลงมือรื้อเครื่องจักรที่อยู่ตรงหน้าอย่างระมัดระวัง ทีละเล็กทีละน้อย
“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเครื่องยนต์จริงๆนะ”
“ก็จริง แต่เจ้านี่ไม่มีลูกสูบอะไรพวกนั้นเลยนะ และเท่าที่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีทางเข้าเชื้อเพลิงซะด้วย เท่าที่ดู เจ้านี่น่าจะใช้พลังงานจากแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นแหล่งพลังงานของเครื่องยนต์ตัวนี้ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจนะว่าเจ้าเครื่องนี้ใช้วิธีไหนในการสร้างแหล่งพลังงานในการขับเคลื่อนกันแน่”
“….ที่แน่ๆ เจ้าเครื่องนี้มีการใช้เทคโนโลยีที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน มันดูมีขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยากซับซ้อน”

เทาจง เจียงจือ และนักวิจัยคนอื่นๆในตอนนี้ต่างก็ให้ความสนใจเครื่องจักรปริศนานี้กันไปทุกคน แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้พวกเขาเข้าใจเจ้าเครื่องนี้มากยิ่งขึ้นแต่อย่างใด
มีเพียงเทาจงเท่านั้นที่ตอนนี้คิดต่างกว่าใคร เขาได้ลองคิดหาวิธีเปิดเครื่องนี้ดูโดยยังใช้ความคิดตั้งต้นเดิมของเขาที่ว่าเจ้าเครื่องนี้น่าจะใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน
ถ้าเป็นอย่างน้ำหากใช้สนามไฟฟ้าก็ควรที่จะส่งผลอะไรกับเจ้าเครื่องนี้ได้บ้าง
แต่แนวคิดนี้เองก็ถือได้ว่ามีความเสี่ยงสูงเหมือนกัน ดีไม่ดีอาจจะเกิดระเบิดเลยก็ได้
เมื่อซูจิ้งได้ยินดังนั้นเขาก็ทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนที่จะตัดสินใจให้ลองดู เพราะไม่ว่าจะยังไงแล้วต่อให้ระเบิดจริงๆเขาก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วเพราะยังมีเสี่ยวไป๋อยู่
เมื่อได้ยินหัวหน้าของตัวเองว่าอย่างนั้นแล้ว ทุกคนจึงค่อยๆรีบประกอบเครื่องจักรปริศนากลับสู่สภาพเดิมอย่างบรรจง หลังจากนั้นจึงได้จ่ายไฟเข้าไปเพื่อทดสอบ
ถึงแม้พวกเขาจะยังไม่รู้ว่าหลักการของมันคืออะไรแต่พวกเขาเองก็มีเครื่องมือที่จะสร้างสนามพลังไฟฟ้าไว้อยู่แล้ว จนสุดท้ายแล้วผลที่ออกมาก็คือเครื่องนี้เริ่มทำงาน กรงล้อที่อู่ข้างนอกเริ่มหมุนด้วยความเร็วช้าๆ
“มันเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้กำลังไฟฟ้าอย่างไม่ต้องสงสัย” เทาจงพูดออกมา
“แต่มันไม่หมุนช้าไปหน่อยเหรอนั่น ดูๆไปแล้วก็ยังไม่รู้ว่ามันใช้ทำอะไรอยู่ดี” เจียงจือพูดออกมา
“กับเครื่องยนต์ที่ใหญ่ขนาดนี้แต่มันกลับทำงานได้ด้วยสนามไฟฟ้าที่มีกำลังไฟฟ้าแค่นี้ ถึงแม้ส่วนประกอบภายในของมันก็ซับซ้อนแต่เจ้านี่ก็ถือได้ว่าสุดยอดไปเลย” ติงบินพูดออกมาในขณะที่ตกตะลึงกับสมรรถนะเครื่องยนต์ปริศนาที่อยู่ตรงหน้า

“เป็นไปได้ว่ากำลังไฟของมันอาจจะผิดพลาดก็ได้นะ” เมื่อเทาจงพูดแบบนั้นออกมา ซูจิ้งที่ได้ยินดังนั้นก็ได้สั่งเพิ่มกำลังไฟในทันที
ตอนนี้กำลังไฟฟ้าที่ส่งเข้าไปในเครื่องอยู่ที่ 220 โวลต์ เมื่อได้ยินคำสั่งของซูจิ้ง นักวิทยาศาสตร์จึงได้ค่อยๆเพิ่มกำลังไฟเข้าไปอย่างช้าๆ
ผลก็คือ ฟันเฟืองที่อยู่ข้างนอกได้หมุนด้วยความเร็วที่มากขึ้นอย่างน่าตกใจ จนเมื่อพวกเขาเพิ่มกำลังไฟฟ้าไปจนอยู่ที่ 380 โวลต์ การหมุนของฟันเฟืองนี้หมุนเร็วมากจนน่ากลัว
แต่ที่ทำให้พวกเขานั้นต้องตกตะลึงมากที่สุดนั่นก็คือความเสถียรและความทนทานของเครื่องยนต์ปริศนานี้
ด้วยความเร็วของฟันเฟืองที่หมุนนี้พวกเขาสามารถบอกได้เลยว่าหากเป็นเครื่องยนต์ธรรมดาแล้ว พวกมันต้องระเบิดซ้ำไปมาแล้วไม่ต่ำกว่าสามรอบ
แต่ตอนนี้ไม่เพียงเจ้าเครื่องนี้จะไม่มีอาการอะไรเลยแล้ว เสียของมันยังเงียบมากจนไม่คิดว่าเครื่องยนต์ทำงานอยู่เลยแม้แต่น้อย

หลังจากที่พวกเขาคิดว่ากำลังไฟที่เหมาะสมกับการใช้งานเครื่องยนต์นี้ควรจะอยู่ที่ 380 โวลต์ พวกเขาก็ยังคงดำเนินการทดลองเพิ่มลักษณะการจ่ายไฟที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
และนั่นเองก็ทำให้พวกเขาต้องยิ่งตกตะลึงมากกว่าเดิม จนไม่แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น