เมื่อเห็นเจ๋อหลิวกำลังจะทำลายแกนชีวิตของตน ร่องรอยของความกังวลก็ปรากฏบนใบหน้าของซิวทันที แม้เจ๋อหลิวจะทำสิ่งชั่วร้ายไม่น่าให้อภัยมากมาย ในฐานะน้องชาย ซิวก็ไม่อาจทนมองเห็นพี่ของตนตายไปต่อหน้าได้
“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะเทียบซิวไม่ได้ ที่แท้เจ้าก็เป็นอสูรที่รักตัวกลัวตายนี่เอง !”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยน้ำเสียงยั่วยุทันที นางและซิวมีการเชื่อมโยงทางจิตใจต่อกันและนางเข้าใจความคิดของซิวในตอนนี้ได้ทันที รวมถึงส่งที่ซิวคิดจะทำต่อไป
แม้เป็นการประจันหน้าเพียงสั้น ๆ นางก็เข้าใจลักษณะนิสัยของเจ๋อหลิวพอสมควรแล้ว หากต้องการกำจัดความคิดของการปลิดชีวิตตนเอง นางเชื่อว่าจะต้องใช้คำพูดคำจาที่รุนแรงเช่นนี้เท่านั้น
“เหอะ ! ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้แข็งแกร่งมากเท่าซิวและไม่ได้มีพรสวรรค์เหมือนกับมัน ทว่าข้าก็มิใช่ผู้ที่รักตัวกลัวตาย !”
แน่นอนว่าเมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ เจ๋อหลิวก็ชะงักไปเล็กน้อยและมือที่ขยับก่อนหน้านี้ก็หยุดชะงักเป็นการชั่วคราว
“หากมิใช่ผู้ที่รักตัวกลัวตาย เหตุใดจึงเลือกใช้ความตายเพื่อหนีความรับผิดชอบเช่นนี้ล่ะ ? ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจ้าสร้างปัญหามากมายและทำให้เผ่าอสูรตกอยู่ในสถานการณ์เช่นปัจจุบัน คิดว่าเมื่อเจ้าตายไปแล้วเผ่าอสูรและพ่อแม่ที่ล่วงลับของเจ้าจะให้อภัยเจ้างั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงเจือดุดัน สำหรับการใช้วิธีการเช่นนี้ในการหนีปัญหา กล่าวได้เลยว่าเจ๋อหลิวโง่เขลาโดยแท้
นางทราบดีว่าสิ่งที่ซิวกล่าวก่อนหน้านี้ทำให้มันเกิดความคิดผุดขึ้นในใจ เจ๋อหลิวตระหนักถึงความผิดที่เคยกระทำลงไปแล้วทว่าไม่ต้องการยอมรับมัน
เพราะเหตุนั้นมันจึงเลือกที่จะจบทุกอย่างที่นี่ด้วยตัวเอง มันไม่รู้เลยว่ามันจะสู้หน้าซิวและเผ่าอสูรที่ตนปกครองอย่างล้มเหลวจนมาถึงปัจจุบันได้อย่างไร
“เหลวไหล ใครกันที่บอกว่าข้าหลบเลี่ยงความรับผิดชอบ ! ข้าเพียงคิดว่าในเมื่อเผ่าอสูรมีซิวกลับมาแล้ว นั่นก็ถือว่าเพียงพอ หากให้ข้าอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ !”
สีหน้าของเจ๋อหลิวในตอนนี้ถอดสีเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าฉินอวี้โม่กล่าวถูกต้องทุกประการ อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่ามันไม่มีทางยอมรับความจริงและกำลังลังเลอยู่ว่าควรจะเก็บหรือทำลายแกนชีวิตของตนดี
“หากเจ้าตระหนักถึงความผิดพลาดที่ทำลงไปจริงก็ควรคิดหาทางชดเชยสำหรับความผิดพลาดทั้งหมดที่เคยทำลงไป มีเพียงพวกขี้แพ้เท่านั้นที่คิดว่าการตายจะช่วยแก้ไขอะไรได้ !”
ซิวกล่าวขึ้นเบา ๆ ในตอนนี้จิตสังหารที่มันมีต่อเจ๋อหลิวสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว เจ๋อหลิวเป็นเพียงผู้ที่น่าเห็นใจซึ่งหลงไปในทางที่ผิด อย่างน้อยที่สุดมันก็ปฏิบัติต่อเผ่าอสูรเป็นบ้านของตนอย่างแท้จริง และในตลอดเวลาที่ผ่านมา มันก็ไม่เคยกระทำสิ่งใดที่เป็นภยันตรายต่อเผ่าอสูรโดยตรง
“เหอะ คิดว่าข้าจะไม่มีทางออกอื่นงั้นรึ !”
เจ๋อหลิวแค่นเสียงเย็นชาและลบล้างความคิดฆ่าตัวตายไปทั้งหมดแล้ว มันกลืนแกนชีวิตของตนกลับเข้าไปก่อนกวาดสายตามองทุกชีวิตรอบตัวและแยกตัวออกไปโดยไม่กล่าวสิ่งใดอีก
ฉินอวี้โม่และซิวไม่พยายามขัดขวางมันแต่อย่างใด เจ๋อหลิวคงจะคิดหาวิธีได้แล้วว่าควรทำอย่างไรต่อไป แน่นอนว่าทุกชีวิตในที่แห่งนี้ต่างก็มีความคาดหวังอยู่ในใจว่าเจ๋อหลิวจะชดใช้ความผิดพลาดที่ทำมาตลอดได้อย่างไร
“ท่านเทพอสูร ยินดีต้อนรับกลับสู่เผ่าอสูรขอรับ โปรดไปที่แท่นบูชาของเผ่าอสูรเพื่อรับช่วงต่อเป็นเทพผู้ปกครองของเผ่าอสูรอย่างเป็นทางการเถิด !”
หงส์เพลิง—ผู้อาวุโสรองของเผ่าอสูรกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อม ในตอนนี้เมื่อมีผู้นำที่แท้จริงแล้ว เผ่าอสูรก็จะมิใช่มังกรไร้หัวเช่นเดิมอีกต่อไป
“ไปเถอะ หลังจากจัดการทุกอย่างในเผ่าอสูรจนเรียบร้อยก็กลับมาบอกพวกเรา”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและบอกให้ซิวไปจัดการเรื่องต่าง ๆ ตามหน้าที่ผู้นำเผ่าอสูร ส่วนพวกนางก็จะเดินท่องไปรอบ ๆ เผ่าเพื่อชมทิวทัศน์ความงดงามของเผ่าอสูรและฆ่าเวลาเช่นกัน
หลังจากใช้เวลาอยู่ในเผ่าอสูรนานสามวัน ในที่สุดสถานการณ์ของเผ่าอสูรก็เสถียรมั่นคง
ซิวมอบหมายให้อสรพิษแปดหัว—หนึ่งในสามอสูรดุร้ายรับหน้าที่คุ้มกันและดูแลความเรียบร้อยของเผ่าอสูรพร้อมกับผู้อาวุโสอีกหลายชีวิต และตอนนี้ตัวของซิวก็พร้อมที่จะติดตามฉินอวี้โม่เดินทางต่อไปแล้ว
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เจ๋อหลิวก็ไม่ปรากฏตัวให้ใครเห็นและไม่มีผู้ใดทราบว่ามันซ่อนตัวอยู่ที่ใด ทว่าฉินอวี้โม่และอสูรทั้งหมดทราบดีว่าเจ๋อหลิวเปลี่ยนแปลงทัศนคติความคิดแล้วและจะไม่ทำสิ่งที่ผิดพลาดเช่นเดิมอีกต่อไป
เมื่อซิวกลับคืนสู่เผ่าอสูรและรับตำแหน่งผู้นำเผ่าอสูรอย่างกะทันหัน เหล่าอสูรในดินแดนที่เคยสูญเสียการควบคุมและบ้าคลั่งก็ล้วนสงบลง ทั้งเผ่าอสูรค่อย ๆ มั่นคงมากขึ้นราวกับมีความศรัทธาและมีเสาหลักเป็นที่ยึดมั่น และด้วยแรงกระตุ้นจากซิว อสูรเหล่านั้นก็เพียรฝึกวิชาอย่างหนักและพยายามสุดความสามารถ เห็นได้ชัดว่าพวกมันก็ต้องการฟื้นฟูพลังอำนาจโดยรวมของเผ่าอสูรให้กลับคืนสู่สภาวะสูงสุดในอดีต
สำหรับอสูรดุร้ายอีกสองตัวซึ่งก็คือสิงโตเพลิงทองและขุยหนิว พวกมันก็ได้ทำพันธสัญญาเป็นอสูรมายาของหานโม่ฉือและกลายเป็นสหายร่วมทางของกิเลนอัคคี
กิเลนอัคคีถือเป็นอสูรที่ไม่อ่อนแอไปกว่าซิว แน่นอนว่าเมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันของมัน อสูรทั้งสองก็ประพฤติตัวเป็นอย่างดีและไม่กล้าแม้แต่จะคิดสร้างปัญหาใดๆ
หลังจากกล่าวอำลาเหล่าอสูรที่ไม่เต็มใจนัก ฉินอวี้โม่และคณะก็เดินทางออกจากมิติพิเศษของเผ่าอสูรและปรากฏตัวในโลกภายนอกอีกครั้ง
ทันทีที่มาถึงโลกภายนอก ฉินอวี้โม่ก็ได้ยินเสียงดังมาจากอุปกรณ์สื่อสารของตน หลังจากรับสาย เสียงของฉินเฟิงก็ดังขึ้นจากอีกฟากหนึ่งอย่างชัดเจน
“ศิษย์พี่ฉินเฟิง เกิดอะไรขึ้นรึ ?”
ทันทีที่เชื่อมต่อสาย ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามอย่างรวดเร็ว ฉินเฟิงแทบจะไม่เคยเรียกหาหรือติดต่อนาง และการที่เขาติดต่อมาอย่างกะทันหันเช่นนี้จะต้องเป็นเพราะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นอย่างแน่นอน
“อวี้โม่ โม่ฉือ ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ที่ใด ?”
น้ำเสียงของฉินเฟิงบ่งบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติขณะกล่าวอย่างกังวลใจ
“ข้าเพิ่งคลี่คลายปัญหาที่เผ่าอสูรเสร็จสิ้นและกำลังจะเดินทางกลับไปที่ดินแดนทางเหนือ”
ฉินอวี้โม่ไม่ปิดบังสิ่งใดจากฉินเฟิงและกล่าวตอบตามความจริง
“ไม่ต้องกลับมาที่ดินแดนเหนือ เจ้าไปที่เมืองวารีใกล้ชนเผ่ามายาได้เลย เราจะไปพบกันที่นั่น !”
ฉินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวลอย่างที่สุดจนฉินอวี้โม่ก็ตกใจไม่น้อย ก่อนหน้านี้ทั้งสองตกลงกันไว้ว่าจะไปพบกันที่ดินแดนทางเหนือก่อนและออกเดินทางไปยังชนเผ่ามายาด้วยกัน ทว่าตอนนี้ฉินเฟิงกังวลใจจนมิอาจรอต่อไปได้ หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรที่ชนเผ่ามายา ?
“เข้าใจแล้ว เกิดอะไรขึ้นหรือศิษย์พี่ ?”
ฉินอวี้โม่ตอบตกลงก่อนเอ่ยถามเกี่ยวกับสถานการณ์ที่นั่น ฉินเฟิงมักเป็นคนมีเหตุมีผลและชาญฉลาดมากไหวพริบอยู่เสมอ ทว่าตอนนี้เห็นได้ชัดว่าจิตใจของเขาร้อนรนจนอยู่ไม่ติดและไม่หลงเหลือความสงบนิ่งใจเย็นอีกต่อไป
“ไม่กี่วันก่อน ข้าได้รับข่าวจากชนเผ่ามายา ฉินเหยียนและท่านพ่อบุญธรรมเผชิญวิกฤตแล้ว หากเราไม่รีบไปที่นั่นโดยเร็วที่สุด เกรงว่าจะเกิดเรื่องร้ายแน่ ก่อนหน้านี้ข้าติดต่อเจ้าไม่ได้และวางแผนที่จะไปที่นั่นด้วยตัวเอง โชคดีที่ติดต่อเจ้าได้ทันเวลาพอดี การเดินทางไปที่ชนเผ่ามายาครานี้จึงจะมั่นใจได้มากขึ้น”
เมื่อสองถึงสามวันที่ผ่านมา ฉินเฟิงได้รับข่าวบางอย่างจากชนเผ่ามายาซึ่งบอกว่าฉินเหยียนและฝูหยาจือกำลังตกอยู่ในอันตรายและต้องการให้เขาเข้าไปช่วยเหลือโดยด่วน
นับตั้งแต่เผชิญหน้ากับฉินมู่ยวี่ในโลกมายา ตอนนี้ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ฉินเหยียนก็ได้ให้สัญญาว่าจะช่วยดูแลฝูหยาจือและแน่นอนว่าฉินเฟิงไม่สงสัยในคำมั่นของนาง
อย่างไรก็ตาม หากฉินเหยียนถูกฉินมู่ยวี่สงสัยเพราะเรื่องนี้และส่งผลให้นางเผชิญภยันตราย นั่นก็เป็นสิ่งที่ฉินเฟิงไม่ต้องการให้เกิดขึ้นเลยสักนิด
เพราะเหตุนั้น นับตั้งแต่ได้รับข่าว ต่อให้สงสัยว่ามันอาจเป็นกับดักล่อลวง เขาก็ตัดสินใจจะไปที่นั่นด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะมีทะเลแห่งกระบี่หรือมีอุปสรรคขวากหนามอื่น ๆ เขาก็จะฝ่าผ่านไปให้ได้ นี่คือความรับผิดชอบของตัวเขาและฉินเฟิงก็รู้สึกติดค้างกับฉินเหยียนมากนัก
เนื่องจากไม่สามารถติดต่อฉินอวี้โม่ได้ก่อนหน้านี้ เขาจึงออกเดินทางมาก่อนและในช่วงเวลานี้เขาก็อยู่ห่างจากเมืองวารีเป็นเวลาเพียงสามวันเท่านั้น ตอนนี้ในเมื่อติดต่อฉินอวี้โม่ได้แล้ว แน่นอนว่าเขาก็ตัดสินใจที่จะไปที่ชนเผ่ามายาพร้อมกับนาง ถึงอย่างไรการร่วมมือกันก็ช่วยให้ทั้งสองจัดการกับสิ่งต่าง ๆ และฝ่าฟันอุปสรรคได้อย่างง่ายดายมากขึ้น
แม้ฉินอวี้โม่จะเป็นเทพมายาคนใหม่ ในตอนนี้นางก็ไม่ทราบว่าชนเผ่ามายามีสภาพเป็นอย่างไร หากเหล่าผู้นำระดับสูงแปรพักตร์ไปเข้าร่วมกับฉินมู่ยวี่แล้ว การสะสางปัญหาครานี้จะเป็นเรื่องยุ่งยากพอสมควร
“ถ้าเช่นนั้นท่านรอพวกเราที่เมืองวารีก่อน เราจะรีบเดินทางไป !”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างหนักแน่นพลางพยักศีรษะก่อนตัดการเชื่อมต่อและขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวมุ่งหน้าตรงไปในทิศทางของเมืองวารีอย่างรวดเร็ว
ข้อสันนิษฐานของฉินเฟิงถูกต้องทุกประการ ในเวลานี้ภายในชนเผ่ามายา ฉินเหยียนกำลังเผชิญกับวิกฤตครั้งสำคัญ
“เหยียนเอ๋อร์ ข้ารักและไว้ใจเจ้ามาก ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะตกหลุมรักคนทรยศนั่นจนกล้าทรยศหักหลังข้าเช่นนี้ ดีจริง ๆ !”
ภายในชนเผ่ามายา ฉินมู่ยวี่นั่งอยู่บนบัลลังก์หลักในขณะที่ฉินเหยียนคุกเข่าอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าอารมณ์ที่ซับซ้อนอย่างมาก
ถัดจากนางคือฉินเหว่ยซึ่งใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มสบายใจขณะมองดูฉินเหยียนอย่างเยาะเย้ย
เมื่อวานนี้ ในที่สุดเขาก็พบหลักฐานที่ชัดเจนว่าฉินเหยียนพยายามปกป้องฝูหยาจือและเขาก็ได้มอบหลักฐานนั้นให้กับฉินมู่ยวี่ ครานี้ฉินเหยียนคงจะสูญเสียความดีความชอบทั้งหมดที่เคยได้รับจากฉินมู่ยวี่เป็นแน่ และนั่นหมายความว่าโอกาสของเขามาถึงแล้ว
“ท่านอาจารย์ ข้าขอโทษ…”
ฉินเหยียนกล่าวอย่างไม่รู้สึกผิด สำหรับเรื่องนี้ นางเชื่อว่าคงไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิด นางตกหลุมรักฉินเฟิงอย่างแท้จริงทว่าทุกอย่างล้วนถูกชะตาลิขิตไว้แล้ว แม้ว่าฉินเฟิงจะรู้สึกกับนางเช่นเดียวกัน ทั้งสองก็มิอาจได้ครองรักกันอย่างมีความสุขตามที่ต้องการ
“ไม่แปลกใจเลยที่ในหลายปีที่ผ่านมา ข้าพยายามฆ่าฝูหยาจือหลายต่อหลายครั้งแต่เจ้ากลับขัดขวางข้าตลอด ไม่คิดเลยว่าที่แท้ก็เป็นเพราะเจ้าหลงรักฉินเฟิงอยู่ เกรงว่าเจ้าคงมองฝูหยาจือเป็นว่าที่พ่อสามีสินะ !”
ฉินมู่ยวี่มองฉินเหยียนด้วยแววตาผิดหวัง ศิษย์ผู้นี้เคยทำให้นางภาคภูมิใจมากที่สุด การที่นางทำเช่นนี้ ฉินมู่ยวี่จะไม่ผิดหวังได้อย่างไร ?
“ท่านอาจารย์ แม้ข้าจะทรยศท่าน ข้าก็ไม่เคยทำสิ่งใดที่เป็นภัยต่อท่าน ในวันนั้นข้าสัญญากับพี่เฟิงไว้ว่าจะช่วยเขาดูแลความปลอดภัยให้กับผู้อาวุโสฝูหยาจือ อย่างน้อยที่สุดข้าก็ให้สัญญาว่าเมื่อเขามาถึงที่นี่ ท่านผู้อาวุโสจะยังมีชีวิตอยู่ ข้าขอโทษที่ต้องทำเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม ข้าไม่นึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป หากให้คำมั่นสัญญาไว้กับผู้ใด ข้าก็ต้องทำให้ได้ตามนั้น นี่คือสิ่งที่ท่านสอนข้ามาตลอดมิใช่หรือ ท่านอาจารย์ ?”
สีหน้าของฉินเหยียนยังคงเรียบเฉย เวลานี้นางไม่สนใจความเป็นหรือความตายของตนเองอีกต่อไป ไม่ว่าอาจารย์ผู้นี้จะจัดการกับตนอย่างไร นางก็จะไม่คัดค้านหรือเรียกร้องสิ่งใด อย่างไรก็ตาม นางต้องกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป นางไม่เคยทำสิ่งใดที่เป็นการทำร้ายฉินมู่ยวี่ นางเพียงต้องการดูแลให้ฝูหยาจือปลอดภัยก็เท่านั้น
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าสั่งสอนศิษย์ได้ดีจริง ๆ ! ช่างเจ้าสำนวนและพลิกลิ้นเก่งจริง ๆ การที่ปล่อยให้เจ้าได้ยืนเคียงข้างข้ามาตลอด ช่างเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดยิ่งนัก !”
ฉินมู่ยวี่ยิ้มอย่างเย็นชาขณะมองฉินเหยียนด้วยจิตสังหารในแววตา ผู้ที่ริอาจคิดคดทรยศต่อนางจะต้องไม่ตายดี !
“ฉินมู่ยวี่ เจ้าไม่อยากให้ท่านเทพมายาและฉินเฟิงมาที่นี่หรอกหรือ ? ตราบใดที่เจ้ากักขังฉินเหยียนไว้กับข้า เจ้าก็ไม่ต้องกังวลอีกว่าพวกเขาจะเข้ามาติดกับดักของเจ้าหรือไม่”
ฝูหยาจือซึ่งอยู่ไม่ไกลกล่าวออกมา เขาเองก็ต้องการปกป้องชีวิตของฉินเหยียนเช่นกัน เขาเชื่อว่าฉินเหยียนและฉินเฟิงบุตรบุญธรรมของตนควรได้ครองรักกัน
“เหอะ เจ้าอย่าปากมากไปหน่อยเลย !”
ฉินมู่ยวี่แค่นเสียงเย็นชาทว่าลบล้างความคิดที่จะสังหารฉินเหยียนไปในทันที
.