เลือดไหลลงมาจากข้อมือเฉินฉางเซิงตกลงบนโซ่ และเริ่มไหลไปตามรอยที่สลักไว้ ซึมลึกลงไปในโซ่ เลือดที่ยังเหลืออยู่บนโซ่ระเหยไปกับสายลม แล้วลุกไหม้เป็นเพลิงสีฟ้าที่มีความร้อนรุนแรงและสาดแสงไปทั่วทุกทิศทาง
นี่คือพลังอันน่าเกรงขามของเลือดหงส์สวรรค์
ลายที่สลักลงไปบนโซ่และผนังเริ่มแผ่รังสีออกมาเมื่อค่ายกลค่อยๆ ทำงานช้าๆ ไอพลังปราณที่ยากจะบรรยายดุจใบไม้ฤดูวสันต์หรือผลไม้ฤดูสารท ปรากฏขึ้นในถ้ำ
ไอพลังปราณนี้บรรจุไว้ด้วยความแข็งแกร่งอันศักดิ์สิทธิ์ของกาลเวลา
ในตอนนี้ มังกรดำน้อยได้มาถึงพื้นดินแล้ว ผมสีดำปลิวไสวอยู่รอบกาย ใบหน้างดงามเปี่ยมด้วยเจตนาชั่วร้าย ในชุดสีดำที่สั่นกระพือจะเห็นว่ามีน้ำแข็งเล็กน้อยตกลงมา!
นี่เป็นสัญญาณว่านางได้เร่งพลังปราณถึงจุดสูงสุด
ในตอนนี้นางได้อยู่ในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อยแล้ว อย่าว่าแต่เฉินฉางเซิง แม้แต่ขนพลเทพที่แข็งแกร่งอย่างเซวียสิ่งชวนก็ไม่อาจจะเป็นคู่มือของนางได้หากต้องสู้ตามลำพัง
ในตอนนี้ จิตและสมาธิของเฉินฉางเซิงอยู่ที่โซ่เส้นบางนั้น ประหนึ่งว่าเขาได้ลืมเรื่องอื่นรอบกายไปจนหมด และลืมไปว่าเลือดตัวเองนั้นมีความยั่วใจที่น่ากลัวเพียงใด…แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่มังกรดำน้อยพูดเรื่องเลือดต้นกำเนิด คำสาบานและผู้หญิง มือซ้ายของเขาสั่นอยู่ครู่หนึ่ง นี่แสดงว่าเขานั้นมีสติแจ่มแจ้งอยู่ตลอดเวลา เขาจะลืมคำสาปที่วิถีสวรรค์สาปไว้บนร่างของตนได้อย่างไร เขาจะลืมคำเตือนที่ศิษย์พี่อวี่เหรินพร่ำบอกเขาหลังจากคืนนั้นในวัดเก่าได้อย่างไร
เขาย่อมเตรียมแผนเอาไว้รับมือกับมังกรดำที่อาจจะเสียสติไป
มีเสียงดังทุ้มสั่นสะเทือนออกมาจากผนังหิน ราวกับว่ามีใครอยู่ลึกเข้าไปในผนังและกำลังตีกลองรบ หรือมีฟ้าร้องคำรามอยู่บนท้องฟ้าไกล!
บนผนัง มือขุนพลเทพในตำนานทั้งสองที่จับโซ่เอาไว้พลันระเบิดแสงสีขาวแสบตาออกมา ในที่สุดแสงนั้นก็กลายเป็นจุดแสงที่หนาแน่นขนาดประมาณไข่ไก่ จุดแสงทั้งสองเคลื่อนมาตามโซ่อย่างรวดเร็ว มาถึงข้อเท้าสีขาวดุจหิมะในทันใด
ไม่มีใครจะเร็วไปกว่าจุดแสงทั้งสอง ต่อให้สวีโหย่วหรงกับหนานเค่อที่ว่องไวที่สุดมาอยู่ที่นี่ พวกนางก็ไม่อาจหลบหนีได้ มังกรดำน้อยที่ก้าวเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์และมีพลังไร้ขีดจำกัด สามารถอยู่ในทะเลใต้ตอนกลางวัน แล้วไปนอนที่ดินแดนต้าซียามราตรี ก็ยังไม่อาจเร็วไปกว่าจุดแสงทั้งสองลูกนี้
จุดแสงทั้งสองนี้เร็วราวกับสายฟ้า
เพราะแท้จริงก็คือสายฟ้า
เคล้ง! เคล้ง!
เสียงดังก้องไปทั่วถ้ำซึ่งเงียบสงบ
มังกรดำน้อยหยุดอยู่กลางอากาศตรงหน้าเฉินฉางเซิง ผมและชุดสีดำอาบไล้ไปด้วยสายฟ้าสีขาวเจิดจ้า ความบ้าคลั่งบนใบหน้างดงามหายไปอย่างไร้ร่องรอย
โซ่ทั้งสองเส้นบนข้อเท้าสั่นอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงดังเคล้งคล้าง เป็นดั่งต้นหลิวกลางพายุ ที่อาจจะหักลงโค่นได้ทุกขณะ
นางกระแทกเข้าใส่พื้นดินพร้อมส่งเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดและโกรธเกรี้ยว
นางอยากจะยืนขึ้น แต่ก็ไม่สำเร็จ ร่างงดงามในชุดสีดำยังคงสั่นเทา ช่างแปลกประหลาดแต่ก็มีความงามที่ยากจะบรรยาย
หลังจากผ่านนาน พลังสายฟ้าที่ไหลเข้าสู่ร่างนางผ่านโซ่ก็ค่อยๆ จางลง สายฟ้าและหิมะอันตรธานหายไปพร้อมกัน
นางพยายามลุกขึ้นนั่งขึ้น ใบหน้าขาวซีด ความหวาดกลัวยังคงอยู่ในดวงตาแนวตั้ง สายตาที่มองไปทางเฉินฉางเซิงนั้นมิได้บ้าคลั่งหรือละโมบอีกต่อไป หากแต่มีความขุ่นเคือง
เฉินฉางเซิงหันหน้ามาหานาง มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ใบหน้าเขาก็ขาวซีดเช่นกัน บางทีอาจเป็นเพราะในยามที่เขาได้กระตุ้นค่ายกลเพื่อทำลายการกักขัง เขาใช้เลือดมากเกินไป ใช้วิญญาณมากเกินไป เขารู้ดีว่าทำเช่นนี้จะทำให้อาการเขาแย่ลงเร็วขึ้น หรือพูดอีกอย่างก็คือเขาจะตายเร็วขึ้นว่าที่คิดเอาไว้ก่อนหน้านี้ กระนั้นเขาก็ยังทำโดยไม่ลังเล นี่เป็นสิ่งที่เขาสัญญากับนางเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว
ก่อนตาย เขาต้องทำให้สำเร็จ มีแต่ทางนี้ที่เขาจะจากไปได้อย่างสงบ
“เกิดอะไรขึ้นกับเลือดของเจ้า กลิ่นของมันเย้ายวนใจยิ่งกว่าตอนที่เจ้าเผยออกมาตอนถอดจิตเสียอีก…เมื่อครู่ข้าไม่อาจควบคุมตนเองได้” มังกรดำน้อยกล่าว ความกลัวยังคงอยู่ในน้ำเสียงของนาง
เฉินฉางเซิงชี้ไปที่โซ่ทั้งสองเส้นที่ข้อเท้าของนาง ความหมายของเขาชัดเจนมาก เขารู้ว่าค่ายกลที่หวังจือเช่อใช้กักขังนางนั้นทรงพลังเพียงใด
“ในเมื่อเจ้ารู้ ก็น่าจะเตือนข้าก่อน ให้ข้าได้มีเวลาเตรียมตัวสักหน่อย”
มังกรดำน้อยมองเขาอย่างขุ่นเคืองและกล่าวว่า “เป็นคนไม่ดีอย่างแท้จริง”
บาดแผลที่ข้อมือเฉินฉางเซิงหายแล้ว แสงศักดิ์สิทธิ์ของสวีโหย่วหรงที่อาบอยู่บนร่างของเขาเพื่อผนึกเลือดได้กลับมาส่งผลอีกครั้ง เลือดบนโซ่ก็ซึมลึกเข้าไปแล้ว หรือไม่ก็ถูกค่ายกลเปลี่ยนไปเป็นพลังงานแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะไปกระตุ้นสัญชาตญาณโหดเหี้ยมของมังกรดำน้อยหรือดึงดูดยอดฝีมือใดเข้ามาอีก
เฉินฉางเซิงเดินไปหานาง เอายาหลายสิบเม็ดที่เขาขอมาจากนักบวชในพระราชวังหลีใส่ปากนาง แล้วค่อยๆ ลูบหลังนางเพื่อช่วยให้นางกลืนยาได้ง่ายขึ้น
มังกรดำน้อยหรี่ตาเล็กน้อย ดูเหมือนจะพอใจกับการลูบเบาๆ นี้
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ได้สติ จำได้ว่าม่ออวี่เคยบอกอะไรกับสวีโหย่วหรง เขาจำได้ว่านางเป็นสาวน้อย และการทำเช่นนี้กับนางก็ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เขาจึงรีบชักมือกลับมา
มังกรดำน้อยเบิกตากว้าง มองด้วยความไม่พอใจอย่างมาก
“แน่นอนว่าข้าไม่มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม” เฉินฉางเซิงหยุดก่อนจะให้คำอธิบายต่อคำถามก่อนหน้านี้ของนาง “ตอนที่ข้าเสี่ยงจุดทุ่งหิมะในกายเพื่อเข้าสู่ขั้นถอดจิตนั้น หากเจ้าไม่ช่วยข้าไว้ ข้าคงจะตายไปแล้ว เมื่อชีวิตนี้เจ้ามอบให้กับข้า ข้าก็ต้องตอบแทนเป็นธรรมดา หากข้าถูกกำหนดให้โดนใครสักคนกินลงไป เจ้าก็คงเป็นเพียงคนเดียที่ข้าพอจะยอมรับได้”
บางทีอาจเป็นเพราะส่วนสุดท้ายที่บอกว่าเพียงคนเดียว มังกรดำจึงมีความสุขและพอใจ จากนั้นนางก็ดูเหมือนจะคิดถึงบางอย่างได้ แก้มทั้งสองก็แดงเรื่อขึ้นมา
นางก้มหน้าลง ไม่ต้องการมองเขา แล้วกระซิบว่า “คนหลอกลวง”
เฉินฉางเซิงตัวแข็ง ไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงได้ว่าเขา ทำไมนางถึงได้โกรธ หลังจากคิดดูแล้ว เขาก็เอากล่องออกมาและวางไว้ตรงหน้านาง กล่าวว่า “นี่มอบให้เจ้า”
มังกรดำน้อยเงยหน้าขึ้นมองไปที่กล่อง ดวงตานางทอประกายความสงสัย
“อะไร”
นางเปิดกล่องและก็มีแสงส่องออกมาสาดต้องใบหน้างดงามของนาง
ในกล่องเต็มไปด้วยของวิเศษหายาก หินล้ำค่า เงิน ทอง
บ้างก็เป็นเมืองไป๋ตี้มอบให้ บ้างก็มาจากพระราชวังหลี หรือของขวัญที่เขาได้รับจากสำนักการศึกษากลาง บ้างก็ได้มาจากถังซานสือลิ่ว บ้างก็มาจากสวนโจว มีของวิเศษทุกรูปแบบอยู่ในนั้น
นี่คือหนึ่งในสามของสมบัติที่เขามี
แน่นอนว่านี่เป็นสมบัติของเขาหลังจากที่แบ่งกับสวีโหย่วหรงอย่างชัดเจนคืนนั้นในฤดูหนาวปีกลาย
หนึ่งในสามมอบให้กับลั่วลั่ว อีกหนึ่งในสามมอบให้ศิษย์พี่ และหนึ่งในสามส่วนสุดท้ายก็มอบให้กับมังกรดำน้อย เขาเชื่อว่าทั้งสามคือคนที่ดีต่อเขามากที่สุด
เมื่อเห็นของวิเศษในกล่อง มังกรดำน้อยก็ตาลุกวาวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
“เจ้าชอบไหม” เฉินฉางเซิงมองดูนาง รู้สึกเป็นกังวลและก็ยังคาดหวัง
นางก้มหน้าและแสดงการยอมรับออกมา
ไม่มีมังกรตัวใดที่ไม่ชอบเงิน ทอง ของวิเศษ นับประสาอะไรกับมังกรที่ถูกขังอยู่ใต้ดินมาหลายร้อยปี มีแต่ทองและของวิเศษที่ผู้ยิ่งใหญ่ของวังหลวงสัญญากับนางเท่านั้นที่ทำให้นางสามารถทนมาได้
และนี่ยังเป็นสิ่งที่เขามอบให้กับนางโดยเฉพาะ
นางเงยหน้าขึ้น แล้วกล่าวกับเฉินฉางเซิงอย่างจริงจัง “เจ้ารู้หรือไม่ นับตั้งแต่ข้าจากบ้านในทะเลใต้และมายังดินแดนของมนุษย์ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว แต่มีเพียงแค่ช่วงหลังจากที่ได้พบเจ้าเท่านั้นที่ข้ามีความสุข ข้าต้องขอบคุณเจ้าอย่างแท้จริง”
เฉินฉางเซิงคิดถึงสิ่งที่นางต้องประสบพบเจอ คิดถึงชีวิตของตนเอง และย่อมเห็นใจในความทุกข์ยากของนาง
“วันที่ข้ามีความสุขที่สุดก็คือตอนที่ข้ากลายเป็นวิญญาณและตามเจ้าไปนอกจิงตู จนถึงเมืองฮั่นชิว ข้าได้เห็นสิ่งต่างๆ มากมาย ได้กินของอร่อยมากมาย”
“ภาพของสวนโจวก็ไม่เลว”
“ข้าไม่ชอบสวนโจว”
“ทำไม”
“เพราะเสด็จพ่อข้าตายในนั้น”
เฉินฉางเซิงเงียบไป
มังกรดำน้อยหยัน “ในสวนโจวเจ้ากับเด็กหญิงนั่นก็กระซิบกระซาบบอกรักกัน ลืมไปเลยว่าข้าเป็นใคร แล้วจะให้ข้ามีความสุขได้อย่างไร”
เฉินฉางเซิงรู้สึกหมดหนทาง ได้แต่กล่าว “ข้าไม่รู้ว่าตอนนั้นนางคือสวีโหย่วหรง ดังนั้น…ในใจของข้านางคือผู้อาวุโสที่ควรให้ความเคารพ”
มังกรดำไม่สนใจ กล่าวอย่างไม่พอใจ “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าก็เป็นผู้ชายหลายใจ”
เฉินฉางเซิงคิดในใจ ‘หลายใจ’ นี่มาจากไหน เขาพลันนึกถึงคำพูดที่มังกรดำกล่าวก่อนที่จะกินเขาและคิด หากเป็นแบบนั้นจริง การใช้คำพูดฝ่ายเดียวมาบังคับการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่งนั้นออกจะไม่มีเหตุผล ออกจะเอาแต่ใจเกินไป
แม้ว่าเขาจะไม่ได้แก่ขนาดนั้น แต่ก็เป็นคนสุขุมใจเย็นตลอดมา ดังนั้นเขาจึงไม่ไปโต้เถียงแบบเด็กๆ กับนาง
ครั้นเห็นเขาเงียบไป นางก็โกรธยิ่งกว่าเดิม อ้าปากพ่นลมใส่หน้าเขา
นางเป็นมังกรยักษ์น้ำค้างแข็ง ดังนั้นลมหายใจของนางก็คือลมหายใจมังกร
ลมหายใจมังกรลอยลงมาและจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เฉินฉางเซิงจะต้องกลายเป็นน้ำแข็งไปในทันที นี่คือเจตนาในตอนแรกของนาง เตรียมที่จะมัดตัวเขาไว้และส่งเขาออกไป แต่นางกลับลืมไปว่าตนใช้ร่างจริงที่เป็นมังกรดำในการพบกับเฉินฉางเซิงมาตลอด ทว่าตอนนี้ นางอยู่ในรูปของหญิงสาวเผ่ามนุษย์ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความแข็งแกร่งในด้านอื่นของนาง ตอนนี้นางไม่อาจพ่นลมหายใจมังกรออกมาได้สักนิด
ลมหายใจที่นางพ่นออกมาจึงเป็นเพียงลมหายใจธรรมดา ลมหายใจที่เหมือนกับกล้วยไม้ ที่ส่งกลิ่นหอมนุ่มนวลยากพรรณนา ไม่มีความแข็งแกร่งเลยแม้แต่น้อย นี่คือลมหายใจที่กระทบใบหน้าของเฉินฉางเซิง
น่าแปลกที่ร่างกายของเฉินฉางเซิงนั้นผ่านการชำระกระดูกอย่างสมบูรณ์แล้วด้วยการอาบเลือดมังกร อาวุธทั่วไปไม่อาจทำร้ายเขาได้ แต่ลมหายใจของนางที่ไร้พลังอันใดกลับทำให้ใบหน้าของเขาแดงขึ้นมา
มังกรดำน้อยตัวแข็งไป ก่อนพยายามเป่าลมใส่หน้าเขาอย่างโง่งมอีกครั้ง
ใบหน้าเฉินฉางเซิงแดงขึ้นโดยเฉพาะใบหู ดูเหมือนกับดาวชะตาของเขา ที่แดงก่ำอย่างที่สุด
มังกรดำน้อยกะพริบตาอย่างสับสน จากนั้นนางก็นึกได้ว่าตนกำลังทำอะไร และความอายนับไม่ถ้วนก็ผุดขึ้นในใจ ใบหน้าน้อยๆ ของนางแดงก่ำหาใดเปรียบ
นางรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผะผ่าว ร่างกายก็เช่นกัน
นางลืมว่าตนเป็นมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งที่แค่คิดก็ทำให้ภูเขาไฟกลายเป็นน้ำแข็งได้
ภูเขาไฟอาจจะถูกแช่แข็งได้ แต่น้ำแข็งก็ละลายได้ นางรู้สึกเหมือนร่างกายอ่อนระทวยด้วยความร้อน ไร้เรี่ยวแรงจะทรงตัว นางล้มไปข้างหน้า เข้าหาหน้าอกเฉินฉางเซิง
ลมหายใจของนางเป็นเสมือนสายลมที่พัดผ่านบัวหิมะ ลูบไล้ใบหูของเขาอย่างแผ่วเบา
ร่างเฉินฉางเซิงแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย เขารู้สึกเหมือนว่าร่างกายเปียกขึ้นมาอย่างฉับพลัน
นางแลบลิ้นออกมาและเลียใบหูของเขา
“กลิ่นหอมน่ากินมาก” นางซบไหล่เขาพลางกระซิบ “หากเจ้าต้องตายจริงๆ ก็ให้ข้ากินเจ้า แล้วเจ้าก็ตายอยู่ในท้องข้า”
……