ตอนที่ 890 สองเรื่องสำคัญ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 890 สองเรื่องสำคัญ

หลัวปิงหลิงขุนนางระดับจือโจวแห่งรัฐหยู่โจวผู้นี้ ฟู่เสี่ยวกวนก็พอจดจำได้บ้าง

เนื่องจากหกรัฐแห่งเป่ยเซียวค่อนข้างทุรกันดาร ดังนั้นเมื่อยามที่อยู่ในพระราชวัง เขาจึงให้ความสนใจต่อหกรัฐแห่งเป่ยเซียวและห้ารัฐซียู่ค่อนข้างมาก

และการที่หลัวปิงหลิงเดินทางจากหยู่โจวมายังสถานที่ที่ทุรกันดารเยี่ยงนี้ แน่นอนว่าย่อมเกี่ยวกับการบริหารจัดการเขตซื่อหยาง

ดูเหมือนการออกตรวจราชการนอกเครื่องแบบจะไร้ผล บัดนี้เกรงว่าทั้งเซี่ยซานโจวจะล่วงรู้กันทั้งหมดแล้วว่าองค์จักรพรรดิประทับอยู่ที่เขตซื่อหยาง

แต่ก็มิเป็นไรเพราะเดิมทีเขาต้องการอาศัยอยู่ที่เขตซื่อหยางสักพักเพื่อรอให้ทหารดาบเทวะกองทัพที่สามและเจ้าหน้าที่จากสำนักวิทยาศาสตร์เดินทางมาถึงเสียก่อน

แน่นอนว่าเขาก็อยากจะเห็นเช่นกัน เมื่อพระราชโองการทั้งสองฉบับส่งไปถึงราชสำนักแล้ว ขุนนางในวังทั้งหลายจะมีท่าทีเยี่ยงไร

หลัวปิงหลิงรวบรวมความกล้า จากนั้นก็เดินเข้าไปด้านใน เขาคุกเข่าลงต่อหน้าฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ถวายบังคมฝ่าบาท กระหม่อมมีนามว่าหลัวปิงหลิง บัดนี้ดำรงตำแหน่งจือโจวแห่งหยู่โจวอยู่พ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ลุกขึ้นเถิด”

“กระหม่อม กระหม่อมมีความผิด มิอาจลุกขึ้นได้พ่ะย่ะค่ะ ! ”

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกสนใจขึ้นมา เขาจ้องมองหลัวปิงหลิงและพบว่าด้านหลังของอีกฝ่ายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ น่าสงสารเสียจริง ข้าน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ?

“ท่านลองเอ่ยมาว่าท่านมีความผิดอันใด ? ”

หลัวปิงหลิงจึงรีบทูลว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมบริหารจัดการผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาได้บกพร่อง ปล่อยให้สุนัขป๋ายชิวเชิงปกครองเขตซื่อหยางมานานถึง 4 ปี นี่ถือเป็นความผิดฐานปล่อยปละละเลยหน้าที่ ขอฝ่าบาททรงลงโทษกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนหยิบถ้วยน้ำบ๊วยขึ้นมาดื่ม “ท่านรู้ชัดมากยิ่งนัก…เอาเถิด ลุกขึ้นมา เจิ้นมีบางเรื่องต้องการจะเอ่ยถามสักหน่อย”

ประโยคนี้สำหรับหลัวปิงหลิน เปรียบเสมือนเสียงจากสวรรค์ เขารู้ดีว่าได้ผ่านด่านที่หนึ่งมาแล้ว ต่อไปหากสามารถทูลตอบฝ่าบาทได้ตามพระประสงค์ ตำแหน่งของเขาก็จะยังคงอยู่

“กระหม่อม ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณมากยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ ! ”

เขารีบเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวนด้วยความนอบน้อม ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือให้เขานั่งลง “นั่งเถิด… อากาศร้อนอบอ้าวถึงเพียงนี้… เสี่ยวฉี ไปยกน้ำบ๊วยดับร้อนมาให้หลัวจือโจวด้วยหนึ่งถ้วย”

“เพคะ”

หลัวปิงหลินตื่นตกใจจนสะดุ้งโหยง “ฝ่าบาท กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“นั่งลง…ข้าขอเอ่ยถามท่านสักหน่อยว่าที่รัฐหยู่โจวมีแร่เหล็กหรือไม่ ? ”

หลัวปิงหลินนั่งลงบนเก้าอี้ “ทูลฝ่าบาท ห่างจากเขตซื่อหยางออกไป 500 ลี้ทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นอาณาเขตของเขตชื่อ ที่นั่นมีมีแร่เหล็กอยู่พ่ะย่ะค่ะ เขตชื่อถูกล้อมรอบด้วยภูเขาทั้งสามด้าน ด้านในมีแหล่งแร่เหล็กของทางการอยู่ 2 แห่ง แต่เนื่องจากการขนส่งมิสะดวกเท่าใดนัก แหล่งแร่เหล็กทั้งสองจึงมิได้นำออกมาใช้ประโยชน์มากนักพ่ะย่ะค่ะ”

นี่ถือเป็นข่าวดีมากเสียทีเดียว เพียงแค่มีแร่เหล็กก็จะสามารถจัดการปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากสำนักวิทยาศาสตร์ต้องการใช้แร่เหล็กจำนวนมากรวมถึงโลหะอื่น ๆ เช่นนี้ก็จะสามารถลดปัญหาการขนส่งเหล็กจากระยะไกลได้

“จากบันทึกของเขตชื่อพบว่าที่นั่นมีแหล่งแร่เหล็กขนาดใหญ่เลยทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ ก่อนหน้านี้ตระกูลโจวผู้ทรยศแคว้นก็ได้ส่งคนมาสำรวจเช่นกัน แต่เนื่องจากการขนส่งมิค่อยสะดวกมากนัก ท้ายที่สุดจึงละความพยายามไปพ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าจากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาอีกว่า “หากเปรียบเทียบระหว่างเขตชื่อกับเขตซื่อหยาง ทั้งสองเขตแตกต่างกันเยี่ยงไรบ้าง ? ”

“ทูลฝ่าบาท จำนวนประชากรเท่าเทียมกัน ทว่าเกษตรกรในเขตชื่อจะมากกว่าเล็กน้อย โดยมากเป็นเพราะบึงดำมีพื้นที่กว้างขวาง…มันจึงกินเนื้อที่ใช้สอยของเขตซื่อหยางไปมากโขเลยทีเดียว อีกทั้งกลิ่นเหม็นฉุนยังลอยไปไกล ในระยะร้อยลี้จึงมิมีผู้ใดอาศัยอยู่ ทำให้สูญเสียพื้นที่ไปโดยเปล่าประโยชน์พ่ะย่ะค่ะ”

“ในแต่ละปีประชากรที่หยู่โจวมีรายได้เท่าใด ? ”

หลัวปิงหลินนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะยกมือขึ้นคารวะแล้วทูลว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมรู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง เพราะสภาพแวดล้อมของสถานที่แห่งนี้แย่จนเกินไป เกษตรกรจึงทำการเพาะปลูกได้เพียงหนึ่งฤดูกาลเท่านั้น ผลผลิตที่ได้ก็น้อยเสียเหลือเกิน เขตเกาหยางเป็นพื้นที่ที่ดีที่สุดในหยู่โจว ซึ่งได้ทดลองปลูกเมล็ดพันธุ์ข้าวและมันเทศของฝ่าบาทในฤดูใบไม้ผลินี้แล้ว จะต้องรอจนถึงการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ถึงจะทราบว่าผลผลิตได้มากน้อยเพียงใดพ่ะย่ะค่ะ”

“เมื่อปีกลายฝ่าบาทได้รับสั่งให้สร้างถนน ผลคือถนนระหว่างเมืองในเซี่ยซานโจวยังคงอยู่ในกระบวนการก่อสร้าง กระหม่อมได้ให้เกษตรกรที่ว่างจากการเพาะปลูกมาช่วยงานก่อสร้างโดยจ่ายค่าตอบแทนตามที่ฝ่าบาทกำหนดเอาไว้คือคนละ 20 อีแปะ เกษตรกรเหล่านั้นต่างให้ความสนใจ ทว่าพวกเรามิมีเงินค่าจ้างมากนัก จึงกำหนดให้บุรุษแต่ละครัวเรือนมาได้เพียง 1 คนเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

“บัดนี้การสร้างถนนกลายเป็นรายได้หลักของพวกเขาไปแล้ว ส่วนรายได้อื่น ๆ กระหม่อมมิบังอาจปิดบังฝ่าบาทว่าพวกเขาแทบจะมิมีรายได้จากแหล่งอื่นเลย การที่พวกเขาสามารถกินอิ่มได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หลัวปิงหลินได้เตรียมใจที่จะโดนองค์จักรพรรดิตำหนิเอาไว้แล้ว เพราะตามปกติจักรพรรดิจะมิสนใจเหตุผล พระองค์ต้องการผลสำเร็จเท่านั้น พระองค์ทรงมิสนพระทัยว่าระหว่างนั้นต้องเผชิญกับปัญหาใดบ้าง

การที่โดนองค์จักรพรรดิตำหนิอาจจะทำให้พระองค์ได้ระบายความอึดอัดพระทัยได้บ้าง และมิสั่งลงโทษเขารุนแรงมากนัก

ในขณะที่หลัวปิงหลินกำลังกระวนกระวายใจอยู่นั้น ฟู่เสี่ยวกวนกลับมิได้แสดงท่าทีโมโหออกมาแต่อย่างใด ฟู่เสี่ยวกวนเพียงพยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น

จากนั้นไม่นานฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เอ่ยขึ้นมาว่า “อืม…ที่ท่านเอ่ยมานั้นเป็นเรื่องจริง ต่อจากนี้เจิ้นมีเรื่องหนึ่งที่จะมอบหมายให้ท่านรับผิดชอบ”

“เชิญฝ่าบาทบัญชามาเถิดพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“เรื่องแรก จงไปรวบรวมผู้ใช้แรงงานมาตัดถนนเข้าเหมืองในภูเขา ถนนนี้ต้องตัดไปถึงเขตซื่อหยาง ข้าต้องการให้ความกว้างของถนนเพียงพอสำหรับรถม้า 3 คันวิ่งผ่านได้”

หลัวปิงหลินชะงักงัน ฝ่าบาทจะขุดเหมืองเยี่ยงนั้นหรือ ?

“เรื่องที่สอง จงไปรวบรวมแรงงานมาเช่นกัน จากนั้นให้สร้างกำแพงอย่างแน่นหนาโดยห่างจากบึงดำ 100 ลี้ กำแพงนี้อาจเป็นกำแพงดินก็ได้ ทว่าต้องมีความกว้าง 3 ฉื่อและสูง 6 ฉื่อ จงจำเอาไว้ว่าต้องสร้างให้มั่นคง ! ”

“ภายในสิบวันเจิ้นจะมอบงบประมาณนี้แก่ท่าน กรมคลังจะเป็นผู้จ่ายเงินนี้ให้แก่รัฐหยู่โจว จงจำเอาไว้ให้ดีว่างบประมาณนี้ต้องนำไปใช้ในการก่อสร้างสิ่งเหล่านี้เท่านั้น หากท่านกล้าแตะต้องแม้แต่อีแปะเดียว เจิ้นมิปล่อยท่านไว้เป็นแน่ ! ”

หลัวปิงหลินรีบยกมือขึ้นคารวะ “กระหม่อมย่อมมิกล้านำไปใช้ส่วนตัวแม้แต่อีแปะเดียวอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ! ”

นี่เป็นเรื่องใหญ่โตเพียงใด !

การก่อสร้างทั้งสองสิ่งนี้มีขนาดใหญ่โตมากยิ่งนัก เกรงว่าต้องใช้แรงงานมากกว่าหนึ่งแสนคน บัดนี้เกษตรกรว่างจากการทำนาจำนวนมาก พวกเขาย่อมยินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับเงินค่าตอบแทนวันละ 20 อีแปะ

หากเป็นเช่นนี้เหล่าเกษตรกรก็จะมีรายได้มากขึ้นกว่าเดิมมิน้อย หลายปีต่อจากนี้แม้พวกเขาจะไร้งานก่อสร้างให้ทำ แต่พวกเขาก็จะมีเงินทุนสำหรับเลี้ยงเซียงจูอวี๋ห้าว

เขาพอจะเดาออกว่าเหตุผลที่ฝ่าบาทจะสร้างถนนคือสิ่งใด แต่เขามิเข้าใจว่าเหตุใดฝ่าบาทต้องสร้างกำแพงรอบบึงดำนั่นด้วย คาดว่าเป็นเพราะต้องการป้องกันมิให้กลิ่นเหม็นลอยเข้ามาในเมือง

“อ่า…จริงสิ เจิ้นได้แต่งตั้งนายอำเภอของเขตซื่อหยางขึ้นมาใหม่ เขาคือชายหนุ่มนามว่าเจียงซั่ง เป็นคนที่เชิญท่านเข้ามาเมื่อครู่ กรมขุนนางจะส่งหนังสือถึงท่านในภายหลัง และต่อจากนี้หนังสือจากท่านจงส่งมอบให้เขาโดยตรง”

“ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง การก่อสร้างทั้งสองสิ่งนี้ ข้าต้องการให้ท่านรีบจัดการโดยเร็วที่สุด ท่านอาจจะใช้คนจากอีกสองรัฐก็ย่อมได้ สั่งให้พวกเขาส่งแรงงานเข้ามา ท่านอย่าได้กังวลไปเลยว่าหากงานก่อสร้างเสร็จสิ้นในเวลาอันรวดเร็วแล้วราษฎรในพื้นที่ของท่านจะขาดรายได้”

“ข้าขอบอกกับท่านอย่างหนึ่งว่า หลังจากการก่อสร้างทั้งสองสิ่งนี้สิ้นสุดลง ราษฎรภายใต้การปกครองของท่านจะมีโอกาสในการทำงานมากขึ้น พวกเขาจะมีงานให้ทำมิขาดสาย รายได้ที่ได้รับย่อมมากกว่าตอนนี้หลายเท่า ! ”

“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”

เดิมทีหลัวปิงหลินตั้งใจไว้ว่าจะเก็บโครงการก่อสร้างทั้งสองนี้ไว้ให้ราษฎรภายใต้การปกครองของตนเอง บัดนี้เกรงว่าต้องละทิ้งความคิดนี้ไปเสียแล้ว

เขามิเข้าใจว่าโอกาสในการทำงานมากมายที่ฝ่าบาททรงตรัสเมื่อครู่จะมาจากที่ใด เพราะอย่างมากก็เป็นการขุดเหมืองแร่เท่านั้น

“น้ำมันดิบในหกรัฐแห่งเป่ยเซียวยังมีที่ใดอีกหรือไม่ ? ”

“ทูลฝ่าบาท มีเพียงเขตซื่อหยางเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ส่วนที่อื่นในเป่ยเซียวดูเหมือนจะมีการบันทึกไว้บ้างว่า ณ รัฐหวงโจวหนึ่งในสามรัฐทางตอนเหนือเคยปรากฏขึ้น ทว่าต่อมาถูกทรายสีเหลืองแดงกลบไปเสียแล้ว คาดว่าจะหาได้ยากยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

น่าเสียดายมากยิ่งนัก ! มิรู้ว่าที่นั่นมีปริมาณน้ำมันมากน้อยเพียงใด หวังว่ามันจะเป็นบ่อน้ำมันที่ใหญ่โตมโหฬาร

“เอาล่ะ… ท่านกลับไปทำแผนงบประมาณและประกาศให้ดี จงจำเอาไว้ว่าเมื่อกรมคลังมอบเงินมาแล้วให้รีบลงมือทันที ! ”