ตอนที่ 700 ฉินเฟยเหยียนปรากฏตัว

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ปัง !

หานโม่ฉือปล่อยหมัดออกไปจนเกิดเสียงดังขึ้นมา ทว่าก็ถูกผลักกระเด็นกลับมาโดยพลังมหาศาลของอีกฝ่ายจนมือของเขาชาไร้ความรู้สึกไปครู่หนึ่ง ต้องกล่าวเลยว่าพลังของคนผู้นี้ทรงพลังอย่างแท้จริง แม้แต่เขาก็ยากที่จะเทียบได้

“ฮือ…ฮือ…”

บุรุษผู้นั้นส่งเสียงเหมือนร่ำไห้ขณะยังปล่อยการโจมตีตรงเข้าใส่หานโม่ฉืออย่างไม่หยุดยั้ง

แน่นอนว่าหานโม่ฉือไม่คิดประมาท เวลานี้กระบี่เล่มยาวส่องแสงประกายปรากฏในมือของเขาอย่างรวดเร็ว

เมื่อเปรียบเทียบกันในด้านความแข็งแกร่งทางกายภาพ เขามิอาจต่อกรกับบุรุษตรงหน้าได้เลย เพราะเหตุนั้นเขาจึงจำเป็นต้องใช้อาวุธ ยิ่งไปกว่านั้น ฝูหยาจือก็ยังถูกกักขังอยู่ข้างในและไม่ว่าอย่างไร หานโม่ฉือจะต้องช่วยชีวิตเขาให้จงได้

การต่อสู้ของหานโม่ฉือก็ดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด ทว่าในอีกฝั่งหนึ่ง ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงกับการปรากฏตัวของสตรีผู้มาใหม่

สตรีผู้นั้นมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นฉินเฟยเหยียน—อดีตเทพมายาที่ฉินมู่ยวี่เชื่อว่าตายไปนานนับพันปีแล้ว

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟยเหยียนที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันในตอนนี้มิใช่ร่างที่แท้จริง ทว่าเป็นเพียงร่างอวตารของนาง ในเวลานี้ร่างที่แท้จริงของนางมิได้อยู่ในดินแดนเทพมายา เพียงแต่ก่อนหน้านี้นางสัมผัสได้ว่าฉินอวี้โม่มาถึงชนเผ่ามายาแล้วจึงอดมาดูด้วยตัวเองไม่ได้ ไม่คิดเลยว่านางจะมาทันเห็นภาพที่ฉินเหยียนกำลังจะปลิดชีพตัวเอง แน่นอนว่านางไม่อาจทนอยู่เฉยจึงตัดสินใจช่วยนางและปรากฏตัวตรงหน้าทุกคน

“เหยียนเอ๋อร์…”

ฉินอวี้โม่เรียกสติกลับคืนมาและเอ่ยออกไปพร้อมรอยยิ้มกว้าง กล่าวได้ว่าทั้งสองไม่ได้พบหน้ากันมานานนับพันปี เพราะถึงอย่างไรในการพบกันสองครั้งก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่ก็ยังไม่ได้ความทรงจำของชิงเหอกลับคืน ครานี้จึงถือได้ว่าเป็นการได้พบกันอีกครั้งอย่างเป็นทางการของพวกนางหลังจากเวลาล่วงเลยมาถึงนับพันปี

“ชิงเหอ ไม่ได้พบกันนานเลยนะ”

ฉินเฟยเหยียนก้าวออกมาสวมกอดฉินอวี้โม่ด้วยความดีใจและความรู้สึกของนางก็ยังคงเหมือนกับเมื่อพันปีก่อน

“ฉินเฟยเหยียน เหตุใด…เจ้าตายไปแล้วมิใช่รึ ?!”

สีหน้าของฉินมู่ยวี่ในตอนนี้เหยเกจนแทบดูไม่ได้ ก่อนหน้านี้นางไม่เชื่อว่าฉินเฟยเหยียนจะยังมีชีวิตอยู่จริง ทว่าการได้เห็นกับตาในตอนนี้ได้ขจัดความไม่เชื่อเหล่านั้นไปจากใจและหัวใจของนางก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนในทันที

“ฉินมู่ยวี่ เมื่อพันปีก่อน ในช่วงเวลาที่วิกฤตที่สุด…เจ้าแอบโจมตีข้าในขณะที่ไม่ทันตั้งตัว ทว่าน่าเสียดาย แทนที่จิตวิญญาณของข้าจะสลายหายไป การโจมตีของเจ้ากลับช่วยข้าไว้มาก”

ฉินเฟยเหยียนยิ้มบาง ๆ และสบตาของฉินมู่ยวี่ราวกับเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน

ครั้งหนึ่งนางเคยมองฉินมู่ยวี่เป็นดั่งน้องสาวคนสนิท ทว่าหลังจากเหตุการณ์ครานั้น นางและฉินมู่ยวี่ก็กลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันและความสัมพันธ์ที่ดีก่อนหน้านั้นไม่มีวันหวนคืนกลับมา

สาเหตุที่นางไม่ได้กลับไปเพื่อคิดบัญชีและปลิดชีพฉินมู่ยวี่ครานั้นก็เป็นเพราะฉินเฟยเหยียนไม่มีเวลามากพอ

ในเวลานั้น นางได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะฝีมือของฉินมู่ยวี่และจิตวิญญาณของนางก็เกือบจะสูญสลายไป ทว่าในตอนนั้นพลังของนางที่เคยติดชะงักอยู่ที่ขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดนานหลายปีกลับมีสัญญาณของการพัฒนาขึ้นมาอย่างกะทันหัน

เหมือนกับความเชื่อที่กล่าวกันไว้ว่าเมื่อคนเราถูกต้อนให้จนมุม มันก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสู้สุดชีวิตเท่านั้น เรียกว่าในความโชคร้ายครานั้นก็ยังมีความโชคดีแอบแฝงอยู่ซึ่งช่วยให้นางก้าวผ่านขีดจำกัดและทะลวงพลังเข้าสู่ขอบราชาเซียนได้ในที่สุด

หลังจากบรรลุเข้าสู่ขอบเขตดังกล่าว นางก็ได้ทราบถึงความลับปริศนาอีกมากมายและหนึ่งในนั้นก็คือความจริงเกี่ยวกับกฎเวียนแห่งสัจธรรมฟ้าและการกลับชาติมาเกิดใหม่

ในตอนนั้นชิงเหอตายไปและจิตวิญญาณสลายหายไป ทว่าเมื่อนางสัมผัสได้ว่าอวี้เฟิงกำลังจะใช้วิชาอัญเชิญจิต นางก็รีบมุ่งหน้าไปที่นั่นและถ่ายทอดกายเทพมายาเข้าไปสู่จิตวิญญาณของชิงเหอก่อนมองดูชิงเหอและอวี้เฟิงสลายหายไปในอากาศด้วยกัน และในตอนนั้นเองที่จู่ ๆ ฉินเฟยเหยียนก็รู้สึกถึงความโดดเดี่ยวเป็นอย่างมาก

นางไม่เคยตกหลุมรักผู้ใดและไม่เคยได้ประสบกับความรู้สึกที่ลึกซึ้งเช่นความรู้สึกที่ชิงเหอและอวี้เฟิงมีต่อกัน จู่ ๆ ในตอนนั้นนางก็มีความปรารถนาขึ้นมาและหวังว่าจะได้พบใครสักคนที่ปฏิบัติต่อนางเช่นเดียวกับที่อวี้เฟิงทำเพื่อชิงเหอ

หลังจากนั้นนางก็ต้องการกลับมาที่ชนเผ่ามายาเพื่อสะสางปัญหาทุกอย่างกับฉินมู่ยวี่ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียน นางจึงไม่สามารถอาศัยอยู่ในดินแดนเทพมายาได้นานนัก

เนื่องจากตอนนั้นพลังของซิวอยู่ในขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุด ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอสูรแห่งโชคชะตาของนาง ทว่าก็ไม่มีทางที่มันจะเดินทางไปยังดินแดนระดับสูงกับนางได้ หลังจากหารือกับซิว นางจึงตัดสินใจที่จะส่งซิวไปที่ดินแดนหวนหลิง

หลังจากนั้น นางก็มุ่งหน้าไปสู่ดินแดนระดับสูงและก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับระดับพลังที่สูงขึ้นเช่นกัน

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เคยทราบมาก่อน และได้ทราบถึงเรื่องวัฏจักรของกฎแห่งกรรม นี่ก็ทำให้นางเชื่อมั่นว่าฉินมู่ยวี่จะต้องได้รับบทเรียนในอีกไม่นาน เพราะเหตุนั้นนางจึงไม่เคยคิดที่จะกลับมาที่ดินแดนเทพมายา

จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ นางรู้สึกได้ว่าชิงเหอได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้ว นางจึงมีความคิดที่จะกลับมาที่นี่ หลังจากไม่ได้พบกันนานนับพันปี แน่นอนว่านางย่อมคิดถึงสหายรักผู้นี้เป็นธรรมดา

“หากมิใช่เพราะการทรยศของเจ้าในตอนนั้น ข้าก็คงไม่มีโอกาสก้าวผ่านขีดจำกัดของตนเองและทะลวงพลังได้สำเร็จ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้เจ้าเคยทำในสิ่งที่ผิดพลาดมากมาย ทว่าเจ้าก็ไม่เคยทำสิ่งใดที่เป็นภัยต่อชนเผ่ามายาโดยตรง ไม่เช่นนั้น…ข้าก็คงจะมาที่นี่และฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าเองไปนานแล้ว !”

ฉินเฟยเหยียนชำเลืองมองฉินมู่ยวี่ด้วยแววตาเฉยเมย ฉินมู่ยวี่ผู้นี้ แม้เคยทำในสิ่งที่ผิดพลาดมามากและคิดทรยศต่อนางในครานั้น ทว่าทุกอย่างก็เพื่อตำแหน่งผู้นำของชนเผ่ามายา นางไม่เคยคิดร้ายต่อชนเผ่าและไม่คิดที่จะร่วมมือกับฝ่ายมาร

และนั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ฉินเฟยเหยียนปล่อยให้ฉินมู่ยวี่ได้มีชีวิตมาตลอดและไม่เคยกลับมาจัดการกับนาง

“ฮ่า ๆ ๆ ฉินเฟยเหยียน ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าความตายของเจ้าเมื่อพันปีก่อนเป็นเพียงเรื่องตลกอย่างหนึ่ง เจ้าหลอกลวงข้ามาตลอดหลายปี รวมถึงหลอกลวงทุกคนในชนเผ่ามายามาตลอดหลายปีเช่นกัน !”

จู่ ๆ ฉินมู่ยวี่ก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง นางเคยคิดว่าศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของนางได้ตายไปแล้วและตนเองคว้าชัยชนะมาได้ตลอด ไม่คิดเลยว่าแท้ที่จริงนางยังด้อยกว่าฉินเฟยเหยียนไม่เคยเปลี่ยน

เดิมทีฉินมู่ยวี่และฉินเฟยเหยียนเคยเป็นดั่งคู่หูดาวเด่นของชนเผ่ามายาซึ่งมีพรสวรรค์ที่ไม่ต่างกันนัก เพียงแต่การที่ฉินเฟยเหยียนครองกายวิเศษอย่างกายเทพมายา นางจึงแข็งแกร่งกว่าฉินมู่ยวี่นับร้อยเท่าและมีชื่อเสียงเกียรติยศในชนเผ่ามายาที่สูงกว่ามาก

ยิ่งไปกว่านั้น มิตรสหายของฉินเหยียนก็ล้วนแต่ยอดเยี่ยมและเหนือชั้นกว่าคนรู้จักของนางทั้งสิ้น ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ฉินมู่ยวี่ไม่เคยมีมิตรสหายที่จริงใจต่อนางแม้แต่คนเดียว

นางไม่ต้องการยอมจำนนและไม่ต้องการอยู่ภายใต้อำนาจของฉินเฟยเหยียนอีกต่อไป เป็นเพราะเหตุนั้นเมื่อพันปีก่อน นางจึงตัดสินใจทำเช่นนั้นลงไป แต่ทว่า…เหตุใดนางจึงยังล้มเหลวอีก ? ฉินเฟยเหยียนยังคงโชคดีไม่เปลี่ยนแปลง และนั่นมิใช่เป็นเพียงความโชคดีธรรมดา ๆ เท่านั้น หากแต่เป็นความโชคดีที่แฝงมาในช่วงเวลาอันเลวร้าย โชคชะตาของฉินเฟยเหยียนทำให้ความภาคภูมิใจของฉินมู่ยวี่ที่มีตลอดหลายปีที่ผ่านมาเป็นได้เพียงเรื่องที่ตลกขบขันเท่านั้น…

“ฉินมู่ยวี่ ได้เวลาที่ต้องเข้าใจแล้ว ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าเพราะเห็นว่าเจ้าปกครองชนเผ่ามายาเป็นอย่างดีมาตลอด พาคนของเจ้าและออกไปจากชนเผ่ามายาซะ !”

ฉินเฟยเหยียนกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่ปล่อยให้ชนเผ่ามายาตกอยู่ในมือของผู้ทรยศได้อีกต่อไป ตอนนี้ในเมื่อฉินอวี้โม่ปรากฏตัวแล้ว ตำแหน่งผู้นำชนเผ่ามายาก็ควรจะเป็นของนาง

ยิ่งไปกว่านั้น สงครามกับฝ่ายมารก็จะมาถึงในอีกไม่นานและชนเผ่ามายาก็จำเป็นต้องมีผู้ที่ไว้วางใจได้คอยปกครองดูแล

“ทำไมกัน ? ผู้ที่มีกายเทพมายาก็คือเทพมายา และยังต้องเป็นผู้นำของชนเผ่ามายา…นี่มันกฎบ้าบออะไรกัน ?!”

ฉินมู่ยวี่แสยะยิ้มโดยไม่แสดงถึงความโกรธแค้นและกล่าวต่อ “ฉินเฟยเหยียน เรื่องนี้ง่ายมาก…หากเจ้าอยากได้ตำแหน่งผู้นำชนเผ่ามายาคืน เจ้าต้องเอาชนะข้าให้ได้เสียก่อน มิฉะนั้น ข้าไม่มีทางยอมแพ้แน่ !”

เมื่อเห็นท่าทางดื้อรั้นไม่ยินยอมง่าย ๆ ของฉินมู่ยวี่ ฉินเฟยเหยียนก็ได้เพียงส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา

“ชิงเหอ ร่างอวตารของข้าไม่สามารถแสดงพลังออกมาได้มากนัก ตอนนี้เจ้าเป็นเทพมายาคนใหม่และมีสิทธิ์สืบทอดตำแหน่งผู้นำของชนเผ่ามายา ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอย่างไร…ข้าขอให้เจ้าต่อสู้แทนข้าได้รึไม่ ?”

ฉินเฟยเหยียนหันไปกล่าวกับฉินอวี้โม่และเห็นความมั่นใจในแววตาของนาง นางทราบถึงความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ดีกว่าใคร แน่นอนว่านางเชื่อมั่นใจตัวฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก

“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะเรียกข้าว่าอวี้โม่แทนชิงเหอ เมื่อพันปีก่อน ชิงเหอได้จากไปแล้วโดยหลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์จนเกิดใหม่กลายเป็นฉินอวี้โม่ !”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับ นี่คือความรับผิดชอบของนางและนางไม่คิดขัดข้องใด ๆ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางเพียงต้องการใช้ชื่อฉินอวี้โม่ของตน ชิงเหอเป็นเพียงชื่อในอดีตเท่านั้น

“เข้าใจแล้ว อวี้โม่”

ฉินเฟยเหยียนยิ้มและมองฉินอวี้โม่ด้วยความเข้าใจไม่เปลี่ยนแปลงจากเมื่อพันปีก่อน

“ฉินมู่ยวี่ เจ้าอยากรู้มาตลอดมิใช่รึว่าระหว่างเจ้าและเฟยเหยียน ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน ?  ตอนนี้เจ้ามีโอกาสแล้ว ตราบใดที่เอาชนะข้าได้ มันจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าดีกว่าเฟยเหยียน แต่หากเจ้าแพ้ เจ้าจะต้องชดใช้อย่างสาสม !”

ฉินอวี้โม่มองฉินมู่ยวี่และกล่าวขึ้นเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงเจือความมุ่งร้าย

“ฮ่า ๆ ๆ ฉินอวี้โม่ คิดจะมาสู้กับข้าทำไมกัน ! ข้ารู้ว่าซิวอยู่กับเจ้า…แต่ก็แล้วอย่างไรล่ะ ? ถึงแม้ว่าเมื่อพันปีก่อนข้าจะมิใช่คู่มือของฉินเฟยเหยียน เจ้าคิดว่าตอนนี้ข้าจะเอาชนะเจ้าไม่ได้งั้นรึ ?”

ฉินมู่ยวี่ยิ้มเยาะขณะมองฉินอวี้โม่ด้วยความเย้ยหยันและเหยียดหยามชัดเจนในแววตา สำหรับการเอาชนะฉินอวี้โม่ผู้นี้ นางก็เชื่อว่าจะทำได้โดยไม่มีปัญหา

“ฉินมู่ยวี่ เรามาสะสางทุกอย่างให้จบสิ้นในวันนี้เถอะ !”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ฉินอวี้โม่และฉินเฟยเหยียนก็เผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นร่างของซิวก็ปรากฏข้างกายฉินอวี้โม่อย่างกะทันหัน

“เหอะ นายหญิง ท่านใจร้ายชะมัด ท่านให้ข้าเฝ้ารออย่างโดดเดี่ยวอยู่ในดินแดนหวนหลิงนานนับพันปีและออกไปมีความสุขคนเดียว”

ซิวมองไปที่ฉินเฟยเหยียน —อดีตนายหญิงของตนด้วยแววตาไม่สบอารมณ์นัก

“โอ้ เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นนายหญิงที่แท้จริงของซิว หลังจากที่ได้ติดตามเจ้า ศักยภาพของมันก็เพิ่มขึ้นจนมีโอกาสที่จะทะลวงพลังไปสู่ระดับราชาเซียนได้”

ฉินเฟยเหยียนหัวเราะเบา ๆ นางรู้จักนิสัยใจคอของซิวเป็นอย่างดีและไม่กล่าวสิ่งใดนัก

“ฉินมู่ยวี่ ปล่อยฉินเหยียนไปซะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนาง”

เมื่อเห็นฉินเหยียนที่มีใบหน้าซีดเซียวเต็มทีและเห็นฉินเฟิงที่เป็นกังวลอย่างยิ่ง ฉินอวี้โม่จึงกล่าวขึ้นมา

“จุดประสงค์ของการจับตัวฉินเหยียนไว้ก็เพื่อล่อลวงให้พวกเจ้าโผล่หัวออกมา ในเมื่อตอนนี้นางไร้ประโยชน์แล้ว อยากได้ก็เอาไปเถอะ !”

ครานี้ฉินมู่ยวี่ไม่ปฏิเสธและสั่งคนของตนให้โยนฉินเหยียนออกไปทันที

ร่างของฉินเฟิงก็พุ่งตรงออกมารับร่างของฉินเหยียนที่อ่อนแรงไว้ก่อนที่นางจะล้มลงพื้น

“ฉินเหยียน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?”

ฉินเฟิงมองสตรีในอ้อมแขนและกล่าวถามด้วยความเป็นห่วงเป็นกังวล

“ข้าไม่เป็นไร ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้ทำให้ท่านผิดหวัง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าปกป้องท่านลุงฝูหยาจืออย่างสุดความสามารถ

ฉินเหยียนพยายามฝืนยิ้มออกมาและเอนกายพิงอ้อมแขนของเขาด้วยความอ่อนล้า

“ยัยโง่เอ๋ย…ไปกับข้าเถอะ !”

ฉินเฟิงกล่าวขึ้นมา เวลานี้เขาไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากรีบพาฉินเหยียนออกไปจากความวุ่นวายทั้งหมดนี้และครองรักอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

“เข้าใจแล้ว ข้าจะไปกับท่านเมื่อเรื่องของชนเผ่ามายาสิ้นสุดลง เราจะออกไปท่องยุทธภพด้วยกันและเลิกสนใจเรื่องราวน่าปวดหัวเหล่านี้”

ฉินเหยียนพยักศีรษะอย่างแรงและยิ้มร่าพลางสบตาฉินเฟิง

“ฉินอวี้โม่ รับการโจมตีของข้าไปซะ !”

ฉินมู่ยวี่ชำเลืองมองฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ด้วยแววตาดุดัน จากนั้นนางก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและพลังมหาศาลในร่างของตนแผ่ออกไปอย่างเปิดเผย

.