ตอนที่ 484 กลับชาติมาเกิด

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ฝ่าพระหัตถ์มีแต่ความเย็น เย็นจนซึมลึกเข้าไปถึงกระดูก ทั้งยังสั่นสะท้านน้อยๆ 

 

 

ทรงจับตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแน่นหนา จนนางเจ็บ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหันกลับไปมองดูเขา เห็นประกายตาของเขาแปลกไปอย่างที่นางไม่เคยได้เห็นมาก่อน 

 

 

หมอกสีดำภายในร่างของเขาเหมือนกับไม่อาจรักษาสภาพที่สมดุลเอาไว้ได้ มันกระจายออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง ตรงหัวคิ้วคล้ายกับมีบางอย่างกำลังจะล้นออกมา 

 

 

หมอกสีดำเหล่านั้นเป็นเหมือนกับหยดน้ำที่ไหลไปสู่ทะเล พัดพาตนเองไปทาง…..ท่านอาจารย์? 

 

 

ขณะเดียวกันร่างกายของจีเฉวียนก็เริ่มกลายเป็นสภาพที่ไม่คงที่ เพียงแค่ครู่เดียวก็เริ่มกลายเป็นกึ่งโปร่งแสง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรีบหันกลับไปจับมือของเขาเอาไว้ นางรีบฉวยเอายันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งขึ้นมา แล้วผนึกลงไปในร่างของเขาทันที เพื่อช่วยควบคุมสมดุลของหมอกดำในร่างของเขา 

 

 

อยู่ๆร่างกายของจีเฉวียนก็เกิดปฏิกริยาเช่นนี้ขึ้นมา แม้แต่นางก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น 

 

 

นางพยายามรักษาความสมดุลของเขาเอาไว้ จากนั้นก็หันไปมองดูท่านอาจารย์ของตนเอง 

 

 

หมอกดำเหล่านั้นไหลไปผนึกรวมเข้ากับท่านอาจารย์ ราวกับว่าเดิมทีก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของเขามาก่อน 

 

 

พอนางหันไปมอง ก็ได้สบตาเข้ากับซื่อมั่วที่มองมาพอดี เขายื่นมือมาทางนาง ค้างเอาไว้กลางอากาศ 

 

 

“ศิษย์เอ๋ย” ซื่อมั่วเรียกหานางอีกครั้ง 

 

 

รอบกายของเขามีแต่ไอดำที่มืดทึบ ราวกับว่าตอนนี้ที่ตรงนั้นไม่ใช่ห้องภายในอาคารขนาดใหญ่ แต่ว่าเป็นพื้นที่ในสนามรบที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นโลหิต 

 

 

เห็นตู๋กูซิงหลันไม่ยอมไป เขาก็ปล่อยมือลง เก็บพลองในมือ เดินเข้าไปหา 

 

 

ปีศาจตนนั้นอยู่ใกล้กับเขาเพียงแค่มือคว้า แต่ก็ไม่ได้เคลื่อนไหววู่วาม 

 

 

นางเพียงแต่กุมหัวที่มีเลือดไหลออกมาไม่ยอมหยุด จับตายืนมองอยู่ด้านข้าง 

 

 

พอซื่อมั่วเดินมาถึงข้างกายตู๋กูซิงหลัน หมอกดำในร่างกายของจีเฉวียนที่พึ่งจะสงบลงก็ฟุ้งกระจายออกมาจนควบคุมไม่ได้อีกครั้ง 

 

 

ขณะที่ซื่อมั่วเข้ามาใกล้ กระดูกในร่างของพระองค์ก็ส่งเสียงแตกเปรี้ยะดังลั่น ราวกับว่าจะแตกสลายลงตรงหน้า นั่นเป็นความเจ็บปวดที่ยิ่งกว่าพันดาบหมื่นกระบี่เสียอีก 

 

 

พละกำลังในร่างถูกดูดออกไปไม่ยอมหยุด 

 

 

ซื่อมั่วเหลือบตามองดูเขาแวบหนึ่ง ก็หันไปมองตู๋กูซิงหลันอีกครั้ง “ศิษย์เอ๋ย เดิมที่เขาก็สมควรจะดับสูญตั้งแต่ที่ก้นทะเลลึกแล้ว” 

 

 

‘เขา’ คนนั้น ย่อมหมายถึงจีเฉวียน 

 

 

“ท่านอาจารย์…..” ตู๋กูซิงหลันหยิบยันต์สีเหลืองขึ้นมาอีก คิดจะช่วยจีเฉวียนควบคุมสภาพภายในร่างกาย 

 

 

กลับเห็นซื่อมั่วยื่นมือออกมา คว้าข้อมือของนางเอาไว้ ยับยั้งความเคลื่อนไหวของนาง 

 

 

“ผู้คนในโลกหล้า ต่างก็มีชะตาลิขิตของตนเอง ใครก็ไม่อาจยับยั้งเอาไว้ได้” 

 

 

น้ำเสียงของซื่อมั่ว คล้ายกับดังมาจากความว่างเปล่า แฝงด้วยพลังที่โน้มน้าวผู้คน 

 

 

“ข้าบอกเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว…..เขาเกิดมาเพื่อปกป้องใต้หล้าจนตัวตาย อาจารย์ทำตามความปรารถนาของเจ้า ฝืนลิขิตชีวิตไปแล้วครั้งหนึ่ง” 

 

 

มือของซื่อมั่วเย็นชืด เช่นเดียวกันกับพระหัตถ์ของจีเฉวียน 

 

 

ร่างกายของจีเฉวียน ดูผ่ายผอมลงไปอีก ริมฝีปากซีดขาว ชืดจนดูไม่สู้ดี 

 

 

ดวงหน้าที่เคยสงบนิ่งราวกับไร้ความเปลี่ยนแปลงตลอดพันปี และผลักไสผู้คนให้ถอยห่างออกไปอยู่เสมอ ตอนนี้เย็นเฉียบจนเห็นได้ชัด 

 

 

“อาจารย์…ข้าไม่เคยเชื่อในชะตาลิขิตมาก่อน” ตู๋กูซิงหลันมองไปที่เขา มืออีกข้างหนึ่งก็หยิบยันต์สีเหลืองขึ้นมา ผนึกลงไปที่ร่างของจีเฉวียน 

 

 

ยามนี้จีเฉวียนเหมือนกับตกลงไปในฝันร้าย ทั่วทั้งร่ายแข็งทื่อราวกับกลายเป็นก้อนหิน ไม่อาจพูด ไม่อาจส่งเสียงหรือเคลื่อนไหว แม้แต่ดวงตาก็กระพริบไม่ได้ 

 

 

หากมิใช่เพราะว่าตู๋กูซิงหลันยังสัมผัสได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นอยู่ของเขา ก็คงจะเข้าใจไปว่า…..เขาเป็นเพียงรูปปั้นเท่านั้น 

 

 

“พูดถึงที่สุด ก็คือเจ้าไม่อาจละวางฮ่องเต้มนุษย์ผู้นี้ได้นั่นเอง?” มือของซื่อมั่วที่คว้าข้อมือของนางเอาไว้เพิ่มกำลังขึ้นมาอีก 

 

 

แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้นางรู้สึกเจ็บปวด 

 

 

เขากระแอมเสียงคำหนึ่ง ในแววตาปรากฏรอยคลื่นจางๆ จับจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลัน “เป็นดังที่เจ้าวิญญาณทมิฬว่าเอาไว้ เจ้าชอบเขาเข้าแล้ว?” 

 

 

วิญญาณทมิฬนั่น….ตอนแรกที่กลับมาโลกปัจจุบันในวันแรกๆก็สงบเสงี่ยมอยู่ในเงาของนาง แต่ได้เพียงไม่กี่วันก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ที่แท้ก็วิ่งไปชิงฟ้องท่านอาจารย์นั่นเอง? 

 

 

สถานที่อย่างธารน้ำพุเหลืองนั่น มันสามารถไปได้?  

 

 

ตู๋กูซิงหลันกุมทรวงอกเอาไว้ ก้มหน้าลง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ 

 

 

ไม่ปฏิเสธ ก็เท่ากับยอมรับแล้ว 

 

 

แววตาของซื่อมั่วลึกล้ำกว่าเดิม ทั้งยังสาดประกายเย็นราวน้ำแข็งออกมา 

 

 

“ท่านอาจารย์….ในชีวิตที่ผ่านมา ศิษย์ไม่เคยชื่นชอบใครมาก่อน…..ข้าไม่อยากให้เขาตาย” 

 

 

นางเงยหน้าขึ้นมา สองตามองกลับไปที่ซื่อมั่ว 

 

 

พอมองเห็นหมอกดำที่เคลื่อนไหวอยู่บนร่างของซื่อมั่ว ในที่สุดนางก็ต้องเอ่ยขึ้นอีกครั้ง 

 

 

“จีเฉวียนกับท่านอาจารย์…..ที่จริงแล้วเกี่ยวพันกันอย่างไรกันแน่? ทำไมพอท่านอาจารย์ปรากฏตัว …..เขาก็เหมือนกันว่า…..จะสลายไปจากโลกนี้ขึ้นมา?” 

 

 

พอร่างกายของจีเฉวียนเปลี่ยนเป็นกึ่งโปร่งใส ตู๋กูซิงหลันที่เยือกเย็นมาตลอด ในใจก็ต้องว้าวุ่นไปหมด 

 

 

โดยเฉพาะตอนนี้….นางเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว 

 

 

ที่บั้นเอวของจีเฉวียน มีรอยประทับดอกบัวสีดำทองเหมือนกับของท่านอาจารย์ 

 

 

ตั้งแต่แวบแรกที่นางได้เห็น ก็สมควรคาดเดาได้แล้วว่า เขากับท่านอาจารย์จะต้องมีความเกี่ยวข้องที่ใกล้ชิดกันอย่างแน่นอน 

 

 

“เจ้าอยากรู้อย่างนั้นหรือ?” ซือมั่วมองดูท่าทีของนาง มือที่กำไว้แน่นก็ค่อยๆคลายออก จากนั้นฝ่ามือใหญ่ของเขาก็ลูบลงไปบนศีรษะของนางอย่างแผ่วเบา 

 

 

ค่อยถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง “หากเจ้าอยากจะรู้ละก็ อาจารย์ก็จะบอกเจ้า” 

 

 

เขาโปรดปรานศิษย์ผู้นี่มาโดยตลอด ไม่ว่าต้องการอะไรก็ให้โดยไม่เคยมีเงื่อนไข 

 

 

แม้แต่ชีวิตนี้ หากต้องการก็สามารถมอบให้ได้ 

 

 

เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่า…..นางจะได้บังเอิญพบกับจีเฉวียนในโลกโบราณ 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น…..ถึงกับหลงรักจีเฉวียนเข้า 

 

 

พอซื่อมั่วรับปาก โบกมือครั้งหนึ่ง ภาพเบื้องหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไปในทันที 

 

 

ที่นี่มิใช่ร้านขายเสื้อผ้าในห้างสือไต้อีกต่อไป หากแต่เป็นประตูทางเข้าสำนักภูติลึกลับในหุบเขาปีศาจ 

 

 

นี่คือวิชาเวทย์เฉพาะตัวของซื่อมั่ว เวทย์เคลื่อนย้าย 

 

 

ที่สามารถพานางและจีเฉวียนไปจากห้างสือไต้กลับมายังหุบเขาปีศาจได้ในชั่วแวบเดียว 

 

 

สำนักภูติลึกลับกับสวนกุหลาบของตู๋กูซิงหลันห่างกันไม่ไกล เพียงแต่ที่นี่เป็นเรือนที่สร้างขึ้นจากไม้ทั้งหลัง 

 

 

ให้กลิ่นอายโบราณและกลิ่นไม้หอม ราวกับเรือนโบราณในเจียงหนาน 

 

 

ซื่อมั่ว จีเฉวียน ตู๋กูซิงหลัน สามคนอยู่ในห้อง ห้องหนึ่ง 

 

 

ส่วนเจ้าปีศาจที่มีแต่เลือดท่วมตัวตนนั้น ถูกขับไล่ออกไป 

 

 

ที่ซื่อมั่วช่วยนางเอาไว้ เพราะความที่พวกเขาเคยเป็นนายบ่าวกันมาก่อน ในเมื่อชะตานางยังไม่ถึงฆาต เขาก็ยื่นช่วยเหลือ 

 

 

จีเฉวียนยังคงไม่อาจเคลื่อนไหวร่างกายได้เช่นเดิม ตู๋กูซิงหลันพบว่าร่างกายของเขายิ่งทียิ่งเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง คนใกล้จะกลายเป็นก้อนหินเข้าไปทุกที 

 

 

สถานการณ์เช่นนี้ …… เหมือนกับว่าหากอยู่ห่างจากท่านอาจารย์สักหน่อย ก็จะขึ้นอีกสักนิด 

 

 

ซื่อมั่วนั่งลงบนเก้าอี้ มองดูศิษย์รักที่อยู่ข้างกาย พอคิดขึ้นมาว่านางชอบฮ่องเต้ชาวมนุษย์ผู้นี้เข้าแล้ว เบื้องลึกของแววตาก็ไหววูบอย่างปิดไม่อยู่ 

 

 

“ฮ่องเต้ชาวมนุษย์ผู้นี้…..ก็คือข้า แต่ก็ไม่ใช่ข้า” 

 

 

เนิ่นนาน ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากขึ้นมา 

 

 

แค่ประโยคเดียวก็ทำเอาตู๋กูซิงหลันมึนงงไปชั่วครู่ นางถึงได้ค่อยสงบนิ่งลงได้ 

 

 

นางไม่ได้สอบถามต่อไป แต่รอคอยให้ซื่อมั่วอธิบายต่อด้วยตนเอง 

 

 

“วิธีที่จะก้าวข้ามการบำเพ็ญเพียร มีทั้งการรับสายฟ้าฟาดจากสวรรค์และ การผ่านการจุติกลับมาเกิดใหม่ เจ้าอยู่ที่เขาปีศาจมานานปี สมควรเข้าใจดี” 

 

 

ซื่อมั่วนั่งลงอย่างตามสบาย ด้วยท่าประจำที่คุ้นเคย 

 

 

“ใต้หล้ามีหมื่นสรรพสัตว์ หากชีวิตล้วนมีขีดจำกัด หยินหยางสมดุล ต่อให้เป็นเทพไท้ที่สูงส่งบนสวรรค์ก็มิใช่ว่าจะยืนยงได้ตลอดไป” 

 

 

“เราผู้เป็นอาจารย์คงอยู่มาไม่รู้เนิ่นนานเพียงไรแล้ว สายฟ้าจากสวรรค์ไม่มีผลกับข้ามาเนิ่นนานแล้ว ….มีแต่ทุกหมื่นปี ต้องข้ามผ่านการเกิดใหม่สักครั้ง” 

 

 

ดังนั้นยามเกิดใหม่…..จุติลงมาบนโลก…..อาจจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ หรือดอกไม้ใบหญ้า 

 

 

…………………………………….