ตอนที่ 1363 เมื่อนานมาแล้ว โดย Ink Stone_Fantasy
ตอนนี้ตรงหน้าโรแลนด์มีทางเลือกอยู่สามทางเลือก หนึ่งคือใช้ประโยชน์จากโอกาสที่วัลคีรีย์สร้างขึ้นมาในการลอบสังหารเฮคซอด ตัวเลือกนี้ความเสี่ยงแทบจะเป็นศูนย์ เท่ากับว่าเขาสังหารราชาปีศาจตัวหนึ่งได้โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย
เมื่อคิดถึงความยากในการยกระดับเป็นปีศาจระดับสูงและความสามารถพิเศษของเฮคซอด วิธีนี้เรียกได้ว่าสร้างประโยชน์ให้กับแนวหน้าอย่างมาก หลังจากนั้นค่อยบอกไปว่าที่อีกฝ่ายไม่สามารถมาตามนัดได้นั้นเป็นเพราะอุบัติเหตุหรือไม่เป็นปัจจัยอื่น ซึ่งโอกาสที่วัลคีรีย์จะรู้ความจริงนั้นมีน้อยมาก ถ้าโชคดีมากพอก็อาจจะล่อราชาตัวหนึ่งมาได้อีก
ตัวเลือกที่สองคือปล่อยให้เฮคซอดเข้ามาในโลกแห่งความฝันเพื่อพูดคุยกับวัลคีรีย์ เนื่องจากวัลคีรีย์ได้บอกแผนการที่จะร่วมมือออกมาคร่าวๆ แล้ว ด้วยเหตุนี้ปัจจัยสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ตัวไนท์แมร์ หากแต่อยู่ที่สกายลอร์ด สถานการณ์ที่ดีที่สุดที่เขาอยากให้เกิดขึ้นคือหลังจากไนท์แมร์ได้รับการยืนยันเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้ว มันก็พูดกล่อมสกายลอร์ดให้ถอนทัพออกไปจากอาณาจักรของมนุษย์ แล้วก็ป่าวประกาศเรื่องที่จำเป็นต้องหยุดยั้งสงครามแห่งโชคชะตาให้เผ่าพันธุ์ปีศาจรับรู้ แบบนี้เส้นทางจากอีเทอร์นอลไนท์ไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์ก็เรียกได้ว่าไร้อุปสรรค ขอเพียงกำจัดเทวทูตตัวสุดท้ายแล้ว เขาก็จะได้เจอกับพระเจ้าในบอทธ่อมเลสแลนด์
ถ้านี่เป็นเพียงสงครามระหว่างมนุษย์กับปีศาจ โรแลนด์คงจะเลือกทางเลือกแรกอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะหากกำจัดเฮคซอดไป เขากลับจะมีแต่ได้ไม่มีเสีย กองทัพที่หนึ่งก็จะได้เปรียบในการรบทางเหนือ ยิ่งเวลาทอดออกไปยาวมากขึ้น ศักยภาพของสงครามที่ถูกทำให้เป็นอุตสาหกรรมก็จะยิ่งแสดงออกมาได้อย่างเต็มที่
แต่หากมองออกไปให้กว้างขึ้น สถานการณ์มันก็จะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
นอกจากปีศาจกับอาณาจักรซีสกายแล้ว ภัยคุกคามของพระเจ้านั้นคืบใกล้เข้ามาอย่างเห็นได้ชัด การสังหารสกายลอร์ดเพียงตัวเดียวไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากขนาดนั้น ต่อให้เอาชนะสงครามแห่งโชคชะตาได้แล้ว อารยธรรมของมนุษย์ก็หนีไม่พ้นผลลัพธ์ที่ต้องถูกทำลายอยู่ดี
อย่างน้อยโรแลนด์ก็คิดไม่ออกว่าเขาจะหนีรอดไปจากหายนะที่น่าหวาดกลัวนี้ได้อย่างไร
เวลาไม่ได้ยืนอยู่ข้างพวกเขาเลย
น่าจะเป็นเพราะมองเห็นในจุดนี้ วัลคีรีย์ถึงได้เลือกที่จะเสี่ยง
ต้องยอมรับเลยว่าการทำแบบนี้ได้เผยให้เห็นถึงความจริงใจของมัน อย่างน้อยหลังจากที่มันได้เห็นการกัดกินและการลอบโจมตีของเทวทูตด้วยตาตัวเอง มันก็เริ่มมองคำเตือนของมิสต์เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องกลับมาครุ่นคิด
ปัญหาคือทรานฟอร์มเมอร์นั้นมีอิทธิพลต่อไนท์แมร์อย่างมาก เรียกได้ว่ามันได้ปลูกความคิดนี้ลงไปในหัวไนท์แมร์ตั้งแต่ก่อนที่สงครามแห่งโชคชะตาจะอุบัติขึ้น การที่ไนท์แมร์สามารถวางเรื่องแพ้ชนะในการทำสงครามเอาไว้ก่อน แล้วมองดูสถานการณ์จากในมุมมองที่สูงขึ้นไปเพื่อช่วงชิงโอกาสที่จะทำให้เผ่าพันธุ์มีชีวิตรอดนั้นเรียกได้ว่าความพยายามของทรานฟอร์มเมอร์ได้สัมฤทธิ์ผลแล้ว
แต่เฮคซอดยังไม่เคยมีประสบการณ์ในด้านนี้ หลังจากพูดคุยกันแล้วมันจะเห็นด้วยกับวัลคีรีย์หรือเปล่าก็ยังไม่อาจรู้ได้ ปกติแล้วเรื่องที่เกี่ยวพันกับความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์นั้นไม่ใช่เรื่องที่จะสรุปได้ในการพูดคุยเพียงแค่ครั้งเดียว ซึ่งเมื่อจำนวนครั้งที่มาเจอหน้ากันในโลกแห่งความฝันยิ่งมากขึ้น ความเสี่ยงที่ตามมาก็จะยิ่งมากขึ้น ซึ่งนี้เป็นเรื่องที่โรแลนด์ยากที่จะยอมรับได้
ซึ่งในตอนนี้เขาค่อนข้างเอนเอียงไปทางตัวเลือกที่สามมากกว่า
นั่นก็คือรักษาสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้เอาไว้ แล้วพยายามใช้กำลังของมนุษย์ในการเดินทางไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์ที่อยู่ปลายสุดของทวีป
บอกตามตรง ตัวเลือกนี้เหมาะกับสไตล์ของโรแลนด์มากที่สุด เขาก็เป็นเป้าหมายที่เขาพยายามไล่ตามมาตลอด — ไม่ว่าปีศาจจะตอบโต้กลับมาอย่างไร มนุษย์ก็มีความสามารถที่จะเดินทางเป็นพันๆ กิโลเพื่อไปยังจุดหมายที่ต้องการ นั่นต่างหากถึงจะเป็นผลลัพธ์ที่มีความปลอดภัยมากที่สุด
เพียงแต่สภาพภูมิประเทศทางเหนือของอีเทอร์นอลวินเทอร์นั้นเป็นเทือกเขาทอดยาวติดๆ กัน ถ้าอยากจะข้ามสันหลังของทวีปไป เขาก็จำเป็นต้องสร้างเครื่องบินที่สามารถเดินทางได้ไกลกว่าเฮฟเว่นเฟลมออกมา ขณะเดียวกันมันก็ต้องมีความสามารถในการป้องกันการซุ่มโจมตีทางอากาศด้วย ซึ่งขั้นตอนนี้จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างมาก และในระหว่างนี้สถานการณ์ในแนวหน้าจะเปิดการเปลี่ยนแปลงหรือเปล่าก็ยังไม่อาจรู้ได้
ก็เหมือนกับที่เขาเคยคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อต้องเจอกับการคุกคามของเจตจำนงของพระเจ้า ทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดก็เป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งเหมือนกัน
สิ่งเดียวที่แตกต่างไปจากทางเลือกสองข้อก่อนหน้านี้คือความเสี่ยงของทางเลือกนี้อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้ความพยายามของมนุษย์มาชดเชยความเสี่ยงได้
ครั้งหน้าตอนที่เข้าไปในโลกแห่งความฝันค่อยพยายามขอความสนับสนุนจากทางสมาคมแล้วกัน
โรแลนด์คิดในใจ
หลังกินอาหารเย็นเสร็จ อันนาก็หอบเอาแปลนออกแบบเดินเข้ามาในห้องทำงานแล้วนั่งลงตรงด้านตรงข้ามของโต๊ะทำงาน นี่เป็นช่วงเวลาพูดคุยกันตามปกติของทั้งสองคน แล้วก็เป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างผ่อนคลายด้วย ขอเพียงศูนย์วิจัยไม่มีการทำงาน เธอก็มักจะมาอยู่ที่ห้องทำงาน 2 – 3 ชั่วโมง เนื้อหาที่คุยเล่นกันก็มีตั้งแต่การทำงานในวันนั้นไปจนถึงความคิดแปลกๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัว
ในตอนนี้ไนติงเกลเองก็ปรากฏกายขึ้นมา เธอจะไปนั่งอยู่ตรงโต๊ะชากินของว่างพร้อมดูสมุดภาพที่คัดลอกออกมาจากโลกแห่งความฝัน บางครั้งก็จะมีพูดแทรกขึ้นมาบ้าง บรรยากาศดูแล้วอบอุ่นทีเดียว
หลังจัดการปัญหาทางด้านเทคโนโลยีเสร็จ โรแลนด์ก็พูดถึงปัญหาที่ตัวเองเจอในโลกแห่งความฝันขึ้นมา
“ที่แท้พระองค์ทรงถอนใจทั้งวันเพราะเรื่องนี้เอง..” ไนติงเกลมุ่ยปากขึ้นมา “ภาพทั้งสองอันมันต้องเกี่ยวข้องกันด้วยเหรอเพคะ? ถ้าเกิดภาพที่โลกแห่งความฝันให้พระองค์เห็นเป็นแค่ภาพที่สุ่มขึ้นมาล่ะเพคะ? ยิ่งคิดมากผมก็ยิ่งหงอกเร็ว ทำไมบางคนถึงไม่เข้าใจซักทีนะเนี่ย”
โรแลนด์กรอกตาใส่ “สมองถ้าไม่ได้ใช้มันก็จะฝ่อ ถ้าทุกคนเป็นแบบเจ้า โลกนี้คงจบเห่ไปนานแล้ว”
“แต่ถ้าพระองค์ยังคิดแบบนี้ต่อไป พระองค์นั่นแหละที่จะจบเห่ลงก่อนโลกนี้”
“…” เขาตัดสินใจถอนคำพูดที่บอกว่าบรรยากาศอบอุ่นก่อนหน้านี้
แต่อันนากลับไม่พูดอะไร เธอนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะพูดเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ “แต่หม่อมฉันคิดว่าครั้งนี้ไนติงเกลอาจจะพูดถูกนะเพคะ”
ไนติงเกลกับโรแลนด์มากันส่งเสียงตกตะลึงออกมาพร้อมกัน “เอ๋?”
อันนายิ้มขึ้นมา “ที่หม่อมฉันบอกไม่ได้หมายความว่าไม่ให้คิด หากแต่หมายความว่าบางที…ความสัมพันธ์ของภาพเหตุการณ์ทั้งสองมันอาจจะไม่ได้ซับซ้อนเหมือนอย่างที่พระองค์คิดเอาไว้ก็ได้เพคะ”
“หรือว่าเจ้าเจออะไร?” โรแลนด์ถามอย่างแปลกใจ
อันนาส่ายหัว “แค่เดาเท่านั้นเพคะ ยังไม่แน่ว่าจะถูกต้อง” เธอสางผมขึ้นมาทัดเอาไว้ที่หู ก่อนจะจ้องมองดูโน้ตที่ตัวเองขึ้นมา “อย่างเช่น…ลำดับการเกิดก่อนหลังของทั้งสองเหตุการณ์ พูดอีกอย่างคือ… ‘เวลา’”
“สิ่งที่เชื่อมโยงกัน…คือเวลาเหรอ?” โรแลนด์คิ้วขมวดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างประหลาดใจ “ถ้าภาพที่สองมันเกิดขึ้นก่อนภาพที่หนึ่งล่ะก็…”
“พวกมันก็จะเชื่อมต่อกันกลายเป็นเรื่องราวที่สมบูรณ๋ใช่ไหมล่ะเพคะ” อันนาพูดต่อ
‘นี่คือค่าตอบแทนที่ต้องจ่าย’
ค่าตอบแทนที่ว่าไม่ได้หมายถึงเผ่ากัมมันตรังสีที่ลอยขึ้นไปบนฟ้าแล้วสุดท้ายไม่รู้ไปที่ไหน
แล้วก็ไม่ใช่พวกที่ยังอยู่บนโลกแล้วถูกคลื่นยักษ์กับพายุกลืนกิน
ช่วงเวลาที่เกิดทั้งสองเหตุการณ์ขึ้นต่างกันเป็นหลายหมื่นปี…หลายล้านปี…หรืออาจจะยาวนานกว่านั้น
ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายหมายถึงสิ่งของอะไรอย่างอื่น
และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือแรงโน้มถ่วงไม่ใช่สิ่งที่น่าบูชาอีกต่อไป ในจักรวาลมีโพรงสีแดงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา
และถ้าสิ่งที่ตัวหนังสือกำลังบอกใบ้คือพลังเวทมนตร์ล่ะก็ อย่างนั้นคำว่า ‘ นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป’ ก็จะหมายถึงข้อสรุปที่น่าตกใจอย่างหนึ่ง
โรแลนด์กับอันนาสบตากัน
“เมื่อก่อนโลกนี้ไม่เคยมีเวทมนตร์”
ทั้งสองคนแทบจะพูดออกมาพร้อมกัน
ถ้าไม่มีพลังเวทมนตร์ ก็หมายความว่าจะไม่มีสรรพสิ่งที่ต้องใช้พลังเวทมนตร์ในการคงอยู่
อย่างเช่นปีศาจ
แล้วก็…แม่มด
……………………………………………………………………….