บทที่ 83 แก่น (2)
แต่แน่นอนว่าสมมติฐานนั้นเป็นเพียงสมมติฐานเท่านั้น
แต่ตอนนี้สมมติฐานได้กลายเป็นจริงแล้ว
ซูเฉินไม่รู้ว่าเผ่าปักษาทำได้อย่างไร แต่การที่เทพอสูรสามารถรอดพ้นมาได้ถึงตอนนี้ต้องเกี่ยวข้องกับท้องสมุทรต้นกำเนิดไร้ขอบแน่
ซือปาเส้อได้กล่าวว่าเทพอสูรบรรพกาลต้องใช้พลังต้นกำเนิดเพื่ออยู่รอด เมื่อพลังน้อยลงจึงจำศีล
แต่หากมีคนคอยหาพลังมาเติมให้ได้เล่า ?
คำตอบคือ มันก็จะเอาชีวิตรอดได้ไงล่ะ
พลังต้นกำเนิดที่ได้จากท้องสมุทรต้นกำเนิดไร้ขอบจะนำมาใส่ร่างเทพอสูรตลอดเวลา ทำให้มันกลายเป็นแหล่งพลังต้นกำเนิดมีชีวิต โดยใช้โซ่ผิวสมุทรเชื่อมเอาไว้
คงได้มาจากการใช้สมอทะเลลึกกระมัง มันยึดเมืองล่องนภาไว้ได้ แต่โซ่ผิวสมุทรไม่ได้ยึดเทพอสูรอยู่กับที่ ดังนั้นเทพอสูรจึงยังมีชีวิตและเคลื่อนไหวได้ โซ่ผิวสมุทรไม่ได้ปิดแดนพลังสูญประหลาด แต่ใช้ได้ไม่นานก็จำต้องเปลี่ยน
ตอนที่เขาเข้ามา ก็ได้เวลาเปลี่ยนโซ่ผิวสมุทรพอดี
ผลึกลึกล้ำถูกดึงออกมาจากท้องสมุทรต้นกำเนิดไร้ขอบ ท้องสมุทรต้นกำเนิดไร้ขอบมีผลึกอยู่มากมาย แต่เพราะพลังผันผวนภายใน จึงไม่อาจเข้าไปเก็บผลึกพวกนั้นได้
หลังเผ่าปักษาสร้างโซ่ผิวสมุทรขึ้นจึงบังเอิญพบว่า มันดูดซึมพลังต้นกำเนิดได้ ก็จะผลิตผลึกเหล่านี้ออกมา ซึ่งก็คือผลึกลึกล้ำนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้เมื่อเปลี่ยนโซ่ผิวสมุทร เผ่าปักษาก็จะได้ผลึกลึกล้ำ สำหรับชนชั้นสูงปักษาคือวันได้สมบัติ เผ่าปักษาชั้นสูงทั้งหลายก็จะชิงสิทธิ์ได้รับผลึกลึกล้ำกัน
คนชื่อเหอหยางคงจะเป็นผู้ชนะที่อวิ๋นกงกล่าวถึงนั่นเอง
น่าเสียดายที่ซูเฉินดันเข้ามาก่อนหน้าที่จะได้รับของ
ขณะที่ช่างฝีมือยังพาชมรอบหอคอยแห่งความโกลาหลก็เอ่ยกับซูเฉินว่า “ท่านเหอหยางคิดอย่างไร ?”
“อ้อ ดีทีเดียว” ซูเฉินว่า
“ท่านได้เห็นการทำงานภายในส่วนมากของหอคอยแห่งความโกลาหลแล้ว เช่นนั้นไปรับผลึกลึกล้ำกับข้าเลยหรือไม่ ? หรือจะรอแม่นางคว่างหงเหยียนกลับมา จะได้แสดงความยินดีที่นางเลื่อนถึงขั้น 8 แล้วดีขอรับ ?”
ปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 8 กำลังจะมาหรือ ?
ซูเฉินตกใจนัก กำลังจะบอกว่าให้นำผลึกลึกล้ำมาเลย ก็เห็นว่าร่างอวิ๋นกงกำลังสั่นน้อย ๆ
เมื่อเห็นว่าอวิ๋นกงชะงักไปเล็กน้อย เขาจึงหรี่ตาลง
จากนั้นเอ่ย “ไม่ ข้าไม่รีบ อยากไปดูอเมทิสต์ฟ้าประกายใกล้ ๆ หน่อยหากทำได้”
อวิ๋นกงรีบเอ่ย “นายท่าน แม่นางคว่างหงเหยียนกำลังจะกลับมาแล้วนะขอรับ !”
ซูเฉินหัวเราะ
ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว
อวิ๋นกงผู้นี้ไม่ได้เข้าใจผิด แต่รู้ว่าซูเฉินไม่ใช่เหอหยาง ทว่าทำทีเป็นไม่รู้ต่างหาก !
ส่วนเหตุผล ก็คงกลัวว่าจะถูกซูเฉินฆ่าปิดปากกระมัง
อวิ๋นกงผู้นี้ตอบสนองเร็ว เห็นได้ชัดว่าจู่ ๆ มีเผ่าปักษาโผล่มาคนหนึ่งเพราะถูกแสง ใครก็ตามที่แอบเข้ามาได้จะต้องเป็นยอดฝีมือเป็นแน่
เผ่าช่างฝีมือที่ห้องแก่นของหอคอยแห่งความโกลาหลต่างชอบการทดลอง ดังนั้นจึงมีฝีมือต่อสู้ต่ำต้อย หากทำให้ซูเฉินโกรธ ก็คงถูกสังหารทิ้งได้ง่าย ๆ
การที่รีบเอ่ยชื่อเหอหยางคือหลักฐาน
เหอหยางคงจะเป็นเผ่าปักษาจริง ไม่เช่นนั้นช่างฝีมือคนอื่น ๆ คงไม่สงบเช่นนั้น อวิ๋นกงหาทางลงให้ซูเฉิน ซูเฉินจึงรับมันไว้ ทำให้เผ่าช่างฝีมือผู้นี้รอดชีวิตไปได้
อวิ๋นกงจงใจพูดถึงผลึกลึกล้ำ เป็นการบอกให้เขารีบเอาของแล้วจากไปเสีย
แม้เช่นนี้จะทำให้ปักษาอื่น ๆ โกรธเคือง สุดท้ายคงถูกลงโทษ แต่ก็ดีกว่าถูกสังหารตายทันที
อีกทั้งฐานะของอวิ๋นกงในเผ่าช่างฝีมือก็ไม่ต่ำ เผ่าปักษาคงไม่ฆ่าเขา อย่างมากก็ลงโทษเล็กน้อยเท่านั้น
แม้จะคำนวณไว้ดีแล้ว แต่ซูเฉินก็ไม่คิดอยากได้ผลึกลึกล้ำ กลับสนใจการทำงานของหอคอยแห่งความโกลาหลมากกว่า ซูเฉินเห็นว่าการทำงานของที่นี่มีความรู้อยู่มาก ซึ่งนับว่าล้ำค่ากว่าผลึกลึกล้ำ
อวิ๋นกงค่อนข้างกระวนกระวายใจ กระทั่งเอ่ยชื่อคว่างหงเหยียนที่เป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 8 ขึ้นมา
ซูเฉินไม่รู้ว่านางมีจริงหรือไม่ แต่ดูแล้วหากนางกำลังจะมาจริง อวิ๋นกงก็คงไม่เตือนเขาดี ๆ เช่นนี้แต่ทีแรก
ดังนั้นดูท่าเผ่าปักษาทรงพลังผู้นั้นคงจะไม่ได้กลับมาในเร็ว ๆ นี้แน่
เช่นนั้นแล้ว ไยต้องรีบไปเล่า ?
ซูเฉินหัวเราะ “ข้าไม่รีบ หากนางกลับมาจริง ก็จะได้คุยกันสักหน่อย อย่างไรก็ไม่ได้พบกันนานแล้ว เอาอย่างนี้เป็นไง ? เจ้าไปตามคนให้เอาผลึกลึกล้ำมา แล้วเราเดินดูกันต่อ”
อวิ๋นกงเห็นความหน้าไม่อายของซูเฉินแล้วก็พูดไม่ออก
ไม่รักษาหน้าหน่อยหรือ ?
ถูกเปิดโปงก็แล้ว แต่ก็ยังทำลอยชายไม่รีบจากไปอีก ? ไม่กลัวว่าจะมีเผ่าปักษาฝีมือดีกว่ามาจับไปงั้นหรือ ?
แต่ชีวิตอวิ๋นกงอยู่ในกำมือซูเฉิน จึงได้แต่ยอมทำตาม ส่งช่างฝีมือไปเอาผลึกลึกล้ำ และเดินตามซูเฉินต่อ
ในเมื่อรู้ตัวตนซูเฉินแล้ว เขาจึงถามเอาทุกอย่าง ไม่คิดปิดบังอีกต่อไป
“อันนี้อะไร ? ใช้ทำอะไรหรือ ?”
“แนวคิดเบื้องหลังการทำงานของส่วนประกอบนี้คืออะไรกัน ?”
“จิตสับสนของเทพอสูรอาศัยอยู่ในอเมทิสต์ฟ้าประกายกระมัง ? ทำไมต้องควบคุมมันเช่นนั้นด้วย ?”
“ค่ายกลนี้เชื่อมกับโซ่ผิวสมุทรอย่างไร ? แล้วใช้ทำอะไร ?”
“มีพิมพ์เขียวของหอคอยแห่งความโกลาหลไหม ? ของค่ายกลเล่า ? มีบันทึกของแรงบันดาลใจหรือการค้นพบอย่างกะทันหันหรือไม่ ?”
ซูเฉินยังถามต่อ อวิ๋นกงก็ได้แต่ตอบต่อ ยิ่งถาม ก็ยิ่งเผยความนัย สุดท้ายก็ถามสิ่งที่เผ่าปักษาก็คงไม่ถามออกมา ทั่วหน้าเต็มไปด้วยความไร้ยางอาย
แต่อวิ๋นกงยิ่งฟังคำถามก็ยิ่งประหลาดใจ
แรก ๆ คำถามดูตื้นเขินนัก ถามเพียงเรื่องอุปกรณ์และกลไกในการทำงานของหอคอยแห่งความโกลาหล อวิ๋นกงเห็นอีกฝ่ายไม่เข้าใจจึงดูถูก แต่ก็ตอบคำถามอย่างดี เพราะถึงบอกไปก็คงไม่เข้าใจ
ไม่คิดว่าซูเฉินจะมีประสบการณ์มากมาย หรือจะมีผลึกวิญญาณอยู่เช่นนี้
ซูเฉินเข้าใจที่อวิ๋นกงพูดถึง 8 ใน 10 ส่วน เก็บอีก 2 ส่วนไว้ในผลึกวิญญาณเพื่อคำนวณเบื้องหลัง ซึ่งปกติจะทำให้เข้าใจมากขึ้น 1 ส่วน อีก 1 ส่วนจะใช้การถามเพิ่ม
แรก ๆ ซูเฉินถามแล้วก็ต้องคิดนานหน่อย แต่เมื่อเข้าใจมากขึ้น ก็เข้าใจคำตอบแทบจะทันที
ภายหลังยังตอบคำอวิ๋นกงได้อีก ความเข้าใจของเขาช่างน่าทึ่งจริง ๆ
อวิ๋นกงถึงกับอึ้งไป
เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ความรู้ความเข้าใจของผู้ที่แอบเข้ามานั้นทำให้ตกใจมากจริง ๆ
เดิมทีเขาเชื่อว่าซูเฉินคงมาหาสมบัติ แต่พอเห็นว่าถามคำถามมากเข้า ก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาเพราะสมบัติ แต่มาเพื่อเรียนรู้เรื่องการทำงานของหอคอยแห่งความโกลาหลต่างหาก
พอถูกถามว่าหอคอยแห่งความโกลาหลสร้างได้อย่างไรจึงไม่ตกใจแล้ว
หากจะตกใจ ก็คงตกใจที่เผ่าปักษามีคนมากความสามารถเช่นนี้อยู่มากกว่า
คนมากความรู้เช่นนี้ เผ่าปักษาน่าจะส่งมาทำงานที่หอคอยนี้ตั้งนานแล้ว ทำไมต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ด้วยเล่า ?
อวิ๋นกงไม่เข้าใจ แต่ไม่คิดว่าซูเฉินจะเป็นมนุษย์สักนิด เพราะปีกเขาดูสมจริงมาก ดังนั้นจึงคิดว่าเขาเป็นเผ่าปักษา แต่คิดให้ตายอย่างไรก็ไม่เห็นว่าจะมีเผ่าปักษาที่ฉลาดเช่นนี้บ้างเลย
ได้คุยกับอวิ๋นกงเช่นนี้ เขาได้ประโยชน์มากทีเดียว
หอคอยแห่งความโกลาหลในปัจจุบันเหมือนจะสร้างขึ้นบนเทพอสูร แต่ความรู้ที่ต้องใช้ในการสร้างนั้นมหัศจรรย์มาก เกี่ยวพันถึงหลักการพลังงานสูญ พลังต้นกำเนิด พลังจิต ค่ายกล สิ่งมีชีวิต และหลักการอื่น ๆ อีกมากมาย ทุกความรู้ทีซูเฉินได้รับทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตานัก ความรู้เพิ่มขึ้นจนแตะระดับใหม่
ที่สำคัญ ด้วยพลังจิตจึงทำให้จดจำทุกอย่างได้ คนอาจจำเรื่องมาก ๆ ไม่ได้ แต่เขาทำได้
การเข้าใจในทันทีและสามารถนำมาปรับใช้ได้ในทันทีเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก
ซูเฉินฟังคำอวิ๋นกงไป ก็แยกข้อมูลต่าง ๆ ไปด้วย สามารถระบุถึงปัญหาในกระบวนความคิดของอวิ๋นกงและคนอื่นได้ทันที แก้ปัญหาบางอย่างให้พวกเขาได้อีกต่างหาก
อวิ๋นกงเองก็เป็นปราชญ์ มีความอยากเรียนรู้พอตัว เริ่มแรกอาจจะตอบด้วยหน้าที่ แต่ภายหลังก็ตอบตามตรง และไม่นานก็กลายเป็นถกความรู้ในเรื่องทฤษฎีไป
สุดท้าย เมื่อซูเฉินชี้ข้อบกพร่องในกระบวนความคิดให้รู้ อวิ๋นกงก็มองซูเฉินราวกับปีศาจ
คนผู้นี้น่ากลัวนัก !
ข้ามจากระดับแรกเริ่มไปปรมาจารย์ได้อย่างไรกัน ?
อีกทั้งวิธีที่ให้มายังทำได้จริงอีกต่างหาก !
หากไม่ใช่ว่ากำลังคุยอยู่กับศัตรู อวิ๋นกงก็คงนำคำแนะนำไปลองแล้ว
เขายิ่งรู้สึกว่าคนตรงหน้าเป็นคนลึกลับมากขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่ได้มาเพื่อชิงสมบัติหรือ ?
แล้วเขากลายเป็นผู้รอบรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
เขาเป็นเผ่าปักษาประเภทไหนกัน ? ทำไมฉลาดเยี่ยงนี้ ?
อวิ๋นกงรู้สึกอยากร้องดัง ๆ นัก
หากไม่ใช่เพราะยังรักชีวิต อวิ๋นกงก็คงตะคอกให้อีกฝ่ายเลิกทำตัวเป็นโจรแล้วมาทำวิจัยกับเขาแทนไปแล้ว !
น่าเสียดายที่ช่างฝีมือผู้นำผลึกลึกล้ำมาได้ขัดจังหวะการสนทนาเสียก่อน
พอมองผลึกลึกล้ำแล้ว ทั้งคู่ก็เข้าใจบางอย่าง
นั่นคือได้เวลาจากแล้ว
อย่างไรก็ต้องจาก ไม่ว่าจะคุยกันอย่างชื่นมื่นเพียงไหน สุดท้ายหัวขโมยนามซูเฉินก็ต้องจากไป
อวิ๋นกงเข้าใจดี จึงได้แต่ส่งสายตาไม่ยินยอมน้อย ๆ มองซูเฉิน
คิดครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้น “รอสักครู่ได้หรือไม่ ?”
จากนั้นก็รีบเดินจากไป
ซูเฉินยืนรอเช่นนั้น ไม่สนอีกฝ่ายจะฉวยจังหวะทำอันตรายหรือไม่
ครู่หนึ่ง อวิ๋นกงก็กลับมา ถือคัมภีร์ม้วนใหญ่ไว้ในมือ
จากนั้นก็มอบมันให้แล้วพูดว่า “นี่คือบรรทุกการสร้างหอคอยแห่งความโกลาหลละวิธีใช้ เป็นบันทึกส่วนตัวของข้า ไม่ด้อยไปกว่าบันทึกทางการแน่ ท่านรับไว้เถอะ !”
ซูเฉินชะงักไป
ให้จริงหรือ ?
เขาจ้องอวิ๋นกงเขม็ง “เจ้า……”
อวิ๋นกงห้ามไว้ “ข้าเพียงแต่เล่าให้สหายฟังเท่านั้นว่ารู้อะไรดี ๆ มาบ้าง หากท่านยังจำข้าได้และมาเยี่ยมเยียนบ้างข้าก็พอใจแล้ว ”
“ข้าไปแล้ว เจ้าก็……”
อวิ๋นกงหัวเราะ “ข้าเป็นปราชญ์ช่างฝีมือ เรื่องเล็กเช่นนี้ไม่ต้องเอ่ยถึงหรอก”