มีหลายครั้งหลายหนที่คำเพียงแค่สองคำ กลับหมายถึงการพลิกฟ้าพลิกดิน ดังเช่นที่เซี่ยไห่หย่างกำลังรู้สึกในเวลานี้ ดวงตาของเขาเปล่งประกายขึ้นมาในบัดดล
“เชิญผู้อาวุโสเอ่ยคำขอรับ!”
“เจ้าเซี่ยน้อยเอ๋ย เรื่องนี้ข้าช่วยเจ้าไม่ได้จริงๆ แต่ข้ามีศิษย์อยู่ผู้หนึ่ง ซึ่งข้ารู้ว่าเขามีความสัมพันธ์อันดีต่อเฉินชิง หากเจ้าสามารถโน้มน้าวคนผู้นี้ได้… ข้าคิดว่าเพียงคำพูดประโยคเดียวของเขาก็จะสามารถช่วยเจ้าสะสางได้ทุกปัญหา”
ยามคำพูดของปรมาจารย์แห่งไฟเข้ามาในหูของเซี่ยไห่หยาง เขาสะท้านไปทั้งตัว ทั้งเสียงหายใจก็กระชั้นขึ้นมาในทันใด ท่าทีหนักแน่นที่อุตส่าห์ปั้นมาแต่ต้นก็กลับทะลายลงจนไม่เหลือแม้แต่น้อย เขาจับม้วนหนังสือหยกแน่นแล้วเอ่ยคำออกไปอย่างไม่อาจเก็บอาการได้
“ขอผู้อาวุโสโปรดแนะนำสหายเต๋าคนสำคัญผู้นี้แก่ผู้น้อยสักครา ไม่ว่าเขาจะมีข้อเสนอใด ผู้น้อยล้วนรับปากทั้งสิ้น!!”
“สหายเต๋าคนสำคัญ…” น้ำเสียงของปรมาจารย์แห่งไฟฟังดูประหลาด หากเป็นเวลาอื่น เซี่ยไห่หยางจะต้องสัมผัสได้ แต่ตอนนี้เขากำลังจิตใจว้าวุ่น จึงฟังพิรุธในน้ำเสียงของปรมาจารย์แห่งไฟไม่ออก
“เซี่ยน้อยเอ๋ย ศิษย์ข้าผู้นี้ออกจะเป็นคนทะนงตน มักไม่พบคนนอกง่ายๆ ฉะนั้นหากเจ้าอยากให้เขาช่วย คาดว่าคงไม่อาจใช้เงินทองจัดการได้ เพราะด้วยนิสัยทะนงตนของเขา หลายๆ คราเขาจึงไม่สนใจของนอกกายแต่อย่างใด” ปรมาจารย์แห่งไฟเอ่ยช้าๆ
“ทะนงตน?” เซี่ยไห่หยางตะลึงงัน ไม่รู้เพราะสาเหตุใด สิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นมาในหัวเขาเมื่อได้ยินคำของปรมาจารย์แห่งไฟ ก็คือคนร่างอ้วนคนหนึ่ง แต่พอได้ยินว่าเป็นคนมีนิสัยทะนงตน จินตภาพของคนร่างอ้วนนั้นก็หายวับไปทันที
ในสายตาของเขาแล้ว หากพูดถึงตัวเลือกที่ไม่เหมาะกับคำว่าทะนงตนที่สุดในโลกนี้แล้ว หวังเป่าเล่อถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ เลยทีเดียว เพราะด้วยความหน้าหนาของเขา เกรงว่าแม้แต่คนระดับผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพก็ยังไม่อาจทำให้หน้า ของเขาสะทกสะเทือนได้เลย ฉะนั้นคำว่าทะนงตนจึงไม่คู่ควรกับอุปนิสัยของหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ทว่าแม้จะคิดเช่นนี้อยู่ลึกๆ ในใจ แต่เซี่ยไห่หยางก็ยังอดจะลองถามไปคำหนึ่งไม่ได้
“ผู้อาวุโส ท่านหมายถึงหวังเป่าเล่อหรือขอรับ?”
“เจ้าหมอนั่นยังมิใช่ศิษย์ข้า” ปรมาจารย์แห่งไฟหัวเราะออกมา ดูคล้ายเป็นการปฏิเสธ แต่ความจริงแล้วถ้าเซี่ยไห่หยางได้รู้คำตอบ ฟังๆ ดูก็จะรู้ว่าคำพูดนี้มีความหมายอื่นแฝงอยู่
นั่นเพราะ เขาก็มิได้ปฏิเสธแต่อย่างใด เพียงแต่พูดถึงข้อเท็จจริงในตอนนี้เท่านี้
ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับเซี่ยไห่หยาง ผู้ซึ่งยังไม่รู้รายละเอียดใดๆ ในเวลานี้ย่อมจะฟังความหมายแฝงไม่ออก ฉะนั้นเมื่อเขาได้ฟังคำของปรมาจารย์แห่งไฟแล้ว จึงรู้สึกขึ้นมาทันใดว่าตนเองไตร่ตรองได้ถูกต้องจริงๆ คนคนนั้นไม่ทางจะเป็นเจ้าอ้วนนั่นไปได้
ประการแรก อีกฝ่ายยังไม่ใช่ศิษย์ของปรมาจารย์แห่งไฟ ประการต่อมา อุปนิสัยของเขาไม่คู่ควรกับคำว่าทะนงตนเลยสักนิด ครั้นแล้วจึงถอนหายใจคราวหนึ่ง และเริ่มขอร้องต่อปรมาจารย์แห่งไฟ
แต่จนท้ายที่สุด ปรมาจารย์แห่งไฟก็ไม่ได้รับปาก เพียงบอกเขาว่าให้ไปคิดหาหนทางเอาเอง
เมื่อสนทนาจบความ เซี่ยไห่หยางถือม้วนหนังสือหยกในมือทั้งสีหน้าก็เปลี่ยนมาไม่หยุด เพราะกำลังพยายามใช้ความคิดอย่างหนัก เค้นสมองด้วยความยากเย็นว่าทำเช่นใดจึงจะได้รู้จักและผูกไมตรีกับศิษย์ของปรมาจารย์แห่งไฟผู้นี้
“ได้ยินว่าเหล่าศิษย์ของปรมาจารย์แห่งไฟในสมัยนั้นล้วนตายไปหมดแล้ว ส่วนศิษย์ที่มีในตอนนี้ ก็ได้ยินว่าล้วนเป็นศิษย์ที่เพิ่งจะรับมาในภายหลัง …ไม่มีเบาะแสเลย” เซี่ยไห่หยางกุมหัวแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาคิดว่าเมื่อศิษย์ผู้นี้ของปรมาจารย์แห่งไฟมีสัมพันธ์อันดีต่อเฉินชิงดังว่า เขาย่อมเป็นคนสำคัญคนหนึ่ง ซึ่งเบาะแสนี้อาจคือความหวังอันใหญ่หลวงที่สุดของเขาก็เป็นได้
“ขอเพียงได้พบกับคนสำคัญผู้นั้น… ข้าต้องสามารถคบเขาเป็นสหายได้แน่นอน!” เซี่ยไห่หยางยังคงเชื่อมั่นในความสามารถของตนไม่เบาทีเดียว
“ฉะนั้นเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือจะรู้จักกับคนสำคัญท่านนี้ได้อย่างไร…”
ในขณะที่เซี่ยไห่หยางกำลังเค้นสมองว่าทำอย่างไรจึงจะรู้จักกับคนสำคัญท่านนี้อยู่ คนสำคัญที่เขาเอ่ยถึงก็กำลังว้าวุ่นใจเช่นกัน แม้รู้สึกจนใจ แต่ก็ไม่อาจหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับกระดาษรูปมนุษย์ที่ปรากฏกายอยู่ตรงหน้าเขาในเวลานี้ได้
ช่วงเวลาบำเพ็ญปราณเจ็ดวัน ตอนนี้ยังไม่ถึงวันแรกเสียด้วยซ้ำ ยังเหลือเวลาอีกตั้งสองสามชั่วยามกว่าจะสว่าง แต่จู่ๆ กระดาษรูปมนุษย์ก็ปรากฏตัวขึ้นมา ทำให้แผนการที่เขาวางเอาไว้ต้องสะดุดลง
“เซี่ยต้าลู่ ข้าช่วยให้เจ้าได้สิทธิ์มาอยู่ที่นี่ ยามนี้…ก็ถึงตาเจ้าบ้างแล้ว”
“ผู้อาวุโส หาใช่ว่าผู้เยาว์ไม่คิดช่วยท่าน ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้อาวุโสช่วยเหลือข้าไว้มากมาย เรื่องสัญญานั้น ข้าย่อมยอมรับอยู่แล้ว แต่ข้าอยากจะถามสักหน่อย…” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง เขามิได้กล่าวคำเท็จ เพราะที่เขาพูดนั้นเป็นความสัตย์จากใจจริง
“รอจนข้าเลื่อนขั้นเป็นระดับดาวพระเคราะห์เสียก่อนค่อยช่วยท่านได้หรือไม่ เมื่อเป็นดังนี้แล้วข้าก็จะมั่นใจขึ้นมาอีกสักหน่อย” ในสายตาของหวังเป่าเล่อนั้น หากใช้พลังปราณในระดับดาวพระเคราะห์มาท่องบทสวดแห่งเต๋าย่อมต้องสวดได้มากกว่า และในเวลาเดียวกันก็จะช่วยปกป้องตนเองได้มากขึ้นอีกไม่มากก็น้อยด้วย
ซึ่งแน่นอนว่าที่บอกว่าช่วยปกป้องตนเองนี่บางทีอาจไม่มีประโยชน์ใด หรือเรียกได้ว่าต่างกับชนิดมดตัวน้อยกับมดตัวใหญ่เท่านั้น แต่อย่างไรเสียก็ยังพอจะมีหลักประกันขึ้นมาอีกสักน้อยนิด
กระดาษรูปคนส่ายหน้าต่อข้อซักถามของหวังเป่าเล่อ
“หลังจากขึ้นเป็นระดับดาวพระเคราะห์แล้ว พวกเจ้าก็จะถูกส่งตัวออกไปในทันที ไม่ทันหรอก…ไปกันเถิด!” ว่าพลางไม่ยอมให้เวลาหวังเป่าเล่อใคร่ครวญอีก กระดาษรูปมนุษย์ยกมือขวาขึ้นสะบัด เศษกระดาษสีขาวปลิวว่อนขึ้นแล้วห่อหุ้มหวังเป่าเล่อไว้ในทันใด เพียงพริบตาเดียวชายหนุ่มก็หายวับไปจากภายในห้องพร้อมกับกระดาษรูปมนุษย์
เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกหน …หวังเป่าเล่อยังไม่ทันมองเห็นสิ่งรอบตัวได้ชัดเจนก็ได้ยินเสียงคลื่นที่มีลักษณะเฉพาะตัวของทะเลกระดาษดังขึ้นมาก่อน จากนั้นเมื่อภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้น เขาก็มองเห็นทะเลกระดาษสีดำอันกว้างใหญ่ไพศาล
หวังเป่าเล่อเหม่อมองทะเลกระดาษด้วยความคิดสับสนปนเปร้อยตลบ ทั้งตึงเครียด ทั้งจนหนทาง แต่ก็รู้ดีว่าไม่ทำไม่ได้ เพียงแต่เขารู้สึกเป็นกังวลว่าถ้าหากสวดจบแล้วจริงๆ …ที่กระดาษรูปมนุษย์บอกว่ามันไม่ได้คิดเป็นศัตรูกับหวังเป่าเล่อแต่อย่างใดนั้น จะคือการชี้นิ้วแตะหน้าผากตนแล้วให้ไปอยู่อีกจักรภพหนึ่งหรือไม่
“คงไม่มั้ง…” หวังเป่าเล่อใจเต้นไม่เป็นส่ำ แต่ก็พยายามปลุกใจตนเอง หวังจะขจัดความเครียดออกไปเสีย
“ทำไมต้องเครียดขนาดนี้?” กระดาษรูปมนุษย์หันหน้ามามองหวังเป่าเล่อด้วยแววตามืดดำ คล้ายว่าถ้าคำตอบของหวังเป่าเล่อไม่เข้าที เขาก็จะชักสีหน้าเช่นนั้น
แม้จะเป็นแค่กระดาษแผ่นหนึ่ง ที่ไม่น่าจะวันชักสีหน้าได้ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังมีความรู้สึกทำนองนั้น เขาจึงสูดหายใจลึก เตรียมจะขยับริมฝีปาก
“พูดตามตรงนะขอรับ เขาเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของข้า ตอนนี้เขากำลังนอนหลับสนิท ข้ากังวลว่าถ้าถูกรบกวนมากๆ เข้า เขาอาจจะไม่พอใจ…”
“เป็นญาติผู้ใหญ่แบบใด?” กระดาษรูปมนุษย์มองหวังเป่าเล่อพลางถามอีกหน
“พ่อตา!” หวังเป่าเล่อตอบอย่างหนักแน่น
กระดาษรูปมนุษย์นิ่งงัน ไม่ได้สนใจหวังเป่าเล่อหากแต่ยกมือขวาขึ้นจับข้อมือชายหนุ่มเอาไว้แล้วพุ่งตัวไปข้างหน้า ม่านตาของหวังเป่าเล่อหดเล็กลงทันใดขณะที่ถูกพาก้าวลงไปในทะเลกระดาษสีดำ!
เพิ่งจะก้าวลงไป ทันใดนั้นเองพลังปราณมืดมหาศาลก็พุ่งออกมาจากในทะเลกระดาษสีดำและคืบคลานเข้าหาหวังเป่าเล่อกับกระดาษรูปมนุษย์ แต่ที่น่าประหลาดก็คือในชั่วพริบตาที่เข้ามาใกล้ ก็พลันมีลำแสงรูปวงแหวนเปล่งออกมาจากตัวกระดาษรูปมนุษย์ และกั้นตัวเขาไว้
เมื่อเห็นดังนั้น หวังเป่าเล่อก็อุ่นใจขึ้นมาบ้าง ไม่รอให้เขาเอ่ยปากใดๆ กระดาษรูปมนุษย์ก็จับเขาไว้ แล้วถลันตัวลึกลงไปในทะเลกระดาษสีดำอย่างรวดเร็ว
ยิ่งลงลึกไปภายในท้องทะเลที่เป็นกระดาษสีดำทับถมอยู่รอบตัว พลังปราณมืดก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย แม้ว่าลำแสงรูปวงแหวนที่เปล่งจากตัวกระดาษรูปมนุษย์จะน่าอัศจรรย์ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อที่ตอนนี้ใจตื่นจนเนื้อเต้นแล้ว เขากลับเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าลำแสงรูปวงแหวนที่อยู่รอบตัวกระดาษรูปมนุษย์กำลังเปลี่ยนเป็นกระดาษสีดำแล้ว
ยังดีที่ก่อนลำแสงรูปวงแหวนจะกลายเป็นกระดาษสีดำไปจนหมด เมื่อกระดาษรูปมนุษย์สะบัดตัวหนหนึ่ง ลำแสงรูปวงแหวนที่กลายมาเป็นกระดาษสีดำก็ฉีดขาดและกลายเป็นเศษกระดาษในทันใด แล้วมีลำแสงรูปวงแหวนปรากฏขึ้นมาใหม่อีกชั้นหนึ่ง แต่ก็มองเห็นได้ว่าร่างกายของกระดาษรูปมนุษย์คล้ายจะบางลงไปสักหน่อยด้วยเช่นกัน
กระดาษรูปมนุษย์กำลังพุ่งตัวไปด้วยความเร็ว พาหวังเป่าเล่อเดินทางลึกลงไปในทะเลกระดาษสีดำ เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ตลอดทาง ยิ่งใกล้เข้าไปทุกที จนกระทั่งลำแสงรูปวงแหวนปรากฏขึ้นรอบตัวมันเป็นครั้งที่เก้าได้กลายเป็นกระดาษสีดำและลำแสงรูปวงแหวนที่สิบปรากฏขึ้นอีกครั้ง ร่างของกระดาษรูปมนุษย์ก็บางลงไปครึ่งหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด เวลานั้นเอง ในที่สุด…พวกเขาก็เข้าไปใกล้ก้นทะเลของทะเลกระดาษสีดำแห่งนี้แล้ว!
มองไกลๆ หวังเป่าเล่อถึงกับต้องถลึงตากว้าง เพราะเขาเห็นว่าในชั้นสุดท้ายที่มีเศษกระดาษสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ ซึ่งคือก้นทะเลนั่นเอง กลับมีวงแหวนปราณขนาดยักษ์อยู่!
วงแหวนปราณนี้ประกอบขึ้นจากเสาหินสีขาวหลายร้อยต้น กินพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล โดยขอบเขตของมันขยายตัวออกไปรอบทิศทางด้วย ตรงจุดศูนย์กลางซึ่งมีบริเวณกว่าหนึ่งร้อยจั้งนั้น มีกระจกขนาดหนึ่งร้อยจั้งอยู่บานหนึ่ง!
หากจะพูดให้ถูกต้องจริงๆ มันคือตราผนึกที่เป็นดังแผ่นกระจก และบนนั้นก็มีรอยแตกร้าวเต็มไปหมด ทั้งยังมีพลังปราณมืดลอดออกมาจากรอยแตกเหล่านั้นอย่างไม่จบไม่สิ้น และคืบคลานออกไปทั่วทิศ
สิ่งนี้ทำให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากว่าที่แห่งนี้…ก็คือแหล่งกำเนิดของทะเลกระดาษดำ หรือจะพูดว่าเหตุที่ทะเลกว้างแห่งนี้กลายเป็นสีดำ ก็เพราะหน้ากระจกที่ผนึกปราณเอาไว้เกิดรอยร้าวนั่นเอง!
ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งสะท้านใจก็คือ มีคนผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงใจกลางของกระจกนี้ ไม่ใช่กระดาษรูปมนุษย์ แต่คือร่างที่มีเลือดเนื้อ!
เป็นสตรีผู้หนึ่ง สวมชุดขาว และใบหน้าของนางก็ขาวซีดเช่นเดียวกัน ไม่เหมือนคนมีชีวิต เป็นดังศพคนตาย แต่ความซีดขาวนี้กลับไม่อาจปกปิดรูปโฉมที่งดงามของนางได้
รอบตัวของสตรีผู้นี้มีปราณมืดส่วนหนึ่งกระจายตัวออกมาจากรอยแตกบนหน้ากระจก และกำลังม้วนพันรอบร่างของนางเอาไว้ มองไกลๆ คล้ายว่าปราณมืดกำลังแทรกซึมเข้าไปในร่างของนางอยู่ตลอดเวลา!
…………………………….