ตอนที่ 702 จุดจบของฉินมู่ยวี่

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

การต่อสู้กลางอากาศยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือดและน่าจับตามอง

ฉินมู่ยวี่ถือว่าทรงพลังอย่างมากในขณะที่ฉินอวี้โม่ก็ไม่อ่อนแอไปกว่ากัน ส่วนในด้านของอสูรมายา การร่วมมือกันของซิวและอสูรอื่น ๆ ของฉินอวี้โม่ก็สามารถปราบปรามบรรดาอสูรมายาของฉินมู่ยวี่และเป็นฝ่ายได้เปรียบภายในเวลาไม่นาน

อย่างไรก็ตาม พวกมันทั้งหมดได้รับคำสั่งจากฉินอวี้โม่มิให้เข้าไปมีส่วนร่วมในการประชันฝีมือระหว่างนางและฉินมู่ยวี่ การต่อสู้ของทั้งสองจะต้องดำเนินไปจนถึงบทสรุปด้วยฝีมือของพวกนางเองเท่านั้น

ฉินมู่ยวี่ยังอยู่ในข่ายอาคมซึ่งยากที่ฉินอวี้โม่จะมองเห็นได้ เวลานี้ ฉินอวี้โม่เองก็อยู่ในคฤหาสน์ล่องหนและแผ่พลังวิญญาณออกไปโดยรอบเพื่อสำรวจหาร่องรอยของคู่ต่อสู้

“ฉินอวี้โม่ ข้าเห็นเจ้าแล้ว !”

ทันใดนั้น เสียงของฉินมู่ยวี่ก็ดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่ก่อนที่นางจะรู้สึกได้ว่าคฤหาสน์เฟิงหัวของตนรับแรงกระแทกอย่างรุนแรงจนหัวหมุนพลิกไปมาอยู่ภายในคฤหาสน์

“ฮ่า ๆ ๆ มีสิ่งที่วิเศษอย่างมิติที่สองอยู่ด้วย แม้แต่ในตอนนั้นฉินเฟยเหยียนก็อยู่เพียงในช่วงเริ่มต้นเท่านั้นและไม่เคยหลอมมันได้สำเร็จสักครั้ง”

ทันใดนั้น ร่างของฉินมู่ยวี่ก็ปรากฏตัวกลางอากาศขณะสายตาจับจ้องตรงมาที่คฤหาสน์เฟิงหัวที่เพิ่งเผชิญกับแรงกระแทกเมื่อครู่และอดกล่าวไม่ได้

แม้นางและฉินอวี้โม่จะเป็นศัตรูกัน ทว่าฉินมู่ยวี่ก็ไม่เคยสงสัยเกี่ยวกับพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่เลยสักนิด พรสวรรค์ของสตรีผู้นี้โดดเด่นอย่างแท้จริงและเหนือชั้นยิ่งกว่าฉินเฟยเหยียนเมื่อครั้งอดีตเสียอีก

“ฉินมู่ยวี่ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเรียนรู้วิชาข่ายอาคมล่องหนได้ คิดไว้ไม่มีผิด แม้แต่ทักษะการวางข่ายอาคมของเหยียนเอ๋อร์ก็ไม่ได้แกร่งกล้าเท่าเจ้า”

ร่างของฉินอวี้โม่ค่อย ๆ ปรากฏตัวขณะจ้องมองคู่ต่อสู้อย่างไม่คิดหลบหนี หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้นางยังมีความลังเล ทว่าตอนนี้นางไม่มีความรู้สึกเหล่านั้นอีกต่อไป

นางได้เห็นแล้วว่าหานโม่ฉือช่วยผู้อาวุโสฝูหยาจือออกมาได้สำเร็จและรู้สึกโล่งใจขึ้นมา ตอนนี้ถึงเวลาที่นางจะต้องประชันฝีมือกับฉินมู่ยวี่อย่างเต็มที่ !

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเจ้าก็รู้จักข่ายอาคมล่องหนนี้ด้วย ถือว่าเจ้าก็รอบรู้ทีเดียว ทว่า…ในเมื่อเจ้ารู้จักข่ายอาคมประเภทนี้ เจ้าก็น่าจะเข้าใจด้วยว่ามันทำลายได้ยากเพียงใด เพราะฉะนั้น…วันนี้เจ้าจะต้องแพ้อย่างแน่นอน !”

ฉินมู่ยวี่หัวเราะอย่างสาแก่ใจ นี่คือไพ่ตายของนางที่แม้แต่ฉินเฟยเหยียนก็ไม่เคยทราบมาก่อน

ข่ายอาคมล่องหนเป็นข่ายอาคมที่นางเพิ่งศึกษาได้เมื่อไม่นานมานี้ ตราบใดที่อยู่ในข่ายอาคมนี้ นางสามารถซ่อนตัวจากศัตรูได้ เว้นเพียงแต่อีกฝ่ายจะทำลายข่ายอาคมได้สำเร็จ คนผู้นั้นจะไม่มีทางพบตำแหน่งของนางได้เลย

ความแข็งแกร่งของฉินมู่ยวี่ในปัจจุบันก็ถือว่าน่าทึ่งยิ่งนักและพลังวิญญาณของนางก็แกร่งกล้าว่าคนธรรมดานับร้อยเท่า เพราะเหตุนั้น นางจึงวางข่ายอาคมล่องหนนี้ได้ในชั่วพริบตา

“ก็ไม่เสมอไปหรอก !”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากก่อนกล่าวต่อ “หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปก็คงต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการทำลายข่ายอาคมของเจ้า แต่สำหรับข้า…มันไม่ยากเลยสักนิด”

หลังจากกล่าวจบ สายตาของนางก็เลื่อนไปหยุดลงที่ซิวและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ซิว อสูรเสริมร่าง !”

ซิวพยักศีรษะตอบรับและร่างของมันหายวับไปก่อนเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงที่พุ่งตรงไปที่ร่างของฉินอวี้โม่

จากนั้นร่างของฉินอวี้โม่ก็เปลี่ยนแปลงไปในทันที

เวลานี้ ร่างของนางรายล้อมไปด้วยเพลิงร้อนระอุและแม้แต่ศีรษะก็ไม่เว้น ในมือของนางตอนนี้ก็มีกระบี่เล่มยาวปรากฏขึ้นมาโดยที่ในแววตาของนางก็ฉายชัดไปด้วยประกายเพลิง

“เกราะอสูรล้อมคน !”

ฉินมู่ยวี่ชะงักไปชั่วขณะก่อนตะโกนออกไปด้วยสีหน้าหวาดหวั่น การที่อสูรสามารถรวมร่างและเปลี่ยนกลายเป็นเกราะให้กับมนุษย์ถือเป็นขอบเขตสูงสุดระหว่างผู้ฝึกยุทธ์และอสูรมายา หากสามารถฝึกยุทธ์ได้ถึงระดับนี้ ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์จะพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากฝึกยุทธ์เข้าสู่ขอบเขตดังกล่าว สิ่งลวงตาล่องหนทั้งหมดรอบตัวจะปรากฏขึ้นมาและไม่มีทางที่จะหลบหนีออกไปได้

แม้ข่ายอาคมล่องหนของฉินมู่ยวี่จะมิใช่สิ่งที่รับมือได้ง่าย ๆ ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับฉินอวี้โม่ในตอนนี้ นางก็ยังรู้สึกถึงแรงกดดันไม่น้อย

“ฉินมู่ยวี่ หลังจากที่ซิวฟื้นฟูพลังกลับสู่สภาวะสูงสุด ทักษะนี้ก็บรรลุระดับที่สมบูรณ์แบบเช่นกัน ตอนนี้ข้าจะให้เจ้าได้ลองสัมผัสกับพลังของมันดูสักหน่อย !”

ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย เวลานี้นางกลายเป็นเทพีแห่งสงครามที่ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงแรงกดดันอย่างไม่รู้จบ

“เทพมายาจงเจริญ เทพมายาจงเจริญ !”

ชาวชนเผ่ามายาต่างก็ตกตะลึงกับพลังมหาศาลนี้และรีบคุกเข่าลงพร้อมกล่าวแสดงความจำนนต่อฉินอวี้โม่อย่างจริงใจ กล่าวได้เลยว่าแม้แต่ฉินเฟยเหยียนในอดีตก็ไม่ได้มีพลังมากถึงเพียงนี้

“ฮ่า ๆ ๆ ฉินอวี้โม่ ต้องยอมรับว่าเจ้าทรงพลังกว่าฉินเฟยเหยียนจริง ๆ !”

ฉินมู่ยวี่แสยะยิ้มและจู่ ๆ คทาสีฟ้าก็ปรากฏในมือของนาง

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็คงจะยั้งมือไม่ได้อีกต่อไป นี่คือทักษะของข้าที่ไม่เคยแสดงให้ใครเห็นมาก่อน วันนี้ข้าจะใช้มันประจันหน้ากับเจ้าเพื่อตัดสินว่าสุดท้ายแล้วใครกันแน่ที่เหนือกว่ากัน !”

หลังจากกล่าวจบ นางก็เริ่มเอ่ยปากพึมพำราวกับร่ายคาถาท่องมนต์ จากนั้นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็สัมผัสได้ถึงพลังธาตุลมกลางอากาศที่ก่อตัวรวมกันรอบตัวฉินมู่ยวี่และค่อย ๆ กลายเป็นพายุหมุนที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

ฉินอวี้โม่ก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย เพลิงบนกระบี่เล่มยาวของนางรวมตัวกันเป็นพลังที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนมังกรเพลิงจะปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้านางและขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง พลังธาตุไฟทั่วบริเวณรวมตัวกันอย่างรวดเร็วราวกับมีจุดมุ่งหมายที่ต้องการแผดเผาทุกอย่างให้มอดม้วย

“พายุหมุนสะท้านพิภพ !”

ฉินมู่ยวี่เอ่ยขึ้นเบา ๆ และพายุหมุนรุนแรงกวาดตรงไปยังทิศทางของฉินอวี้โม่

“มังกรเพลิงแผดเผาโลกีย์ !”

ฉินอวี้โม่เองก็กล่าวขึ้นเบา ๆ เช่นกัน จากนั้นมังกรเพลิงตัวเดิมก็ดูเหมือนจะมีจิตวิญญาณขึ้นมาขณะพุ่งออกไปประจันหน้ากับพายุหมุนอันรุนแรงของฉินมู่ยวี่

เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ !

เสียงประหลาดดังขึ้นอย่างต่อเนื่องราวกับพลังจากพายุหมุนระเบิดออกและเปลวเพลิงขนาดเล็กจุดประกายขึ้นทั่วทุกหนแห่งจนทำให้ผู้คนโดยรอบหวาดหวั่นใจ

“โอ้ ถือว่าไม่เลวเลย”

ฉินมู่ยวี่ตะโกนด้วยน้ำเสียงเย็นชาขณะพยายามควบคุมพายุหมุนสะท้านพิภพและขยับเขยื้อนไม่ได้ชั่วขณะ

“เจ้าก็ฝีมือไม่เลวเช่นกัน”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและควบคุมวิชามังกรเพลิงแผดเผาโลกีย์ของตนจนขยับเขยื้อนไม่ได้เช่นกัน

เวลานี้ ทั้งสองกำลังพยายามที่จะประชันกันด้วยพลังมายา ไม่ว่าจะเป็นพายุหมุนสะท้านพิภพหรือมังกรเพลิงแผดเผาโลกีย์ที่หายไปก่อน มันก็จะส่งผลกระทบที่รุนแรงต่ออีกฝ่ายอย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้น ใครที่มีพลังมายามากกว่าก็จะกลายเป็นผู้คว้าชัยชนะไปโดยปริยาย

ขณะการประจันหน้าดำเนินไป เวลาหนึ่งชั่วโมงก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยล้าอ่อนแรง พลังมายาของฉินอวี้โม่และฉินมู่ยวี่กำลังถูกเติมเต็มอย่างต่อเนื่องในขณะที่พายุหมุนสะท้านพิภพและมังกรเพลิงแผดเผาโลกีย์ของทั้งสองกำลังติดอยู่ในสภาวะชะงักงัน แม้ผ่านมาระยะหนึ่งก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าฝ่ายใดจะคว้าชัยชนะ

อีกหนึ่งชั่วโมงผ่านไปและท้องฟ้าค่อย ๆ มืดสลัวลง อย่างไรก็ตาม ภายใต้แสงสว่างเจิดจ้าของเปลวเพลิง บรรยากาศโดยรอบจึงยังดูเหมือนมิใช่เวลากลางคืน

พลังธาตุลมหนาแน่นทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความหนาวเหน็บขึ้นมา และในขณะเดียวกัน พลังธาตุไฟที่อุดมสมบูรณ์ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกร้อนรุ่มไม่น้อย เพราะเหตุนี้ บรรยากาศโดยรอบจึงก่อตัวกลายเป็นสองชั้นซึ่งก็คือชั้นน้ำแข็งและชั้นเปลวเพลิง

พลั่ก !

ในที่สุด พายุหมุนสะท้านพิภพกลางอากาศก็เริ่มที่จะสูญสลายไปก่อน ร่างของฉินมู่ยวี่ก็ราวกับเป็นว่าวที่สายขาดและร่วงลงพื้นอย่างรุนแรง

เวลานี้นางหมดเรี่ยวแรงและไม่มีพลังพอที่จะยืนประจันหน้ากับฉินอวี้โม่ได้อีกต่อไป

ฉินอวี้โม่ก็ควบคุมมังกรเพลิงต่อไปและผลักมันออกไปบนท้องฟ้าเพื่อให้มันสลายหายไปในที่ที่ปลอดภัย

เมื่อเห็นเช่นนั้น หานโม่ฉือก็พุ่งตรงเข้าไปหาฉินอวี้โม่ทันทีและรับนางไว้ในอ้อมแขนก่อนลงสู่พื้นดินตามเดิม

“ฉินมู่ยวี่ เจ้าแพ้แล้ว !”

ฉินอวี้โม่มองดูฉินมู่ยวี่ที่ใบหน้าซีดเซียวอยู่บนพื้นและกล่าวยืนยันอีกครั้ง แม้ฉินมู่ยวี่เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ฉินอวี้โม่ก็ต้องยอมรับเลยว่าอีกฝ่ายมีพลังที่แกร่งกล้ามากจริง ๆ กล่าวได้เลยว่าจนกระทั่งวันนี้ ฉินมู่ยวี่คือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ฉินอวี้โม่เคยพานพบมา

“ฮ่า ๆ ๆ ฉินเฟยเหยียน สุดท้ายข้ายังด้อยกว่าเจ้าอยู่ดีสินะ”

ฉินมู่ยวี่พยายามลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าที่ยังซีดเซียวไม่เปลี่ยนแปลง นางมองไปที่อดีตเทพมายาและกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่ชวนให้เป็นกังวล

“ฉินเฟยเหยียน เจ้าชนะแล้ว ข้าไม่คิดว่าข้าทำอะไรผิดไปในอดีต หากมิใช่เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้า ข้าก็คงไม่ได้เป็นผู้นำของชนเผ่ามายาและข้าคงไม่ได้มีอำนาจและสถานะเช่นในตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเชื่อว่าข้าไม่เคยทำสิ่งใดที่เป็นการทำร้ายชนเผ่ามายาแห่งนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ต่อให้ฝ่ายมารต้องการชักชวนให้ร่วมมือกัน ข้าก็ปฏิเสธ แม้ตอนนี้เจ้าจะชนะ ข้าก็ไม่คิดว่าข้าทำอะไรผิดไป”

ฉินมู่ยวี่มองฉินเฟยเหยียนและกล่าวอย่างไม่มีความรู้สึกผิดใด ๆ ทั้งสิ้น หากไม่มีฉินเฟยเหยียน นางก็จะได้เป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดในชนเผ่ามายาและเป็นผู้นำเพียงคนเดียวที่ทั้งชนเผ่าเคารพและศรัทธา เพราะเหตุนั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางจึงไม่รู้สึกเสียใจกับการกระทำของตน ต่อให้นางจะถูกมองเป็นบุคคลที่เลวร้ายเพราะสิ่งที่ทำลงไป นางก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย

“ฉินมู่ยวี่ เจ้า…”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินมู่ยวี่ ฉินเฟยเหยียนก็พูดไม่ออกและไม่อาจสรรหาคำพูดใดตอบโต้ ฉินมู่ยวี่ไม่ได้ผิด และตัวนางเองก็ไม่ผิดเช่นกัน สิ่งที่ผิดเพียงอย่างเดียวคือทั้งสองไม่ควรเติบโตขึ้นมาในที่เดียวกัน

ทว่าเมื่อนึกย้อนไปถึงการกระทำของฉินมู่ยวี่ในอดีตครานั้น จู่ ๆ ฉินเฟยเหยียนก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย หากนางเป็นอย่างฉินมู่ยวี่ที่ต้องอาศัยอยู่ภายใต้เงาของใครอีกคนมาตั้งแต่วัยเด็ก นางก็อาจทำสิ่งที่รุนแรงมากกว่าฉินมู่ยวี่เสียอีก

“ฉินเฟยเหยียน ไม่ต้องสงสารข้าหรอก ข้าไม่ต้องการมัน แม้วันนี้ข้าจะพ่ายแพ้ ข้าก็ยังภาคภูมิใจในตัวเอง !”

ฉินมู่ยวี่กล่าวขึ้นเบา ๆ ขณะสบตาฉินเฟยเหยียนและความมุ่งมั่นบางอย่างปรากฏในแววตา

“ฉินเฟยเหยียน หากมีชีวิตหน้า ข้าจะไม่ขออยู่ใต้เงาของเจ้าอีกต่อไป !”

หลังจากสิ้นเสียง ร่างของฉินมู่ยวี่ก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วและเห็นได้ชัดว่านางคิดจะระเบิดตัวเอง

“ฉินมู่ยวี่ หากเจ้าระเบิดตัวเองที่นี่ ทั้งชนเผ่ามายาจะต้องถูกทำลายไปด้วยน้ำมือของเจ้า !”

เมื่อเห็นท่าทางและแววตามุ่งมั่นของฉินมู่ยวี่ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวขึ้นทันที ด้วยความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาของฉินมู่ยวี่ หากนางระเบิดตัวเองจริง ต่อให้ทุกคนที่นี่ร่วมมือกัน ชนเผ่ามายาก็ยังต้องได้รับความเสียหายอย่างหนัก

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ฉินมู่ยวี่ก็หยุดชะงักไปเล็กน้อยก่อนล้มเลิกการกระทำของตน นางไม่ต้องการให้ชนเผ่ายาแห่งนี้ต้องได้รับผลกระทบที่รุนแรงไปด้วย

“ฉินมู่ยวี่ เจ้าอยากจะเอาชนะข้านักมิใช่รึ ? การที่รักตัวกลัวตายเช่นนี้มิใช่ฉินมู่ยวี่ที่ข้าเคยรู้จักเลย”

ฉินเฟยเหยียนกล่าวขณะมองตรงไปที่ฉินมู่ยวี่ “ข้าจะรอเจ้าอยู่ในดินแดนอีกแห่งหนึ่ง หากเจ้าคิดว่าแข็งแกร่งกว่าข้ามากนัก เจ้าก็จงฝึกวิชาต่อไปและตามไปพบข้าที่ดินแดนแห่งนั้นเพื่อประชันฝีมือกันสักคราแทนที่จะระเบิดตัวเองอยู่ที่นี่”

ครั้งหนึ่งนางและฉินมู่ยวี่เคยเป็นสหายร่วมทางที่ดีที่สุดต่อกัน และแน่นอนว่าฉินเฟยเหยียนไม่ต้องการเห็นอีกฝ่ายตายไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินมู่ยวี่ก็ขจัดความคิดที่จะระเบิดตัวเองไปทันที นางไม่มีทางคิดได้เลยว่าวันหนึ่งนางจะสามารถเอาชนะฉินเฟยเหยียนได้จริง ๆ …