บทที่ 464.2 สัญญาสิบปีผ่านไปแล้วครึ่งหนึ่ง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันมาถึงศาลเทพวารีที่บรรยากาศเคร่งขรึมแห่งนั้นโดยไม่ทันรู้ตัว

ควันธูปของสถานที่แห่งนี้ลุกโชติช่วงอย่างต่อเนื่อง ทว่ากลับสู้ศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอไม่ได้ที่ต่อให้เป็นกลางดึกกลางดื่นก็ยังมีผู้มีจิตศรัทธานับพันคนรออยู่ด้านนอกเพื่อหวังจะได้เข้าไปจุดธูปในศาล เพราะถึงอย่างไรแถบเขตการปกครองหลงเฉวียนนี้ก็ยังมีชาวบ้านอยู่น้อย รอให้หลงเฉวียนเลื่อนจากเขตการปกครองเป็นมณฑลเมื่อไหร่ ย่อมต้องมีชาวบ้านของราชสำนักต้าหลีย้ายมาอยู่ที่นี่อย่างต่อเนื่อง ถึงเวลานั้นก็พอจะจินตนาการได้ถึงภาพบรรยากาศคึกคักของศาลเทพวารีต้าหลีแห่งนี้ได้เลย

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปข้างใน ต้นป่ายโบราณขึ้นเขียวครึ้ม ส่วนใหญ่ล้วนเป็นต้นไม้บนภูเขาใหญ่แถบทิศตะวันตกที่ถูกย้ายมาปลูกที่นี่

พอไปถึงตำหนักหลัก เฉินผิงอันก็ข้ามธรณีประตู แหงนหน้ามองเทวรูปดินเผาสีสันที่สูงสี่จั้ง มีชีวิตชีวาเสมือนจริง รอบกายของรูปปั้นล้อมพันไว้ด้วยแถบผ้าหลากสี ราวกับว่ารูปปั้นนี้จะโบยบินขึ้นฟ้า

ระดับความสูงของเทวรูปร่างทองมักจะมีความหมายว่าองค์เทพองค์หนึ่งอยู่ในอันดับหน้าหรือหลังในทำเนียบแห่งภูเขาแม่น้ำของราชสำนักแห่งหนึ่ง

ก็เหมือนกับศาลที่เฉินผิงอันผ่านทางมาก่อนหน้านี้ที่เทวรูปสูงแค่หนึ่งจั้งกว่า

เฉินผิงอันรู้ความลับที่ซุกซ่อนอยู่ในเรื่องนี้

เจ้าแม่เทพวารีท่านนี้มีนามเดิมว่าหยางฮวา เคยเป็นสาวใช้ประจำกายของเหนียงเนียงต้าหลี ในอ้อมอกอดกระบี่โบราณที่มีพู่ยาวสีทองเล่มหนึ่ง เพียงแต่ภายหลังไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงยอมสละตน ตายแล้วกลายมาเป็นเทพ กลายมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแม่น้ำสายนี้ นางได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่ในน้ำ ยามที่สร้างร่างทององค์เทพของตนเองเคยได้ชักนำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด ระดับขั้นของร่างทองสูงมาก เป็นเหตุให้ราชสำนักต้าหลีให้ความสำคัญอย่างถึงที่สุด อันดับแรกก็เลื่อนลำคลองขึ้นเป็นแม่น้ำ จากนั้นก็เลื่อนขั้นให้เจ้าแม่เทพวารีท่านนี้อยู่ในระดับสูงสุดของเทพวารี

เฉินผิงอันทั้งไม่ได้เชิญธูปมาจุด แล้วก็ไม่ได้กระทำการใดๆ ที่เป็นการแสดงความเคารพ เขาอยู่เพียงครู่เดียวก็ออกมาจากตำหนักใหญ่ เดินออกจากศาลเทพที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง ย้อนกลับไปทางเดิม

ตั้งแต่ต้นจนจบ บรรยากาศในศาลเทพวารีวิเวกเปลี่ยวเหงา มีเพียงควันธูปเท่านั้นที่ลอยกรุ่นไม่ขาดสาย

คราวนี้เฉินผิงอันไม่ได้รบกวนเว่ยป้อ รอจนเขาเดินกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วก็เป็นยามสนธยาของวันที่สองแล้ว ระหว่างนี้ยังเดินเที่ยวไปตามภูเขาแห่งต่างๆ ที่อยู่ริมขอบด้วย ปีนั้นหลังจากได้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองมาหลายถุง หร่วนฉงก็แนะนำให้เขาซื้อภูเขา เฉินผิงอันพกเอาแผนที่ที่ทางที่ว่าการงานเตาเผาเป็นผู้สร้างขึ้นเดินไปทั่วกลุ่มภูเขาเพียงลำพัง สุดท้ายเลือกภูเขาห้าลูกซึ่งรวมภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาเจินจูเป็นหนึ่งในนั้น ตอนนี้มาลองย้อนคิดดูแล้วก็ราวกับว่าอยู่ห่างไกลกันคนละโลกจริงๆ

หลังจากขึ้นเขามาแล้ว เฉินผิงอันก็ไปที่เรือนไม้ไผ่ก่อน หนีพระได้ หนีวัดไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สามารถหลบผู้เฒ่าได้ทุกวัน อีกอย่างหากผู้เฒ่าคิดจะซ้อมเขาจริงๆ คิดจะหลบก็หลบไม่พ้น

เฉินผิงอันนั่งเขียนจดหมายหลายฉบับอยู่ในชั้นหนึ่ง คิดว่าจะส่งไปยังสำนักศึกษาซานหยา ส่งให้แก่หลิวจื้อเม่าและกู้ช่านที่เกาะชิงเสีย รวมไปถึงหมู่บ้านของซ่งอวี่เซาแคว้นซูสุ่ย จดหมายฉบับที่ส่งไปให้กู้ช่านนั้น ยังขอให้เขาช่วยนำความไปบอกต่อแก่หลิวจ้งรุ่นเกาะจูไชด้วย ส่วนกระบี่บินส่งข่าวที่ส่งไปให้แก่หลิวจื้อเม่าก็เตือนถึงสภาพการณ์ของหงซูที่อยู่ในจวนชุนถิง

หลิวจื้อเม่ารอดพ้นจากหายนะใหญ่มาได้โดยที่ไม่ตาย ตอนนี้ไม่เพียงแต่เดินออกมาจากคุกน้ำเกาะกงหลิ่วย้อนกลับไปเกาะชิงเสียอย่างปลอดภัย ยังเปลี่ยนสถานะใหม่ กลายมาเป็นผู้ถวายงานของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยกเช่นเดียวกับหลิวเหล่าเฉิง อีกทั้งยังอยู่ในอันดับที่สาม ขั้วอำนาจมากมายของทะเลสาบซูเจี่ยนที่เหยียบย่ำซ้ำเติมเกาะชิงเสียในปีนั้น คาดว่าคงไม่มีใครหนีผลลัพธ์ที่ตามมาได้พ้น ส่วนลูกศิษย์และผู้ถวายงานในเกาะชิงเสียเองก็คาดว่าคงยิ่งต้องซวยหนัก ยกตัวอย่างเช่นคนฉลาดที่ไม่ว่าจะวางแผนเรื่องใดก็ล้วนคิดเสมอว่าอาจารย์ของตนอย่างหลิวจื้อเม่าต้องตายสถานเดียว เถียนหูจวินผู้ฝึกตนโอสถทองแห่งเกาะซู่หลิน

ดังนั้นคำโบราณที่กล่าวไว้ว่าเป็นคนควรเหลือทางถอยให้ตัวเอง ยังคงมีเหตุผลอย่างมาก

จดหมายฉบับสุดท้ายนั้นเขียนให้กับจงขุยแห่งภูเขาไท่ผิงของใบถงทวีป เขาจำเป็นต้องส่งไปยังนครมังกรเฒ่าก่อน จากนั้นค่อยส่งกระบี่บินข้ามทวีปไปอีกที จดหมายฉบับที่เหลือ ท่าเรือบนภูเขาหนิวเจี่ยวมีห้องกระบี่อยู่ห้องหนึ่ง หากอยู่ในทวีปเดียวกัน ขอแค่ไม่เป็นสถานที่ที่กันดารห่างไกลเกินไป หรือเป็นภูเขาที่ศักยภาพอ่อนด้อยเกินไปก็ล้วนสามารถส่งไปถึงได้อย่างราบรื่น เพียงแต่ว่ากระบี่บินของห้องกระบี่ตอนนี้อยู่ในการควบคุมของกองทัพของต้าหลี ดังนั้นจึงยังต้องใช้เว่ยป้อมาบังหน้า นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ หากเปลี่ยนมาเป็นหร่วนฉงก็คงไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงขนาดนี้ สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นเพราะว่าภูเขาลั่วพั่วยังไม่มีหน้ามีตาเฉกเช่นคนอื่นเขา

เขียนจดหมายแต่ละฉบับเสร็จแล้วก็เรียกเผยเฉียนกับจูเหลี่ยนมาหา บอกให้พวกเขาเอาไปส่งที่ภูเขาหนิวเจี่ยว

เผยเฉียนเปี่ยมไปด้วยความคึกคักฮึกเหิม

จึงคิดจะเรียกเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูให้ไปด้วยกัน สนุกคนเดียวไม่สู้สนุกกันหลายๆ คน

เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันกลับเรียกตัวพวกเขาไว้ก่อน เผยเฉียนจึงได้แต่ลงเขาไปพร้อมกับพ่อครัวเฒ่า แต่ก็ยังถามอาจารย์ว่าจูงฉวีหวงไปด้วยกันได้หรือไม่ เฉินผิงอันบอกว่าได้ เผยเฉียนถึงได้เดินอาดๆ ออกไปจากเรือน

เดิมทีนึกว่าต้องรอให้ตนท่องยุทธภพในครั้งต่อไปก่อนเท่านั้นถึงจะขอลาตัวเล็กๆ มาจากอาจารย์ได้ คิดไม่ถึงว่าจะได้ขี่ม้าตัวสูงใหญ่ตั้งแต่ตอนนี้เลย ไม่อย่างนั้นวันหน้าก็ไม่ต้องไปท่องอยู่ในยุทธภพแล้วดีกว่า ขี่ม้าเตร่อยู่รอบๆ ภูเขาลั่วพั่วก็ไม่ถือว่าท่องอยู่ในยุทธภพแล้วหรอกหรือ? แล้วก็ไม่ต้องไปเจอกับคนชั่วมากมายที่ตัวเองไม่ชอบด้วย หิวเมื่อไหร่ก็วิ่งกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว ไม่ต้องกลุ้มใจเรื่องการกินอยู่ ยุทธภพที่เป็นเช่นนี้ แม้จะเล็กไปหน่อย แต่นางมีความสุขมากนี่นา

เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้อยู่บนภูเขา บอกว่าจะไปชำระหนี้ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนเสียก่อน แล้วค่อยกลับมาพักอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว คาดว่าเจิ้งต้าเฟิงคงจะติดหนี้โรงเตี๊ยมและหอสุราไว้บานเบอะ ถึงได้ยืมเงินไปจากจูเหลี่ยน ส่วนจะคืนหรือไม่ แล้วจะคืนเมื่อไหร่ สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้

เด็กสาวที่ชื่อว่าเฉินยวนจีผู้นั้น ตอนนั้นก็ยืนอยู่ในลานบ้านอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าของนางแดงก่ำ ไม่กล้ามองเจ้าของภูเขาหนุ่มผู้นั้นตรงๆ

เฉินผิงอันย่อมไม่ถือสาความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ บอกตามตรง แรกเริ่มเป็นเขาที่หลงตัวเอง นึกว่าจะเป็นไปตามคำบอกของจูเหลี่ยน คิดไม่ถึงว่าจะถูกเด็กสาวไร้เดียงสาตีแสกหน้าอย่างจัง นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกผิดหวังนิดๆ

ไม่ใช่ว่าเขาเฉินผิงอันเป็นคนเจ้าชูเสเพล แต่บุรุษบนโลกใบนี้ ไหนเลยจะไม่ชอบให้ตัวเองหน้าตาดี ไม่ทำให้คนอื่นรังเกียจ?

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้จงใจเย็นชาใส่เฉินยวนจี เขาเอ่ยประโยคที่เอ่ยตอนอยู่หน้าประตูบ้านตระกูลเฉินในเขตการปกครองหลงเฉวียนก่อนหน้านี้ซ้ำอีกรอบ ในเมื่อมาอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว จะฝึกวรยุทธที่นี่ก็ต้องเคารพกฎ ทางที่ดีที่สุดควรถามจากจูเหลี่ยนให้รู้แน่ชัด หลังจากนั้นเมื่ออยู่ในกฎแล้ว คิดจะทำอะไรพูดอะไรก็จะไม่ละเมิดกฎอีก อีกทั้งต่อให้ในอนาคตถูกลงโทษ แต่รู้สึกว่าตัวเองไม่ผิด ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล สามารถมาอธิบายเหตุผลกับเขาเฉินผิงอันได้โดยตรง จะไม่มีใครห้ามปรามเด็ดขาด ขอแค่เหตุผลของนางถูกต้อง เฉินผิงอันก็จะยอมรับในเหตุผลของนาง

เฉินยวนจีพยักหน้ารับอย่างมึนๆ งงๆ ยังคงไม่พูดอะไรอยู่เหมือนเดิม

นางทั้งโล่งใจและกังวลใจ โล่งใจว่าภูเขาลั่วพั่วไม่ใช่บ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ กังวลว่านอกจากเทพเซียนผู้เฒ่าจูแล้ว เหตุใดนับตั้งแต่เจ้าภูเขาหนุ่ม ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเจ้าภูเขา ไปจนถึงเด็กชุดเขียว ชุดกระโปรงชมพูคู่นั้น ล้วนแตกต่างจากผู้ฝึกตนบนภูเขาในใจของเฉินยวนจีไปมากนัก มีเพียง ‘เว่ยป้อ’ คนเดียวที่ภาพลักษณ์สอดคล้องกับเทพเซียนในใจนางมากที่สุด แต่ผลกลับกลายเป็นว่าเขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนบนภูเขาลั่วพั่ว

ส่วนผู้เฒ่าที่มีชื่อว่าสือโหรวผู้นั้น ไม่ค่อยชอบพูด ที่น่าประหลาดยิ่งกว่าก็คือ แค่มองเขาแล้วก็รู้สึกขนลุก

เฉินยวนจีถอนหายใจอยู่ในใจ ช่างเถิด อยู่ที่นี่แล้วตั้งใจฝึกวรยุทธก็แล้วกัน

เฉินผิงอันพาเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูไปที่โต๊ะหินริมหน้าผาของเรือนไม้ไผ่ด้วยกัน

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูนั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน ตำแหน่งค่อนไปทางทิศเหนือ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่บดบังการทอดสายตามองไปทางทิศใต้ของนายท่านตัวเอง

เด็กชายชุดเขียวนั่งอยู่ตรงข้ามกับเฉินผิงอัน แค่เขายื่นมือออกมา เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูก็ควักเมล็ดแตงกำหนึ่งส่งไปให้ อยู่กับเผยเฉียนที่ชอบแทะเมล็ดแตงมากที่สุดนานวันเข้า นางจึงเหมือนแม่ค้าร้านแผงลอยเล็กๆ ที่ขายเมล็ดแตงเข้าไปทุกทีแล้ว

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกเจ้าไม่เคยมีชื่ออย่างเป็นทางการกันสักที นี่ไม่เข้าท่าเท่าไหร่ วันหน้าภูเขาลั่วพั่วอาจจะมีสำนัก หรือไม่แน่แม้แต่ศาลบรรพจารย์ก็อาจจะยังมี แต่ชื่อแห่งชะตาชีวิตของพวกเจ้า พวกเจ้าก็เก็บไว้กับตัวนั่นแหละดีแล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าไม่เคยถามพวกเจ้า วันหน้าก็จะไม่ถาม ต่อให้ในอนาคตภูเขาลั่วพั่วกลายเป็นภูเขาของการฝึกตนจริงๆ ก็จะไม่เรียกร้องต่อพวกเจ้าเหมือนกัน ตอนนี้ข้าสามารถบอกพวกเจ้าไว้ได้เลย หากวันหน้ามีใครปากมากยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด พวกเจ้าก็มาบอกข้า ข้าจะคุยกับเขาเอง แต่ถึงอย่างไรก็ควรจะต้องมีชื่อที่สามารถบันทึกไว้ในทำเนียบศาลบรรพจารย์ในอนาคต ดังนั้นพวกเจ้ามีชื่อหรือฉายาที่ตัวเองชื่นชอบกันหรือไม่?”

ภูตแห่งภูเขาแม่น้ำ จำเป็นต้องสลักชื่อแห่งชะตาชีวิตของตัวเองไว้ในจุดใดจุดหนึ่งของทะเลสาบหัวใจ ห้องหัวใจ หรือผืนนาหัวใจอย่างระมัดระวัง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากจำแลงร่างกลายเป็นคนแล้ว ชื่อนี้ก็ห้ามขาดไปเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นการ ‘ป่าวประกาศแก่ใต้หล้า’ ประหนึ่งรัชศกในการก่อตั้งแคว้น

การถ่ายทอดวิชาลับบนภูเขา หากภูตหรือปีศาจไม่ยินดีถูก ‘บันทึกลงเอกสาร’ ก็จะต้องถูกมหามรรคาของใต้หล้าไพศาลผลักไส มีอุปสรรคมากมายนับไม่ถ้วน ภูตและปีศาจหลายตนที่ออกห่างจากโลกมนุษย์ ไม่เข้าใจในหลักการนี้ การที่พวกเขาบรรลุมรรคาได้อย่างยากลำบาก ก็เพราะว่าไม่มีใครบอกเรื่องนี้บนเส้นทางการฝึกตน เป็นเหตุให้ร้อยปีพันปีต้องอยู่อย่างไร้แซ่ไร้นาม ชีวิตระหกระเหินเจอแต่ปัญหา การฝ่าทะลุขอบเขตเชื่องช้า ไม่ได้รับการยอมรับจากใต้หล้าไพศาล นี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุหลัก

เพียงแต่ว่าหากถูกผู้ฝึกตนรู้ชื่อที่แท้จริง นั่นก็เท่ากับว่าภูตและปีศาจถูกกุมจุดอ่อนข้อใหญ่เอาไว้

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่เคยถามชื่อที่แท้จริงของเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู

เฉินผิงอันพลันหัวเราะ แล้วพูดด้วยความมั่นใจว่า “หากพวกเจ้าคิดไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ข้าจะช่วยตั้งชื่อให้พวกเจ้าเอง เรื่องนี้ข้าถนัดนักล่ะ”

เด็กชายชุดเขียวที่เดิมทียังโคลงศีรษะแทะเมล็ดแตงเหมือนถูกฟ้าผ่า โยนเมล็ดแตงไว้บนโต๊ะ ใช้ฝ่ามือสองข้างยันพื้นโต๊ะหิน พูดโอดครวญ “ไม่ได้เด็ดขาด! ข้าค่อยๆ คิดชื่อของตัวเองได้ นายท่านเหนื่อยยากขนาดนี้แล้ว ก็อย่าเป็นกังวลกับเรื่องนี้อีกเลย…”

ต่อให้เป็นเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่สนิทสนมกับเฉินผิงอันที่สุด บนใบหน้าเล็กๆ สีชมพูระเรื่อที่น่ารักก็ยังเริ่มมีสีหน้าแข็งทื่อ

เฉินผิงอันมองเด็กชายชุดเขียว แล้วก็ค่อยหันมามองเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู “ไม่ต้องให้ข้าช่วยจริงๆ หรือ? ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้แล้วนะ อย่ามาเสียใจภายหลังล่ะ”

เด็กชายชุดเขียวรีบถูข้างแก้มแรงๆ พึมพำว่า “มารดามันเถอะ รอดตายหวุดหวิดแล้วเรา”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูกลัวว่านายท่านของตนจะเสียใจจึงแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ดีใจขนาดนั้น พยายามขึงหน้าเล็กๆ ให้บึ้งตึง

เฉินผิงอันยังคงไม่ถอดใจ ถามหยั่งเชิงว่า “ระหว่างที่ข้าย้อนกลับมาบ้านเกิดได้คิดชื่อดีๆ ไว้ได้หลายชื่อ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าลองฟังดูก่อนดีไหม?”

เด็กชายชุดเขียวน้ำตาคลอเจียนจะหยด “นายท่าน ข้าได้ยินมาว่าความรู้ของบัณฑิตนั้น ใช้หมดไปนิดหนึ่งก็หายไปนิดหนึ่ง กระบี่สี่เล่ม ชูอีสืออู่ กำจัดปีศาจปราบมาร ความรู้ความสามารถของนายท่านก็ถูกใช้ไปพอสมควรแล้ว ควรประหยัดไว้หน่อยจะดีกว่านะ”

เด็กชายชุดเขียวโขกหัวกับโต๊ะหิน แกล้งตาย เพียงแต่ว่าเบื่อมากจริงๆ บางครั้งจึงจะยื่นมือไปหยิบเมล็ดแตงมาหนึ่งเมล็ด เอียงศีรษะน้อยๆ แอบแทะเมล็ดแตง

เฉินผิงอันถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ หากเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็มาบอกข้าแล้วกัน”

เด็กชายชุดเขียวเอาหน้าแนบโต๊ะ หันไปทำหน้าทะเล้นใส่เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูปิดปากหัวเราะคิกคัก

เฉินผิงอันยิ้มอ่อนโยน ลูบศีรษะเล็กของนางเบาๆ

ระหว่างที่เดินทางกลับบ้านเกิด เฉินผิงอันขี่ม้าเดินทางพลางพลิกแผ่นไม้ไผ่แต่ละแผ่น ไล่อ่านถ้อยคำที่งดงามบนนั้นก็เพื่อจะนำมาตั้งชื่อที่ไพเราะให้กับเจ้าตัวน้อยทั้งสอง

น่าเสียดายที่วีรบุรุษไร้ที่ให้แสดงฝีมือ

พูดคุยธุระสำคัญเสร็จ เด็กน้อยทั้งสองก็ลุกขึ้นบอกลาแล้ววิ่งปรู๊ดจากไปอย่างรวดเร็ว

เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด

เขานั่งอยู่ที่เดิม บนโต๊ะยังมีเมล็ดแตงที่เด็กชายชุดเขียวกินไม่หมด เขาจึงหยิบมันขึ้นมาทีละเมล็ดแล้วนั่งแทะเพียงลำพัง

เรื่องที่ตนลงนามซื้อขายภูเขากับสกุลซ่งต้าหลี ราชสำนักต้าหลีจะส่งตัวรองเจ้ากรมพิธีการคนหนึ่งมา

เฉินผิงอันปัดมือ ควักยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีแผ่นนั้นออกมา เขารู้สึกลังเลเล็กน้อย

เว่ยป้อเคยบอกว่า ถึงแม้สกุลหลี่บนถนนฝูลวี่จะมีรากฐานไม่ตื้นเขิน ทว่าตอนนั้นบรรพบุรุษสกุลหลี่ฝืนฝ่าคอขวดโอสถทอง เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดในรวดเดียว ได้เผาผลาญสมบัติของตระกูลไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนภายนอกแล้วยัง ‘หนุ่มอย่างมาก’ ท่านนี้ หลังจากที่ตราผนึกของถ้ำสวรรค์หลีจูเปิดออก เขาที่เคยชินกับฟ้าดินขนาดเล็กในอดีตไปแล้ว การประทานบุญคุณของในอดีตล้วนกลับคืนสู่ฟ้าดินไปหมด นี่จึงกลับกลายมาเป็นเรื่องร้าย รากฐานตื้นเขินเกินไป ขอบเขตสูงเกินไป เป็นเหตุให้เกิดสถานการณ์อันตรายอย่างน้ำมหาสมุทรไหลย้อนทะลักกลับคืน จำเป็นต้องเผาผลาญเงินเทพเซียนเพื่อสร้างเขื่อนกั้น ป้องกันไม่ให้ถูกปราณขุ่นมัวสกปรกรุกรานโจมตีอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ทุกวันนี้สกุลหลี่ยังรับช่วงต่อซื้อจวนหลังใหญ่ของลูกหลานอ๋องและโหวที่ตกอับในเมืองหลวงต้าหลีมาหลังหนึ่ง นี่ทำให้พวกเขามีค่าใช้จ่ายสูงมาก ดังนั้นตอนนี้สกุลหลี่จึงขาดแคลนเงินทองจริงๆ

สี่แซ่สิบสกุลใหญ่ในอดีตของถนนฝูลวี่ ตรอกเถาเย่ในอดีต ทุกวันนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว

บางคนก็ย้ายออกไปแล้วก็ไม่มีข่าวคราวกลับมาอีกเลย บางคนก็เงียบหายไปทั้งอย่างนี้ ไม่รู้ว่ากำลังสะสมกำลังหรือว่าต้นกำเนิดพลังเสียหายจากการวางแผนลับเบื้องหลังที่ไม่มีใครรู้กันแน่ ส่วนตระกูลที่ในอดีตไม่ได้อยู่ในลำดับนี้ อย่างเช่นสกุลเซี่ยตรอกเถาเย่ของเด็กหนุ่มคิ้วยาว เนื่องจากบรรพบุรุษอย่างเซี่ยสือเจินจวินแห่งอุตรกุรุทวีปโผล่ออกมา พวกเขาจึงถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในตรอกเถาเย่ทุกวันนี้

ทางฝั่งของเรือนชั้นสอง ผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นว่า “พรุ่งนี้เริ่มฝึกหมัด”

เฉินผิงอันตอบรับ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังบ่อน้ำเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังเรือนไม้ไผ่ น้ำในบ่อใสกระจ่างจนเห็นก้นบึ้ง หลังจากที่เว่ยป้อสร้างบ่อนี้ขึ้นมา ต้นกำเนิดน้ำของที่นี่คือน้ำเป็น ซึ่งไม่ธรรมดาเลย เพราะรับเอามาจากภูเขาพีอวิ๋นโดยตรง ภายหลังก็โยนเมล็ดดอกบัวสีทองเมล็ดนั้นลงไปข้างใน

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ด้านข้าง ยื่นมือไปตบพื้นเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ออกมาเถอะ”

คนจิ๋วดอกบัวผุดออกมาจากพื้นดิน บนร่างไม่เปรอะเปื้อนดินโคลนแม้แต่น้อย มันหัวเราะคิกคัก ดึงชุดสีเขียวของเฉินผิงอัน พริบตาเดียวก็ไต่ขึ้นมานั่งบนไหล่ของเขาแล้ว

เฉินผิงอันเคยบอกให้เว่ยป้อช่วยดูแลคนจิ๋วดอกบัวแทนเขา ตอนนั้นสายตาของเว่ยป้อเลื่อนลอย เพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น

มองบ่อน้ำเล็กๆ อยู่ครู่หนึ่ง แน่นอนว่าไม่มีทางมองจนดอกไม้ผุดออกมาได้

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน พาคนจิ๋วดอกบัวเดินไปยังชั้นหนึ่งของเรือนด้วยกัน ที่นี่ถือว่าเป็นที่พักอย่างเป็นทางการของเขาเฉินผิงอัน

ของหลายอย่างล้วนเก็บไว้ที่นี่ ตอนที่เฉินผิงอันไม่อยู่ภูเขาลั่วพั่ว เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูก็จะมาปัดฝุ่นทำความสะอาดให้ทุกวัน อีกทั้งยังไม่อนุญาตให้เด็กชายชุดเขียวเข้าออกได้ตามใจชอบด้วย

เฉินผิงอันนั่งลงข้างโต๊ะ แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะ ตอนนี้เขายังคงสวมชุดสีเขียว ถ้าอย่างนั้นก็เป็นนักบัญชีอีกรอบแล้วกัน? ลองคิดคำนวณทรัพย์สมบัติของตัวเองในตอนนี้อย่างละเอียดสักหน่อย?

คนจิ๋วดอกบัวกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะแล้วเริ่มวิ่งไปวิ่งมา ตรวจสอบดูสิ่งของและตำราที่อยู่บนโต๊ะว่าจัดวางไว้เป็นระเบียบหรือไม่ ท่าทางของมันรอบคอบระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง หากมีตรงไหนไม่เป็นระเบียบก็จะเคลื่อนย้ายเบาๆ เจ้าตัวน้อยจึงยุ่งมาก

หางตาของเฉินผิงอันพลันหันไปเป็นกล่องตราประทับใบหนึ่งที่วางไว้บนโต๊ะ พอเปิดออกดู ด้านในคือตราประทับส่วนตัวชิ้นหนึ่ง ออกเดินทางหลายครั้งแต่ไม่เคยพกติดตัวไปสักครั้ง ไปๆ มาๆ มันจึงถือว่ากลายเป็นสมบัติพิทักษ์ขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้ไปแล้ว

เฉินผิงอันชูตราประทับขึ้นสูง บนนั้นสลักตัวอักษรสามตัว

เฉินสืออี

เฉินผิงอันมองตัวอักษรโบราณขนาดเล็กอยู่อย่างนั้น

ก่อนที่เขาจะวางตราประทับนี้ลงบนโต๊ะ วางคางไว้บนมือสองข้างที่ทับซ้อนกัน จ้องนิ่งมองตัวอักษรที่อยู่ด้านล่างของตราประทับ

แล้วเฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืน บิดหมุนข้อมือ ใช้จิตบังคับเอาตราประทับตัวอักษรน้ำที่เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นนั้น ‘ออกมา’ จากในจวนน้ำ แล้ววางลงด้านข้างเบาๆ

ตราประทับสองชิ้น ในที่สุดก็ไม่ต้องเดียวดายเพียงลำพังกันอีกแล้ว

เฉินผิงอันกลับไปนอนฟุบตัวบนโต๊ะอีกครั้ง พึมพำกับตัวเองว่า “หวังว่าวันหนึ่ง เมื่อมีคนไม่ใช้เหตุผลกับข้า ต้องถามก่อนว่าหมัดและกระบี่ของข้าตอบรับหรือไม่ เพียงแต่ตอนนี้วิชาหมัดไม่สูง วิชากระบี่ก็ยังฝึกไม่สำเร็จ สัญญาสิบปีผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว จะทำอย่างไรดี?”

และเวลานี้เอง เจี้ยนเซียนในฝักกระบี่ที่อยู่ด้านหลังก็เหมือนมังกรที่ถูกแต้มนัยน์ตา ส่งเสียงร้องครวญ

—–