ตอนที่ 486 ข้าชอบเขามากๆ จริงๆ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ว่าแล้ว เขาก็เสริมอีกประโยคหนึ่ง “เลือกจะให้ใครอยู่ ให้ใครตาย” 

 

 

สีหน้าของตู๋กูซิงหลันเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ไปในทันที “ท่านอาจารย์ ท่านถามคำถามเอาชีวิตเช่นนี้ ข้าเลือกไม่ได้” 

 

 

นางติดค้างอาจารย์มากเกินไป ย่อมไม่มีทางเลือกให้ท่านอาจารย์ตาย 

 

 

ส่วนจีเฉวียน…..นางก็ไม่อาจทนดูเขาตายไปต่อหน้า 

 

 

ดังนั้นการเลือกครั้งนี้ นางทำไม่ได้ 

 

 

“ในโลกนี้ มีสูญเสีย จึงจะได้รับ เจ้าต้องการให้คนหนึ่งรอด ก็ต้องให้อีกคนตายไป หลันเอ๋อร์ เจ้าก็รู้ว่าอาจารย์ไม่เคยกล่าววาจาล้อเล่นมาก่อน” 

 

 

ซื่อมั่วไม่เคยพูดเรื่องตลกขำขันมาก่อน แม้แต่กับตู๋กูซิงหลันก็ยังน้อยครั้งนักที่จะได้เห็นเขายิ้มออกมา 

 

 

คนผู้นี้…….มีแต่ความจริงจัง เคร่งเครียดอยู่เสมอ 

 

 

ถึงจะมีรูปโฉมงดงามล้ำโลก แต่ว่าก็ไม่เคยมีรอยยิ้มแม้แต่น้อย 

 

 

ไม่เคยพูดเรื่องล้อเล่น 

 

 

ราวกับว่าเขาเกิดมาก็หัวเราะไม่เป็น ไม่มีอารมณ์ขำขัน 

 

 

ไม่ว่าจะกระทำเรื่องใด ล้วนแต่เคร่งเครียดจริงจัง 

 

 

ประโยคนี้ เท่ากันสาดน้ำดับไฟความหวังที่มีอยู่เพียงน้อยนิดในใจของตู๋กูซิงหลันไป 

 

 

หากนางดื้อดึงจะให้จีเฉวียนอยู่ต่อไป……ท่านอาจารย์ก็จะต้องตายอย่างนั้นหรือ? 

 

 

“ใต้หล้าไม่มีเรื่องใดที่สมบูรณ์พร้อม จะปลาหรืออุ้งตีนหมีต้องเลือกสักอย่าง ศิษย์เอ๋ย จิตใจที่ละโมภของเจ้าสมควรต้องขัดเกลาให้มาก” ซื่อมั่วไม่อาจทนมองดูนางคุกเข่าอยู่บนพื้นที่เย็นเฉียบ 

 

 

เขาลุกขึ้น พยุงนางขึ้นยืนด้วยตนเอง 

 

 

ฝ่ามือกว้างประคองมือที่ละเอียดนุ่มของนางเอาไว้ สัมผัสไออุ่นบนหลังมือของนาง 

 

 

ตั้งแต่เล็กจนโต นางได้รับการเลี้ยงดูจากเขาอย่างทะนุถนอม 

 

 

สองปีมานี้ ต้องตกระกำลำบากอยู่ที่โลกโบราณนั่นไม่น้อย ฝ่ามือหยาบขึ้นมาบ้าง 

 

 

ตอนที่นางอายุครบหนึ่งเดือน เขาก็รับตัวนางมาเลี้ยงดูแล้ว แม้ว่ายามปกติจะเข้มงวดอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็คือยอดดวงใจ ไม่เคยยอมให้นางต้องคับข้องหมองใจแม้แต่น้อย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันถูกเขาประคองเอาไว้ ก็ชะงักงันไปชั่วขณะ 

 

 

นางจำได้ว่ายามเยาว์วัย นางมักจะชอบไปออดอ้อนอาจารย์ 

 

 

ตอนนั้น อาจารย์มักจะผลักไสนางออกไปจนห่างไกลด้วยความเย็นชา….. 

 

 

แต่ว่าทุกๆคืนยามดึกดื่นที่อากาศเย็น นางก็มักจะพบว่าเขาจะแอบมาห่มผ้าให้กับนางอยู่เสมอ 

 

 

ก่อนที่นางจะสามขวบ นางกับอาจารย์นอนด้วยกันเหมือนพ่อลูก พอสามขวบก็มีห้องหับของตนเอง 

 

 

นางจำได้ว่าอาจารย์มักจะเย็นชาอยู่เสมอ ไม่ค่อยมีรอยยิ้ม 

 

 

กฎระเบียบก็มากมาย มากมายเต็มไปหมด 

 

 

กฏระเบียบในสำนักหุบเขาภูติลึกลับมีมากมายจนจะเขียนเป็นตำราได้แล้ว 

 

 

ชายหญิงมีข้อแตกต่าง ไม่อาจสัมผัสกัน 

 

 

ในบรรดากฎเหล่านั่นก็ยังมีกฎประหลาดจำพวก…..ห้ามตดใส่คนข้างหน้า….. 

 

 

ห้ามเข้านอนโดยไม่ล้างเท้า…… 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเป็นศิษย์สืบทอดโดยตรงของซื่อมั่ว……กลับเป็นหัวแถวของพวกแหกกฎทั้งหลาย 

 

 

ส่วนพวกศิษย์สายนอก ในเมื่อมีคนกล้าเกเรนำไปก่อน พวกที่เหลือย่อมเฮโลกันละเลยกฎไปตามๆกัน 

 

 

ดังนั้นผู้คนทั้งหลายจึงบอกว่าซื่อมั่วตามใจลูกศิษย์ของตนเองจนจะยกขึ้นฟ้า….. 

 

 

แต่คนอื่นๆต่างก็ไม่มีใครรู้หรอกว่า ตัวทะเล้นน้อยอย่างตู๋กูซิงหลัน ยามอยู่ต่อหน้าท่านอาจารย์ที่เข้มงวดและเคร่งขรึมก็มีช่วงเวลาที่ไม่กล้าเกเรเหมือนกัน 

 

 

ท่านอาจารย์ไม่ชอบให้ใครสัมผัสตัว และไม่ชอบไปสัมผัสใคร แม้แต่นางที่เป็นศิษย์สายตรง หลังจากสามขวบพอไม่ได้นอนข้างอาจารย์บนเตียงเดียวกันแล้ว โอกาสที่สัมผัสโดนท่านอาจารย์ก็น้อยเสียจนนับนิ้วได้เลย 

 

 

ดังนั้นตอนนี้พอจู่ๆกันอาจารย์ก็มาเป็นฝ่ายจับมือของนาง……. 

 

 

ตู๋กูซิงหลันจึงถึงกับประหลาดใจจนตกตะลึงไปชั่วขณะ 

 

 

ซื่อมั่วเพียงแต่จับมือของนางเอาไว้ชั่วครู่ จากนั้นก็ปล่อยมือ….. 

 

 

จีเฉวียนคือร่างแบ่งภาคของเขา ถึงแม้ว่าจะยังไม่ตายและกลับมาหลอมรวมกัน จะมากน้อยซื่อมั่วก็สามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่จีเฉวียนมีต่อตู๋กูซิงหลันอยู่บ้าง 

 

 

นั่นเป็นความรู้สึกที่จริงแท้อย่างไม่มีอะไรแปลกปลอมเลย 

 

 

ไม่ว่าสุดท้ายแล้วนางจะเลือกใคร เขาก็ไม่เคียดแค้นนางแม้แต่น้อย 

 

 

ลูกศิษย์ที่เลี้ยงดูมาแต่เล็กจนเติบใหญ่ จะอย่างไรก็โปรดปรานและเอาใจอยู่แล้ว 

 

 

เพียงแต่ในใจของเขาเองก็ยังมีความปล่อยวางไม่ได้ ปล่อยวางศิษย์ผู้นี้ไม่ได้ 

 

 

แต่ซื่อมั่วย่อมไม่มีทางพูดออกไป 

 

 

“ศิษย์เอ๋ย เจ้าสมควรให้คำตอบกับอาจารย์ได้แล้ว” ซื่อมั่วยื่นมือออกมาอีกครั้ง ช่วยทัดปอยผมที่หลุดลุ่ยออกมาเอาไว้หลังใบหูของนาง แววตาที่มองมาคู่นั้นเปล่งประกายล้ำลึก 

 

 

สายตาของเขามองผ่านหัวไหล่ของนางออกไป กวาดตาไปยังจีเฉวียนที่ใกล้จะกลายเป็นก้อนหินไปแล้วบนเก้าอี้ 

 

 

จากมุมของเขา เขาสังเกตเห็นดวงตาของจีเฉวียนกระพริบน้อยๆ ขนตาขยับเบาๆ 

 

 

ต่อหน้าเขาที่เป็นตัวตนที่แท้จริง ร่างแบ่งนับพันนับหมื่นเหล่านั่นก็ทำได้เพียงถูกสะกดข่มเอาไว้เท่านั้น….. 

 

 

มีแต่ร่างแบ่งที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงหนึ่งเดียวนี้แตกต่างออกไป….เขายังสามารถรักษาความคิดของตนเองเอาไว้ได้ ได้ยินและมองเห็น เพียงแต่ไม่อาจเคลื่อนไหว และไม่อาจส่งเสียง 

 

 

“ต้องการอาจารย์ หรือต้องการร่างแบ่งภาคผู้นั้น?” ซื่อมั่วดึงสายตากลับมายังศิษย์ของตนเอง แววตาทั้งคู่มองมาที่นาง  

 

 

แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงอารมณ์และความรู้สึกในแววตาของเขา 

 

 

ซื่อมั่วเก็บงำได้มิดชิดยิ่งกว่าจีเฉวียน ความรู้สึกนึกคิดทั้งหมด อารมณ์ทั้งหลาย ล้วนถูกเขาซุกซ่อนเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเหมือนกับลูกธนูที่ถูกขึ้นสายเอาไว้จนสุดแล้ว ไม่อาจไม่ปล่อย 

 

 

ครู่หนึ่งนางถึงได้เอ่ยปาก ริมผีปากแดงขยับน้อยๆ “มีแต่เด็กน้อยถึงจะเลือกข้าง….ทั้งสองคนข้าล้วนต้องการ” 

 

 

“อาจารย์ท่านบอกว่า …..ชีวิตแลกชีวิต……” 

 

 

ว่าแล้ว ในมือของตู๋กูซิงหลันก็เพิ่มยันต์สีแดงขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่ง บนยันต์สีแดงมีอักษรสองตัว ‘แลกชีวิต’ 

 

 

นางขยับเพียงวูบเดียว ยันต์สีแดงนั้นก็บินออกไป พุ่งเข้าหาร่างของจีเฉวียน 

 

 

แต่ว่าความเคลื่อนไหวของซื่อมั่วกลับไวกว่าก้าวหนึ่ง เขาโบกแขนเสื้อวูบหนึ่ง ลูกไฟสีน้ำเงินก็พุ่งออกไปทำลายยันต์สีแดงนั้นเป็นผุยผง 

 

 

ดวงตาคู่นั้นเกิดประกายขุ่นเคืองขึ้นมาในทันที 

 

 

“เจ้าคิดจะแลกชีวิตของตนเองกับเขาหรือ?” ซื่อมั่วสามารถให้ตนเองทนรับพันดาบหมื่นกระบี่ แต่ไม่อาจปล่อยให้นางบาดเจ็บแม้แต่เส้นผม 

 

 

เขาทะนุถนอมนางไว้เป็นยอดดวงใจ แต่นางกลับไม่รักชีวิตของตนเอง คิดจะแลกชีวิตกับร่างแบ่งภาคร่างหนึ่ง? 

 

 

หากเอาชีวิตของตนให้ร่างแบ่งภาค ….แล้วนางล่ะ? นางจะต้องตายอย่างแน่นอน! 

 

 

“ท่านอาจารย์ ข้าติดค้างท่านมากมายจนเกินไป ย่อมต้องไม่อยากให้ท่านตายอย่างแน่นอน” ตู๋กูซิงหลันมองดูยันต์ที่สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน 

 

 

“แต่ว่าข้าก็ชอบจีเฉวียน ดูเหมือนว่าข้าจะ….ชอบเขา ….มากเป็นพิเศษจริง….” 

 

 

นางบอกว่าชอบจีเฉวียนต่อหน้าซื่อมั่วเช่นนี้….ต่อให้เป็นหัวใจที่เพิกเฉยมาเนิ่นนานเพียงไรก็ยังต้องบังเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมา…..ความรู้สึกที่เรียกว่าริษยา 

 

 

ใช้แล้ว…….ชั่วชีวิตของซื่อมั่วเรียกได้ว่าไม่เคยริษยาผู้ใดมาก่อน 

 

 

แต่ว่าตอนนี้ เขากลับรู้สึกอิจฉาร่างแบ่งภาคของตนเอง 

 

 

เขายืนตัวตรงดุจพู่กัน ฝ่ามือที่อยู่ภายใต้เสื้อชุดสีม่วงกำแน่นเข้าหากันจนกลายเป็นหมัด 

 

 

นานพักใหญ่ถึงได้คลายออก 

 

 

เขาเก็บงำอารมณ์ทั้งหมดเอาไว้อย่างมิดชิด ไม่ให้ตู๋กูซิงหลันสัมผัสได้แม้แต่น้อย 

 

 

ดังนั้น…..จนถึงตอนนี้ตู๋กูซิงหลันจึงไม่เคยรู้เลยว่าอาจารย์ของตนมีความรู้สึกที่เกินเลยกว่าความเป็นอาจารย์และศิษย์ต่อนางมานานแล้ว 

 

 

หากตัวจัดเจนผู้นี้ไม่เคยคิดจะเปิดเผยความรู้สึกของตนเอง ใครก็ไม่อาจล่วงรู้ความรู้สึกของเขาได้ง่ายๆ 

 

 

ซื่อมั่วปิดตาลง เนิ่นนาน…. พอลืมตาขึ้นอีกครั้งก็กลายเป็นความสงบเงียบไร้คลื่นอารมณ์ใดๆดังที่เป็นมานับหมื่นปี 

 

 

“ศิษย์เอ๋ย อาจารย์เคยบอกเอาไว้แล้ว ว่าในใต้หล้านี้ เจ้าจงรักตัวเองให้มากที่สุด” 

 

 

เขาพูดต่อไป “อาจารย์ไม่มีทางยอมให้เจ้าเสียสละตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น” 

 

 

ดังนั้น….เขา……. 

 

 

………………………….