ตอนที่ 867 เผด็จการดุจเทพมาร
“เกินไป? ฮ่าๆ วาสนาเดิมเป็นสิ่งที่ไร้เจ้าของอยู่แล้ว เจ้าคิดว่าแย่งได้ก่อนก็กลายเป็นของเจ้าแล้วหรือ” อู่ต้วนหยาหัวเราะเยาะ
“แล้วเจ้าคิดอย่างไร” หลินสวินเลิกคิ้ว
“จะลองดูว่าเจ้าจะมีปัญญารักษาวาสนาชิ้นนี้ได้หรือไม่!”
ขณะพูดเงาร่างอู่ต้วนหยาไหววูบ ชุดสีขาวพลิ้วไหว เรียกดาบศึกเล่มหนึ่งออกมาเสียงดังชิ้ง ขาวเจิดจ้าดั่งอสนี พุ่งพิฆาตไปทางหลินสวิน
สวบ!
ห้วงอากาศถูกฉีกกระชากอย่างง่ายดายราวกับเนื้อผ้า คมดาบนั้นดุดันและเผด็จการเป็นล้นพ้น ขาวโพลนดุจดั่งอสนีคดโค้งที่พุ่งยิง น่าสะพรึงอย่างที่สุด
ตูม!
แทบจะในเวลาเดียวกัน หลินสวินเริ่มขยับแล้ว หนำซ้ำทันทีที่ลงมือก็ใช้พลังแท้จริงออกมา แสงหมัดสายหนึ่งผสานความเร้นลับทั้งมวลแห่งวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ แล้วปล่อยพุ่งออกมาทันควันในยามนี้
ชั่วขณะนั้นประหนึ่งอาทิตย์ดวงใหญ่ปรากฏขึ้น พาให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ความโชติช่วงของพลังหมัดคล้ายจะบดขยี้ฟ้าดินให้สลายกลายเป็นผุยผง
“เจ้าคือ…” เดิมทีซาหลิวฉานก็หมายจะลงมือเช่นกัน แต่เวลานี้เขาคล้ายจำอะไรได้ ร้องเสียงหลง หน้าเปลี่ยนสีทันควัน
ในเวลาเดียวกันบุคคลไร้เทียมทานคนอื่นๆ ต่างใจสะท้าน รับรู้ถึงความน่าสะพรึงและเผด็จการของหมัดนี้
ปึง!
พลังหมัดและคมดาบเข้าปะทะราวกับดาวหางพุ่งชนกัน ระเบิดแสงเรืองรองศักดิ์สิทธิ์คับฟ้าออกมา คลื่นอากาศน่าหวาดกลัวหอบม้วนออกไป พาให้เขาน้ำแข็งลูกนี้สั่นสะเทือนวูบหนึ่ง
เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นเหล่าผู้กล้าที่อยู่เชิงเขาหรือที่อยู่บริเวณอื่นๆ ต่างพากันนัยน์ตาหดรัดโดยไม่รู้ตัว
พวกเขาตะลึงเมื่อเห็นการปะทะครานี้ อู่ต้วนหยาถึงกับถูกโจมตีจนซวนเซถอยหลัง สั่นเทิ้มไปทั่วร่าง ดาบศึกในมือส่งเสียงร้องโหยหวนแหลมสูง แทบปลิวออกจากมือ!
แต่เจ้าตัวเลือดลมในร่างพลิกตลบ ยากทานทนจนแทบกระอักเลือด
เขาหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ สัมผัสถึงความไม่เข้าที กำลังจะโจมตีกลับเต็มกำลัง แต่หลินสวินที่ครอบครองข้อได้เปรียบตั้งแต่แรกไหนเลยจะเกรงใจ ถือโอกาสนี้พุ่งไปข้างหน้าแล้วกระแทกออกมาอีกหนึ่งหมัด
ตูม!
พลังหมัดน่าสะพรึงพุ่งพรวดออกไป เจิดจ้าเสียจนอู่ต้วนหยาแทบลืมตาไม่ขึ้น หนำซ้ำยามนี้เขาจะเปลี่ยนกระบวนท่าอีกก็ไม่ทันเสียแล้ว ไม่อาจไม่เป็นฝ่ายถูกซัด
เสียงดังปึงสนั่นหวั่นไหว อู่ต้วนหยาถูกซัดสะเทือนอีกครั้ง ซวนเซถอยกรูด กระดูกทั่วร่างส่งเสียงเสียดสีรุนแรง สีหน้าแปรเป็นขาวซีด เลือดสายหนึ่งไหลออกจากมุมปาก
เขาตื่นตระหนก รู้สึกลนลาน เจ้าหมอนี่เป็นใครกัน เหตุใดถึงแข็งแกร่งและน่าสะพรึงเพียงนี้
ตูม!
เพียงแต่ไม่รอเขาตอบสนอง หมัดที่สามของหลินสวินก็ทะลวงฟ้ากระแทกลงมาอีก ราวกับหมัดพิโรธที่เทพมารบรรพกาลซัดออกมา และเหมือนอาทิตย์ดวงใหญ่ที่สว่างจ้ากดกำราบลงมา
อู่ต้วนหยาหนังศีรษะมึนชา ขนลุกขนชัน เขาตกใจจนส่งเสียงร้องแหลมออกมาคราหนึ่ง ดีดตัวเต็มแรงพุ่งไปหลบยังจุดไกลๆ อีกด้านอย่างทุลักทุเล
เพียงแต่หมัดนี้เพิ่งมาแค่ครึ่งทางก็ถูกหลินสวินเก็บกลับคืน ไม่ได้ซัดออกไปจริงๆ ท่าทีที่เก็บปล่อยดังใจเช่นนั้น แสดงให้เห็นว่าการฝึกยุทธ์ของเขามีระดับความเชี่ยวชาญน่าสะท้านโลกเพียงใด
เวลานี้เหล่าผู้กล้าที่อยู่บริเวณอื่นต่างอึ้งค้างอยู่กับที่นานแล้ว
ไหนเลยพวกเขาจะคาดคิด บุคคลไร้เทียมทานผู้มีสมญานามว่า ‘ดรุณดาบมารคลั่ง’ ชื่อก้องแดนฐิติประจิมมานานอย่างอู่ต้วนหยา จะถึงกับถูกกดดันจนไม่เป็นท่าถึงเพียงนี้
เพิ่งเปิดศึกเท่านั้นก็ถูกพลังหมัดอีกฝ่ายบีบจนโงหัวไม่ขึ้น ซวนเซถอยกรูด นี่เห็นได้ชัดว่าน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
แต่ซาหลิวฉานกลับสีหน้าอึมครึม สายตาลุกโชน สายตาที่มองไปทางหลินสวินฉายแววเคียดแค้น และมีความกริ่งเกรงที่ยากจะสังเกตเห็นเสี้ยวหนึ่ง
ส่วนบุคคลไร้เทียมทานคนอื่นเวลานี้ต่างก็มีความรู้สึกตั้งตัวไม่ทัน การต่อสู้เมื่อครู่สั้นเหลือแสน แต่กลับดุเดือดสะท้านโลกอย่างไม่ต้องสงสัย
โดยเฉพาะฝีมือที่เด็กหนุ่มคนนั้นสำแดงออกมาทั้งหมดเผด็จการถึงขีดสุดชัดๆ พาให้พวกเขาต่างพรั่นใจและกดดัน
“ไม่ลองแล้วหรือ ทำไมถึงหนีเสียแล้ว” หลินสวินยิ้ม
ไกลออกไป ใบหน้าอู่ต้วนหยาร้อนวูบวาบ ภายในใจเปี่ยมด้วยความโมโหระคนอับอาย แต่ละฉากเมื่อครู่ราวกับภาพฝันชัดๆ พาให้เขาตั้งรับไม่ทัน
หากรู้เช่นนี้แต่แรก เขาจะลงมือสุดกำลังตั้งแต่คราแรกแน่!
แต่เมื่อก้าวแรกพลาด ก้าวต่อๆ ไปย่อมต้องพลาด ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพผู้ถูกกระทำและเสียเปรียบ จนถึงขั้นถูกซัดให้อับอายขายหน้าถึงเพียงนี้
“เข้ามาอีก!”
อู่ต้วนหยาคำรามอย่างเดือดจัด ดวงตาแทบปริแตก
เดิมทีเขาแสนจะเอ้อระเหย อาภรณ์สีขาวพลิ้วไหว สง่างามทำตัวตามสบาย แต่ยามนี้กลับหน้าคล้ำเขียว ปรากฏความบิดเบี้ยวและดุร้ายรางๆ มีท่าทางเดือดจัดจนแทบคลั่ง
“ไม่ต้องสู้กันแล้ว”
เวลานี้เอง หลี่ชิงฮวนผู้ถ่อมตัวคนนั้นก็ก้าวเข้ามา ขวางอยู่เบื้องหน้าอู่ต้วนหยา
“เหตุใดต้องขวางข้า!” อู่ต้วนหยาโพล่งอย่างเดือดดาล
กลับเห็นหลี่ชิงฮวนไม่สนใจเขา หากแต่ทอดสายตามองไปทางหลินสวิน กล่าวทอดถอนใจว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นเทพมารหลินที่ชื่อก้องเกรียงไกร ไม่ลงมือยังพอทำเนา ครั้นลงมือก็สำแดงอานุภาพแห่งเทพมารออกมา”
“อะไรนะ เขาก็คือเทพมารหลินหรือ”
“นี่…”
บุคคลไร้เทียมทานคนอื่นๆ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาที่มองหลินสวินเริ่มเปลี่ยนไปในทันที ต่างมีสีหน้าทำนองว่าที่แท้เป็นเขานี่เอง มิน่าถึงเป็นเช่นนี้
“เทพมารหลิน!”
“สวรรค์ เจ้าหมอนั่นก็คือเทพมารหลินงั้นหรือ!”
“ที่แท้เขาก็ป่าเถื่อนและแข็งแกร่งอย่างที่เล่าลือกันจริงๆ ด้วย ดูสิ แม้แต่อู่ต้วนหยายังถูกสามหมัดกดดันจนไม่อาจไม่หลีกหนี!”
ขณะเดียวกันบริเวณอื่นบนเขาน้ำแข็งปทุมเพลิงก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้น เหล่าผู้กล้าแต่ละคนล้วนปากอ้าตาค้าง
เนี่ยอี้อันกลับดูสงบมาก เขาคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ เพียงแต่เวลานี้เขามองสำรวจซาหลิวครู่หนึ่งเป็นการเฉพาะ
ก็เห็นว่ายามนี้ฝ่ายหลังสีหน้าอึมครึมไม่นิ่ง ไม่เอ่ยวาจาสักคำ สายตาที่มองหลินสวินลุกโชนไหววูบ เห็นได้ชัดว่าในใจเขาก็ไม่อาจสงบได้เช่นกัน
“เขา… เขาก็คือหลินสวิน?” เวลานี้อู่ต้วนหยาอึ้งงัน ออกอาการไม่อยากจะเชื่อ
ในใจเขารู้สึกแทบอยากกระอักเลือด เกือบร้องผรุสวาท หากรู้แต่แรกว่าเป็นเทพมารคนนี้ มีหรือเขาจะใจเร็วรีบลงมือ
“อยากลองดูต่อไปหรือไม่”
หลินสวินปรายตามองอีกฝ่าย เวลานี้เขาคืนสู่ใบหน้าเดิมแล้ว ฐานะถูกเปิดเผยแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดต่อไปอีก
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าหรือ”
อู่ต้วนหยาเดือดดาล แม้เขาจะกริ่งเกรงชื่อเสียงของหลินสวิน แต่ดีร้ายอย่างไรเขาก็เป็นบุคคลไร้เทียมทานชื่อก้องแดนฐิติประจิมคนหนึ่ง คิดว่าหากสู้เต็มกำลัง ใช้วิชาก้นกรุของตนแล้วไม่น่าจะโค่นหลินสวินไม่ได้!
“เอาล่ะ ก่อนหน้าเพียงแค่เข้าใจผิด ทั้งสองอย่าได้ยื้อยุดกันอีกเลย พวกเราต่างมาเพื่อวาสนา หากเปิดศึกใหญ่ด้วยเหตุนี้ล้วนไม่เป็นผลดีต่อผู้ใดทั้งสิ้น”
หลี่ชิงฮวนเอ่ยเตือนเสียงนุ่ม เริ่มทำการไกล่เกลี่ย
หลินสวินยิ้มน้อยๆ มองหลี่ชิงฮวนอย่างลุ่มลึกปราดหนึ่งแล้วกล่าวว่า “เจ้าพูดได้ไม่เลว นี่เพิ่งด่านแรกเท่านั้น หากถูกคัดออกยามนี้คงขาดทุนเกินไปแล้ว”
“เฮอะ” อู่ต้วนหยาแค่นเสียงเย็น
หลินสวินหัวเราะเบาๆ “หากเจ้าไม่ยอม ก็สามารถทำอย่างจงหลีอู๋จี้คนนั้น ยามไปถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณค่อยมาต่อสู้กับข้า แต่ถึงตอนนั้น คงไม่เพียงแค่ถูกคัดออกง่ายๆ เช่นนั้นแล้ว”
คำพูดนั้นง่ายๆ กลับเจือความเผด็จการสายหนึ่ง พาให้บุคคลไร้เทียมทานมากมายชำเลืองมอง
“มีหรือจะไม่กล้า” อู่ต้วนหยากล่าวอย่างเย็นชา “รอดูเอาเถอะ!”
เขาเดือดดาลยิ่ง ในใจลุกเป็นไฟ คิดว่าที่ตนถูกกำราบเมื่อครู่เป็นเพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายคือเทพมารหลิน ฉะนั้นจึงชะล่าใจไปจนอีกฝ่ายครอบครองโอกาสได้เปรียบก็เท่านั้น
หากประมือกันจริงๆ ต้องไม่เป็นเช่นนี้เด็ดขาด!
หลินสวินยิ้มน้อยๆ ไม่พูดมากความอีก หันหลังมุงสู่บริเวณยอดเขา
“เจ้าจะทำอะไร” ซาหลิวฉานสีหน้าเคร่งขรึม เขายืนปักหลักอยู่บริเวณนี้พอดีจึงขวางทางเดินของหลินสวิน
หลินสวินชำเลืองมองเขา “หากเจ้าอยากสู้กันอีกรอบ ข้าสามารถทำให้เจ้าสมใจได้เดี๋ยวนี้เลย แต่ถ้าไม่ใช่ก็หลีกไป”
บุคคลไร้เทียมทานคนอื่นๆ ต่างสูดหายใจเฮือก พวกเขารู้ว่าเทพมารหลินแข็งแกร่งยิ่ง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะกร้าวแกร่งถึงเพียงนี้
เพิ่งกำราบอู่ต้วนหยาไป ยังจะหาเรื่องซาหลิวฉานอีก ความใจกล้านี้ช่างไม่เหมือนใครจริงๆ
“ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ…” ซาหลิวฉานระเบิดหัวเราะขึ้นมา เรือนผมสีฟ้าเข้มปลิวไสวเสมือนว่าโมโหถึงขีดสุด
แต่เหนือความคาดหมายของทุกคน สุดท้ายซาหลิวฉานก็ข่มเอาไว้ ไม่ได้ขัดขวาง ปล่อยให้หลินสวินเดินผ่านข้างกายของตนไป!
“นี่…”
บุคคลไร้เทียมทานคนอื่นๆ ต่างมองไม่ออก ซาหลิวฉานเป็นบุตรเทพเผ่าฉลามสมุทร ทายาทเผ่าพันธ์ดุร้ายในบรรพกาล มีนิสัยเลือดเย็นและรุนแรงเป็นที่สุด
หากเป็นยามปกติ เผชิญกับการยั่วโมโหเช่นนี้เกรงว่าคงบันดาลโทสะตั้งนานแล้ว แต่ยามนี้เขาถึงกับข่มเอาไว้ นี่เห็นชัดว่าผิดปกติยิ่ง
หรือว่าการต่อสู้กับเทพมารหลินคราวที่แล้ว ได้ทำให้เขาเกิดความกริ่งเกรงต่อเทพมารหลินเสียแล้ว
มีเพียงหลี่ชิงฮวนที่คล้ายขบคิดใคร่ครวญ
‘พี่หลี่ เจ้ามองอะไรออกบ้างหรือไม่’ อู่ต้วนหยาที่อยู่ข้างๆ สื่อจิตซักถาม ความสัมพันธ์ของเขากับหลี่ชิงฮวนค่อนข้างดี เรียกได้ว่าคบหากันหลายชั่วตระกูล
หลี่ชิงฮวนกล่าวเสียงขรึม ‘ซาหลิวฉานมีอาวุธสังหารยิ่งใหญ่ในมือ ยามนี้กลับซ่อนเร้นเอาไว้ ไม่คิดสร้างความขัดแย้งกับเทพมารหลินในยามนี้ หากข้าเดาไม่ผิด ประการแรกเขาเกรงว่าทั้งสองฝ่ายจะเสียหายหากจะสู้กับเทพมารหลินที่นี่ เพราะจะถูกพวกเราแย่งครองวาสนา ประการที่สองเขาน่าจะตั้งใจโจมตีเทพมารหลินอีกครั้งหลังทะลวงห้าด่านไปแล้ว ต้องการเคลื่อนไหวครั้งเดียวก็จบเรื่อง!’
‘กล่าวเช่นนี้ หมายความว่าเขาจะเลียนแบบจงหลีอู๋จี้ ฆ่าหลินสวินคนนี้งั้นหรือ’ อู่ต้วนหยาใจกระตุกวูบ
‘เทพมารหลินไม่ได้ฆ่าง่ายๆ ขนาดนั้น ยามนี้ต่างลือกันว่าเขามีศุภโชคใหญ่อยู่กับตัว ถือครองสมบัติอริยะชิ้นหนึ่ง บางทีข่าวลืออาจมีส่วนเท็จ แต่ก็ไม่ใช่ข่าวโคมลอยทั้งหมดแน่’
หลี่ชิงฮวนกล่าวเสียงเบา ‘ข้าว่าเจ้าอย่าไปขัดแย้งกับเขาดีกว่า เป้าหมายหนนี้ของพวกเราคือช่วงชิงศุภโชคที่เป็นหนึ่งในใต้หล้า เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ’
อู่ต้วนหยาร้องอ้อหนึ่งครา ก็ไม่รู้ว่าฟังเข้าหูบ้างหรือไม่
ขณะเดียวกันในใจซาหลิวก็กำลังขบคิด เขาไม่โง่ รู้ดียิ่งว่าต่อสู้กับเทพมารหลินในยามนี้ไม่ต่างอะไรกับสองพยัคฆ์ประชันกัน และอาจถูกคนอื่นๆ ฉวยโอกาสเอาเปรียบ ไม่คุ้มค่าแต่อย่างใด
‘อดทนกับเจ้าไปอีกสักระยะ รอให้ถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณแล้ว ข้าจะต้องทำให้เจ้าตายอย่างไม่น่าพิสมัยแน่!’ ซาหลิวฉานกัดฟันลอบพึมพำกับตัวเอง
หากเขารู้ว่าหลี่ชิงฮวนที่อยู่ข้างๆ สามารถเดาความคิดส่วนใหญ่ของเขาได้เพียงแค่ลอบสังเกตการณ์ ก็ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไร
แต่เรื่องพวกนี้ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อหลินสวินแม้แต่น้อย
เขาย่ำเท้าปีนขึ้นภูเขา ความเร็วช้าลงทุกที สุดท้ายก็หยุดลงเมื่ออยู่ห่างจากยอดเขาเพียงสิบกว่าจั้ง
ที่นี่คือขีดจำกัดที่เขาสามารถรับมือไหวแล้ว และหากเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นก็สามารถรับมือได้ทันเวลา
หากรุดหน้าขึ้นไปอีก ก็จะไม่สามารถต้านทานพลัง ‘ประทับรบอริยเทพ’ ที่มีอยู่ทุกอณูนั่นได้
ฟู่!
หลินสวินพ่นลมหายใจหนักๆ ออกมาหนึ่งเฮือก หย่อนตัวนั่งขัดสมาธิ สงบจิตหยั่งรู้เจตจำนงรบเก่าแก่ที่พลุ่งพล่านบนภูเขาน้ำแข็งไปพลาง รอคอยดอกบัวเพลิงดอกถัดไปปรากฏขึ้นไปพลาง