บทที่ 1086 ความแข็งแกร่งของวังสวรรค์บรรพกาล

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1086 ความแข็งแกร่งของวังสวรรค์บรรพกาล

การประชุมราชันปิดม่านลง

ทว่าทั่วทั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังคงอยู่ในบรรยากาศตื่นเต้น บางส่วนมาจากการเพิ่มจอมพลใหม่ แต่เหตุผลส่วนใหญ่เป็นเพราะการปรากฏของวังสวรรค์บรรพกาล

ทุกคนรู้ดีถึงความแข็งแกร่งในอดีตของวังสวรรค์บรรพกาล นั่นเป็นยักษ์ใหญ่แท้จริงและไม่มีขั้วอำนาจใดในทวีปเทียนหลัวปัจจุบันสามารถเทียบเคียงได้

ดังนั้นจึงไม่มีใครหน้าไหนในทวีปเทียนหลัวสามารถเผชิญหน้ากับซากโบราณที่เหลืออยู่ของสุดยอดสำนักเช่นนี้ด้วยจิตใจที่สงบได้ หากพวกเขาได้รับโอกาสในสถานที่แห่งนั้น พวกเขาจะก้าวกระโดดเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์กลายเป็นดาวจรัสแสง

ฉะนั้นการแข่งขันเพื่อวังสวรรค์บรรพกาลจะต้องเข้มข้นถึงขีดสุดตลอดหลายหมื่นปีของทวีปเทียนหลัว ทุกขั้วอำนาจที่พอมีฐานกำลังจะต้องเดินทางมาในครั้งนี้อย่างแน่นอน เพราะวังสวรรค์บรรพกาลดึงดูดใจล้นเหลือ

ขณะที่ทั่วทั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์กำลังสนทนาในหัวข้อวังสวรรค์บรรพกาล หอวิหคโลกันตร์ก็ไม่ได้เงียบสงบเช่นกัน ตั้งแต่มู่เฉินและจิ่วโยวได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป้นจอมพล หอวิหคโลกันตร์ก็ก้าวไปสู่การเป็นหอที่ทรงพลังที่สุดและมีเสียงมากที่สุดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์

เนื่องจากนับตั้งแต่ก่อตั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ไม่เคยมีตำแหน่งจอมพลสองคนอยู่ในหอเดียวกัน

ดังนั้นเมื่อการประชุมราชันได้ข้อสรุป หอวิหคโลกันตร์ก็กระจายความชีวิตชีวาต้อนรับแขกเรื่อที่มาเยือนไม่ขาดสาย ในเวลาเดียวกันแต่ละคนยังแสดงความตั้งใจหาที่คุ้มภัย เพราะแม้จะอยู่ในสำนักเดียวกันก็ยังคงมีการแข่งขันภายในเพื่อผลประโยชน์ หากพวกเขาสามารถได้รับการสนับสนุนจากจอมพลทั้งสอง ต่อจากนี้พวกเขาก็จะมีชีวิตสะดวกสบายมากขึ้นในสำนักแห่งนี้

ทว่าถึงหอวิหคโลกันตร์จะคึกคักอย่างยิ่ง แต่มู่เฉินกับจิ่วโยวรู้สึกหงุดหงิดมากที่ต้องเผชิญกับจอมยุทธ์ที่เข้ามาเยี่ยมเยือนไม่หยุด พวกเขาไม่ถนัดในการจัดการเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นสุดท้ายพวกเขาจึงผลักหน้าที่นี้ให้ผู้ดูแลหออย่างถังปิงและประกาศว่าจะเก็บตัวฝึกยุทธ์ ถึงได้รับความเงียบสงบลงบ้าง

ในสวนลึกของหอวิหคโลกันตร์

ที่นี่เป็นสวนเงียบสงบและงดงาม มีศาลาหินและลำธารไหลเอื่อย

จิ่วโยวนั่งอยู่บนก้อนหินในลำธารซึ่งสะท้อนภาพเงาเพรียวบางที่ถูกห่อหุ้มด้วยชุดที่ขับเน้นส่วนโค้งเว้าโดดเด่น ดวงตาของนางปิดอยู่ ความผันผวนของพลังงานแผ่ออกมา เปลวเพลิงอ่อนใสละเอียดหมุนวนรอบร่าง แม้ว่าเปลวเพลิงจะไม่ให้อุณหภูมิสูง แต่ก็ทำให้มิติโดยรอบบิดเบี้ยวจากแรงกดดัน

หลังจากนั่งสมาธิอย่างเงียบๆ มาสักระยะ นางก็ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ จากนั้นก็เหยียดแขนบิดตัวขี้เกียจ เผยโค้งเว้าอันน่าทึ่งซึ่งดึงดูดสายตาจากศาลาหิน

เมื่อรู้สึกถึงสายตาจ้องมอง จิ่วโยวก็กวาดสายตาดุกลับมา มู่เฉินไอแห้งตอบดึงสายตากลับมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นพลางมองไปที่ม้วนภาพค่ายกลในมือ

“หอวิหคโลกันตร์กำลังคึกคักแต่เจ้าสองคนกลับมาขลุกกันอยู่ที่นี่เรอะ” เสียงหยอกล้อดังก้องในสวน มิติบนลำธารบิดเบือนก่อนที่มั่นถัวหลัวจะเดินออกมา นางสวมชุดสีดำ ไม่มีความเฉยเมยหรือศักดิ์ศรีใดๆ บนใบหน้าเหมือนตอนเผชิญกับคนอื่น กลับยิ้มแย้มแทน

“คารวะท่านประมุข” จิ่วโยวคำนับทันทีที่เห็นการมาถึงของมั่นถัวหลัว

มู่เฉินวางม้วนภาพลงแล้วยิ้ม “เจ้าเตรียมพร้อมเรื่องพันธมิตรแล้วหรือ? หายากนักที่เจ้าจะมีเวลาว่างมาหาแบบนี้”

“ไม่มีอะไรที่จะต้องเตรียม คนเหล่านั้นไม่โง่และรู้ดีว่าการดึงดูดของวังโบราณเป็นอย่างไร ด้วยกองทัพพวกเขาอย่างเดียว ไม่สามารถผ่านเข้าไปแข่งขันกับขั้วอำนาจระดับสูงอื่นๆ ในทวีปได้ ดังนั้นพวกเขากระตือรือร้นในเรื่องพันธมิตรมากกว่าข้าซะอีก” มั่นถัวหลัวนั่งลงบนก้อนหิน แช่เท้าในลำธารเย็นฉ่ำ

พูดถึงตรงนี้ นางก็เหลือบมองมู่เฉินแล้วพูดต่อ “เจ้าเป็นคนที่ตั้งตารอให้วังโบราณปรากฏมากที่สุด แต่ยามนี้กลับยังคงนิ่งเหมือนภูเขาไท่ซันทั้งที่วังเผยตัวออกมาแล้วนะ?”

มู่เฉินยิ้มพูดว่า “แกล้งทำเป็นนิ่งเฉยๆ ด้วยความปั่นป่วนที่เกิดจากวังสวรรค์บรรพกาล ใครจะรู้ว่าที่นั่นดึงดูดขั้วอำนาจระดับสูงอื่นๆ แค่ไหน? ระยะเกือบจะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าของข้าคงได้แต่มองดูเท่านั้น”

เมื่อข่าวของวังโบราณที่แพร่กระจายไปอย่างกว้างขวาง มู่เฉินก็สงบความตื่นเต้นลง แม้เขาจะรอวันนี้มาตลอดนับตั้งแต่เขาได้รับร่างเทพสุริยะ แต่เขาก็รู้ว่าการแข่งขันที่นั่นจะเข้มข้นแค่ไหน จากสถานการณ์ในปัจจุบันแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายอย่างมั่นถัวหลัวก็ไม่มั่นใจ ไม่ต้องพูดถึงพลังของเขาเลย พอฟังเหตุผลของเขา มั่นถัวหลัวก็ยิ้มบาง “ไม่มีประโยชน์กับคนทั่วไปที่จะรับวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ เฉพาะผู้ฝึกที่ประสบความสำเร็จในการชำระร่างนี้เท่านั้นที่จะได้รับ ดังนั้นเจ้าอาจไม่มีคู่แข่งมากนัก”

พูดถึงจุดนี้ น้ำเสียงของนางก็เปลี่ยนไป “แต่ถึงแม้จะมีคู่แข่งน้อย ข้าก็กลัวว่าจะรุนแรงมาก”

มู่เฉินพยักหน้า จอมยุทธ์ที่เข้ามาช่วงชิงวิธีวิวัฒนาการโดยธรรมชาติจะต้องเป็นผู้ฝึกร่างเทห์สวรรค์นี้เช่นกัน ซึ่งในเวลาเดียวกันก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถและโอกาสที่ดีของคู่ต่อสู้ของเขา มิฉะนั้นเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะเพาะบ่มร่างเทพสุริยะได้ภายใต้เงื่อนไขรุนแรงเช่นนี้

การต่อสู้กับจอมยุทธ์ชั้นสูงที่โดดเด่นเหล่านี้ ความรุนแรงของการต่อสู้จะต้องเหนือกว่าศึกอื่นๆ ที่มู่เฉินเคยผ่านมา แต่ถึงอย่างนั้นมู่เฉินก็ไม่กลัว

“วังสวรรค์บรรพกาลทรงพลังขนาดไหนตอนยังดำรงอยู่?” มู่เฉินไตร่ตรอง เขาคิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของวังสวรรค์บรรพกาล เพื่อตัดสินใจว่าเขาจะวางแผนใช้กลยุทธ์ใดในสถานที่นั่นดี

“วังสวรรค์บรรพกาลแบ่งออกเป็นสิบตำหนักเจ็ดหอ ที่เราพบก่อนหน้าในสงครามล่าก็คือเจ้าหอสี่…ท่านจอมพลสี่ เหล่าจอมพลทั้งหมดเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม”

“ส่วนผู้บัญชาการตำหนักทั้งหมดแม้จะอ่อนแอกว่าแต่ก็บรรลุระดับตี้จื้อจุนทั้งสิ้น คนที่อยู่อันดับต้นๆ ได้เข้าสู่ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้วด้วย” มั่นถัวหลัวอธิบายอย่างช้าๆ

เมื่อได้ยินสีหน้ามู่เฉินและจิ่วโยวก็เปลี่ยนไปอย่างไม่อาจควบคุมได้ แววตกตะลึงพาดผ่าน แค่พลังที่แสดงออกมาก็น่าสะพรึงเพียงนี้ วังสวรรค์บรรพกาลสมกับเป็นผู้ปกครองของทวีปเทียนหลัวจริงๆ

“นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด เนื่องจากวังสวรรค์บรรพกาลยังมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคน” ขณะที่พูดสีหน้าของมั่นถัวหลัวก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน

ซื้ด

มู่เฉินและจิ่วโยวสูดลมหายใจเย็นเข้าสุดปอด ข้อมูลนี้เกินจากที่คาดหมายไว้ หรือว่านอกเหนือจากจักรพรรดิฟ้ายังมียอดยุทธ์อีกสองคนเรอะ?

มั่นถัวหลัวรู้ว่าทั้งคู่กำลังคิดอะไรก็ส่ายหัว “จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอีกสองคนถูกสร้างโดยจักรพรรดิฟ้า…”

“สร้างโดยจักรพรรดิฟ้า?” ทั้งคู่ต่างตะลึงงัน ชัดว่าไม่สามารถเข้าใจความหมายที่อยู่เบื้องหลังคำพูดของมั่นถัวหลัวได้

เมื่อมองทั้งสองที่ตะลึงงัน มั่นถัวหลัวก็พูดต่อว่า “พวกเจ้ารู้เกี่ยวกับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าไหม? จักรพรรดิฟ้าครอบครองของหนึ่งในวิชานั้น ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อวิชาสามพิสุทธิ์ สามารถแยกตัวเองออกเป็นสามคน สองร่างจะเป็นร่างรอง แต่เหมือนมีตัวตนเป็นของตัวเอง ซึ่งน่าอัศจรรย์มาก ร่างรองทั้งสองมีความแข็งแกร่งเท่าร่างหลัก ดังนั้นจักรพรรดิฟ้าจึงเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคน”

“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า…” มู่เฉินกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ความรู้ที่ผ่านมาของเขาเกี่ยวกับคัมภีร์เทพเหล่านี้ เขารู้คร่าวๆ ว่าวิทยายุทธระดับเสินทงแบ่งออกเป็นสามขั้นคือเล็ก-เต็ม-ยอดเยี่ยม ซึ่งมีช่องว่างระหว่างกันมาก ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเกี่ยวกับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า

แต่เมื่อคิดเกี่ยวกับวิชาหมัดปีศาจพลีชีพ วิทยายุทธระดับเสินทงที่เขาได้รับมา ซึ่งยังไม่ถือว่าเป็นขั้นเต็มอย่างสมบูรณ์ แต่พลังของวิชานี้ก็น่าทึ่งมากแล้ว ถ้าสูงกว่านี้ไปอีกสองขั้น มู่เฉินก็เริ่มเข้าใจแล้วว่ามันน่ากลัวอย่างไร

เพราะแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแบบมั่นถัวหลัวก็ยังถูกล่อลวงด้วยวิทยายุทธเสินทงขั้นเต็ม สำหรับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยม นางก็คงไม่เคยได้รับ ส่วนขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน…คงเป็นคัมภีร์ที่มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่จะไล่ล่าได้ ซึ่งอยู่ไกลเกินกว่าที่มู่เฉินจะเอื้อมถึง

“วังสวรรค์บรรพกาลเคยปกครองทวีปเทียนหลัวทั้งหมด ดังนั้นภายในจึงมีแหล่งขุมทรัพย์ไม่มีใครเทียบได้อยู่มากมาย หากเจ้าเข้าไปข้างในจะต้องค้นหาแหล่งขุมทรัพย์สองแห่งให้ได้” มั่นถัวหลัวกล่าวขณะที่มองไปทางมู่เฉิน

“สองแห่งไหน?” มู่เฉินอึ้งไป

“หอคัมภีร์เทพซ่อนและทะเลสาบสวรรค์” มั่นถัวหลัวพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “หอคัมภีร์เทพซ่อนเป็นสถานที่เก็บคัมภีร์ของวังสวรรค์บรรพกาลหลากหลายหมวดหมู่ เจ้าสามารถค้นหาวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะที่นั่นได้”

“สำหรับทะเลสาบสวรรค์มีความสำคัญมาก เป็นดินแดนขุมทรัพย์ที่แม้แต่สมาชิกวังสวรรค์บรรพกาลยังปรารถนา นั่นเป็นเพราะทะเลสาบสวรรค์ประกอบด้วยพลังงานทรงประสิทธิภาพที่สามารถสร้างความมั่นคงให้กับรากฐานทางจิตวิญญาณและปลดห่วงตรวนเพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในภัยพิบัติ ในอดีตมีเพียงจอมยุทธ์ที่มีคุณูปการยิ่งใหญ่เท่านั้นที่จะได้รับโอกาสนี้”

ตอนแรกที่ได้ยินคำพูดของมั่นถัวหลัว ทั้งคู่ก็ยังคงสงบนิ่ง แต่เมื่อได้ยินว่าสามารถเจาะตรวนและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในภัยพิบัติ ทั้งสองก็ไม่สามารถระงับไฟที่ลุกโชติช่วงในดวงตาได้เลย

ทุกคนรู้ว่ามีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้นที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้มีอำนาจในมหาพันภพและสามารถปกครองภูมิภาคได้ แม้แต่ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ยังห่างไกลเป็นโยชน์

ทว่าแม้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนจะทรงพลัง แต่ก็เพียงหนึ่งส่วนของระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้นที่สามารถบุกเข้าสู่ขุมพลังนี้ เหตุผลหลักใหญ่ที่สุดก็คือความน่ากลัวในภัยพิบัติซึ่งอาจส่งผลทำให้พวกเขาพังพินาศ

ดังนั้นโอกาสต่ำยิ่งในการผ่านภัยพิบัติจึงเป็นเหตุทำให้จอมยุทธ์จื้อจุนขั้นเก้าจำนวนมากไม่กล้าที่จะก้าวออกไปเพื่อเจาะตรวนบรรลุระดับตี้จื้อจุน กลัวว่าถ้าล้มเหลวจะถูกทำลายจนสิ้นซาก

ณ สถานะปัจจุบันของพวกเขาระดับตี้จื้อจุนไม่ได้อยู่ไกลเกินกว่าจะเข้าถึงอีกต่อไป ดังนั้นจึงพอข้อมูลในเรื่องนี้

“นอกจากนี้เจ้ายังต้องระวังจอมยุทธ์คนหนึ่ง ชื่อของเขาคือจาโหลหลัว เขาอาจจะเป็นศัตรูตัวกาจของเจ้าในการเดินทางไปยังวังสวรรค์บรรพกาลครั้งนี้” มั่นถัวหลัวหรี่ตาลงพลางกล่าวช้าๆ

“ศัตรูตัวฉกาจ?” มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะเรียกคืนสติอย่างรวดเร็ว ม่านตาถึงกับหดเกร็งทันที

คนที่สามารถให้มั่นถัวหลัวเอ่ยเตือนเขาอย่างจริงจัง เหตุผลเบื้องหลังชัดเจนมาก จาโหลหลัวผู้นี้… อาจจะเป็นหนึ่งในผู้ฝึกร่างเทพสุริยะ!