องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 934 ช่วยคน

เฟิ่งหลิงอวิ๋นกลับนั่งลงก่อน ซูมู่ไห่เดินเข้ามาใกล้แล้วนั่งลงโดยที่ทำสิ่งใดไม่ถูกแล้วมองไปทางเฟิ่งหลิงอวิ๋น: “เหตุใดใช้เวลานานเช่นนี้ท่านถึงพบเจอข้า ท่านรู้หรือไม่ว่าหนานกงเย่โจมตีปีกใต้แล้ว หากพวกเราไม่สามัคคีกันเขาก็จะมาโจมตีพวกท่านด้วย ท่านไม่เป็นกังวลแม้แต่น้อยเลยหรือ?”

เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองซูมู่ไห่: “หากตอนนี้ซูมู่หรงยังมีชีวิตอยู่ปีกใต้จะไม่อยู่ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ เขาจะไม่ทอดทิ้งไม่สนใจทิ้งปีกใต้เพื่อแต่งงานกับข้าด้วย ข้าไม่พบท่านก็ต้องมีเหตุผลที่ข้าไม่พบท่านอยู่แล้ว ประการแรกข้ามีความตั้งใจจริงที่จะแต่งงานกับหนานกงเย่ ประการที่สองข้าก็จะไม่แต่งงานกับท่านจึงไม่ต้องการพบท่านเป็นธรรมดา แต่ท่านกลับมองสิ่งเหล่านี้ไม่ชัดแจ้ง

ท่านเป็นองค์รัชทายาทของปีกใต้ เหตุใดถึงได้มาอ้อยอิ่งอยู่ในแคว้นเฟิ่งในเวลานี้? ”

“ข้ามาเพื่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีกับท่าน?”

“หากไม่ใช่เพราะท่านมาขอแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี หนานกงเย่จะโจมตีปีกใต้ของท่านก่อนได้เช่นไร?”

“ท่านว่าอย่างไรนะ?”

ซูมู่ไห่ตกตะลึงโดยที่เฟิ่งหลิงอวิ๋นก็มองเขาอย่างเวทนาจึงได้กล่าวว่า: “กลับไปตอนนี้ยังทันการณ์ ท่านไปมาเช่นนี้ต้องใช้เวลายี่สิบวันเกรงว่าหนานกงจะยึดเมืองสามเมืองของท่านไปก็มิใช่ปัญหา ข้าจะไม่แต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีกับท่านแม้ว่าจะได้รับปากไปแล้ว แต่ในตอนนี้หากว่าหนานกงเย่รู้ว่าแคว้นเฟิ่งแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี เขาก็จะมาตีแคว้นเฟิ่งดังนั้นจึงไม่กล้า!”

“ท่านล้อข้าเล่นหรือ?” จู่ๆพอเข้าใจซูมู่ไห่ก็โกรธจัดแย่แล้ว

เฟิ่งหลิงอวิ๋นไม่ได้กล่าวสิ่งใดมากมายเพียงแค่มองซูมู่ไห่ ซูมู่ไห่ก็ไม่ใช่คนโง่ให้เขาคิดเองเขาก็สามารถคิดออกได้เช่นเดียวกัน

มองไปยังใบหน้าของเฟิ่งหลิงอวิ๋น จู่ๆซูมู่ไห่ก็เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาแล้ว

ซูมู่ไห่หันหลังจากไป ส่วนเฟิ่งหลิงอวิ๋นยืนขึ้นมองดูซูมู่ไห่จากไปโดยที่ซูมู่ไห่ไม่หันหลังกลับ และนางเหลือบมองเอ๋าชิง: “สิบวันนี้อวิ๋นจวิ้นจู่เปลี่ยนเสื้อผ้าของข้าแล้วอยู่ในวังแทนตัวข้า ข้าส่งซูมู่ไห่จากไป”

“ไม่ได้ มันอันตรายเกินไป!”

เอ๋าชิงไม่เห็นด้วย เฟิ่งหลิงอวิ๋นไม่ยอมฟังคำเกลี้ยกล่อมแล้วนางก็กล่าวว่า: “ฟังคำข้า”

เอ๋าชิงเหลือบมองหนานกงอวิ๋นเยียน: “นางยังเด็กไม่เหมือนกับท่าน”

“ท่านรู้ได้เช่นไรว่าข้าทำไม่ได้? แม้ว่าข้าจะเป็นเด็กผู้หนึ่งก็เก่งกว่าท่าน ท่านเป็นห่วงตัวท่านเองจะดีกว่า”

หนานกงอวิ๋นเยียนมองไปยังเฟิ่งหลิงอวิ๋น: “ท่านแม่พาเฟยอิงไปด้วยเถอะ ระหว่างทางจะได้มีคนดูแล”

หนานกงอวิ๋นเยียนเหลือบมองเฟยอิงที่ยืนอยู่ตรงฝั่งหนึ่ง เฟยอิงกล่าวว่า: “ให้คนอื่นอยู่ดูแลอวิ๋นจวิ้นจู่ก็ดี ข้า……”

“ไม่จำเป็น หากว่าข้างกายเสี่ยวอวิ๋นไม่มีเจ้าข้าก็ไม่วางใจ” เฟิ่งหลิงอวิ๋นเหลือบมองเฟยอิงแล้วหันหลังเดินไปด้านนอกประตูตำหนัก

เอ๋าชิงตามเฟยอิงออกไป เสื้อคลุมของเฟิ่งหลิงอวิ๋นวางอยู่บนพื้นส่วนคนนั้นกลับหายตัวไปแล้ว

เฟยอิงเดินไปเก็บเสื้อคลุมจากนั้นหันหลังไปมองหนานกงอวิ๋นเยียนซึ่งเดินออกมาจากด้านใน หนานกงอวิ๋นเยียนกล่าวว่า: “ความสามารถของท่านแม่ช่างมากยิ่งนัก วางใจเถอะ”

เฟยอิงนำเสื้อคลุมมาคลุมให้หนานกงอวิ๋นเยียน: “ระมัดระวังหน่อยก็จะยิ่งเหมือน”

“จริงหรือ?” หนานกงอวิ๋นเยียนเลิกคิ้วแล้วมองไปยังเฟยอิง พลังอันน่าตกใจบนตัวเปล่งออกมาในทันที เฟยอิงตะลึงครู่หนึ่งโดยที่ไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย

หนานกงอวิ๋นเยียนยิ้ม: “ท่านคิดว่าท่านแม่นำข้ามาอยู่ข้างกายเพื่อสิ่งใด? เพื่อทำให้พวกเรายิ่งเหมือนกันมากขึ้น ท่านพ่อได้สู้รบแล้ว หากว่าท่านพ่อเกิดเรื่องท่านแม่ก็จะไม่มีทางนั่งดูอย่างเฉยเมยได้”

กล่าวจบรอยยิ้มของหนานกงอวิ๋นเยียนก็หายไป มองแววตาคู่นั้นของเอ๋าชิงอย่างเย็นชาขึ้นมาก: “หวังว่าท่านจะให้การสนับสนุนท่านแม่ให้ดีถึงจะดี ต้องรู้ว่าลูกชายของท่านอยู่ในมือของพี่ชายทั้งหลายของข้า มีเพียงท่านที่โง่เขลารู้สึกว่าลูกชายของท่านก้าวไปสู่อนาคตที่ดีแล้ว ข้าเป็นสิ่งอันเล็กในแคว้นเฟิ่งของท่านหรือว่าลูกชายของท่านอยู่ข้างกายท่านพ่อของข้าไม่ใช่สิ่งอันเล็กหรือ ยึดแคว้นเฟิ่งไม่ได้คนแรกที่จะฆ่าก็คือลูกชายของท่าน”

หนานกงอวิ๋นเยียนกล่าวเช่นนี้เอ๋าชิงโมโหยิ่งนัก: “งั้นข้าจะฆ่าเจ้าซะ”

“ท่านก็จะต้องมีความสามารถนั้นถึงจะได้ ตอนนี้ท่านแม่ของข้าไม่อยู่ ท่านจะฆ่าข้าก็รีบฆ่าข้าซะ หากท่านไม่ฆ่าข้าก็อย่าคิดว่าจะฆ่าข้าได้อีก”

หนานกงอวิ๋นเยียนเดินไปทางเอ๋าชิงด้วยความหยิ่งทะนงอย่างยิ่ง

เอ๋าชิงโกรธจนหน้าอกสั่นขึ้นลง หนานกงอวิ๋นเยียนเดินเข้าไปใกล้เอ๋าชิง: “โกรธไปก็ไร้ประโยชน์ โกรธจนตายก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบันได้ ผู้ที่รู้ทันสถานการณ์เป็นผู้เก่งกาจ

แคว้นเฟิ่งตั้งรากฐานมาเป็นเวลาหลายร้อยปีไม่ผิดแต่ข้อเสียนั้นมากเกินไป ไม่มีความรู้สึกของความเป็นบุรุษเลย ช่างน่าเบื่อ ไม่ช้าก็เร็วจะแปรเปลี่ยนไป”

เอ๋าชิงกล่าวอย่างเย็นชา: “ขณะที่ท่านแม่ของเจ้าอยู่เจ้าไม่ได้เป็นเช่นนี้เลย เชื่อฟังยิ่งนัก หรือว่าแสแสร้งทำทั้งสิ้น?”

“นั่นเป็นเรื่องของข้าท่านไม่ต้องสนใจหรอก” หนานกงอวิ๋นเยียนเหลือบมองเฟยอิงแล้วหันหลังกลับไป

ไปถึงบนขั้นบันไดหนานกงอวิ๋นเยียนกล่าวว่า: “ประกาศราชโองการลงไป องค์ชายแห่งปีกใต้มีธุระได้กลับไปปีกใต้อย่างกะทันหัน เรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีนั้นจัดการเป็นการชั่วคราว”

เอ๋าชิงเหลือบมองหนานกงอวิ๋นเยียน: “เจ้าคุ้นชินได้รวดเร็วยิ่งนัก”

“นั่นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ในวังของเมืองต้าเหลียง ข้าอยู่ต้องฟังข้าทั้งนั้น ท่านคิดว่าข้าเป็นแค่จวิ้นจู่หรือ?”

“……” เอ๋าชิงไม่ต้องการกล่าวสิ่งใดแต่กลับมองไปยังเฟยอิง: “หากเจ้าเชื่อข้าสามารถไปหาองค์รัชทายาทได้ ข้าเป็นห่วงว่าองค์รัชทายาทว่าจะไม่สามารถปกป้องตนเองได้”

“ไม่จำเป็น องค์รัชทายาทมีความสามารถ ยิ่งกว่านั้นแม้ว่าข้าจะตามไปในตอนนี้ก็เกรงว่าจะไม่มีทางตามได้ทัน พลังายุทธขององค์รัชทายาทนั้นอยู่เหนือข้า”

เฟยอิงก็ประหลาดใจเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าเฟิ่งหลิงอวิ๋นที่อายุน้อยจะมีวิทยายุทธล้ำเลิศที่คาดไม่ถึง สิบปีแม้ว่าจะฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กก็เป็นไปไม่ได้ที่จะล้ำเลิศเช่นนี้

แต่เป็นไปไม่ได้ก็อยู่ตรงหน้า เขาไม่เชื่อก็ไม่ได้!

เอ๋าชิงไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีกเป็นเช่นนีเจริงๆ เฟิ่งหลิงอวิ๋นซ่อนเอาไว้ลึกยิ่งนัก เขาอยู่ข้างกายนางทั้งวันยังไม่มีทางรู้ว่าเกี่ยวกับเรื่องวิทยายุทธของนางยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงผู้อื่น

เอ๋าชิงมองไปยังตรงหน้าประตูท้องพระโรง: “หวังว่าองค์รัชทายาทจะกลับมาอย่างปลอดภัย”

ซูมู่ไห่ออกจากพระราชวังเฟิ่งและกลับไปถึงศาลาพักม้าอย่างรวดเร็ว สั่งการลงไปให้เคลื่อนกลับไปในทันทีแล้วก็ขึ้นหลังม้า

ในวันนั้นซูมู่ไห่ได้ไปออกเดินทางกลับ เขามาขอเชื่อมสัมพันธไมตรีนั้นคนมากมายแต่กลับไปนั้นมีสี่ห้าคน

วันแรกไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น วันที่สองถึงมีคนขวางเอาไว้โดยมาจำนวนยี่สิบกว่าคน ขัดขวางซูมู่ไห่เอาไว้ไม่ให้เขากลับไป มองดูการแต่งกายของคนเหล่านั้นราวกับเป็นคนของปีกใต้ ซูมู่ไห่นั่งอยู่บนหลังม้าด้วยความแปลกใจ

“พวกเจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงได้มาขวางทางของข้า?”

“……” อีกฝ่ายไม่ได้กล่าวสิ่งใด ออกคำสั่งแล้วเริ่มต่อสู้กันขึ้น

เริ่มแรกขัดขวางต่อมาก็มีคนลงมืออย่างโหดเหี้ยม

ซูมู่ไห่เกือบจะได้รับบาดเจ็บ ในช่วงเวลาวิกฤติถูกคนขวางเอาไว้ คนชุดแดงผู้หนึ่งซึ่งติดกระดุมตรงหมวกพร้อมถือดาบเล่มหนึ่งในมือปกป้องซูมู่ไห่ก่อน จากนั้นก็ฆ่าทุกคนที่ขวางทางหมดในทันใด

คนเหล่านั้นตกจากหลังม้าลงบนพื้น

ซูมู่ไห่ตกใจยังไม่หายก็มีม้าตัวหนึ่งได้วิ่งมาทางนี้ชายชุดแดงนั่งไปบนหลังม้า ทั้งสองคนมองหน้ากัน ซูมู่ไห่เห็นคนบนหลังม้าชัดเจนก็ตกตะลึง: “เหตุใดถึงเป็นท่าน?”

“ข้าจะพาท่านกลับไป”

เฟิ่งหลิงอวิ๋นเหลือบมองคนที่ซูมู่ไห่นำมาซึ่งพวกเขานั้นตายกันหมดแล้ว

ซูมู่ไห่ขมวดคิ้ว: “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้? เป็นหนานกงเย่สินะ?”

“หากว่าเป็นเขาเขาจะไม่ใช้วิธีที่น่ารังเกียจเช่นนี้ คนเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่เสด็จพ่อของท่านใช้ขัดขวางท่าน เสด็จพ่อของท่านไม่ต้องการให้ท่านกลับไปตาย แต่ในนี้มีคนได้แทรกแซงเข้ามาดังนั้นท่านจึงเกือบตาย”

“นอกจากหนานกงเย่แล้วยังมีผู้ใดที่ต้องการสังหารข้า ไม่ใช่คนของเขาเหรอ?” ใบหน้าของซูมู่ไห่เย็นยะเยือกยิ่งนัก คิดว่าเขาถูกล้อเล่นและตอนนี้ต้องการกลับไปยังปีกใต้ก็ไม่ง่าย ในใจจึงยากที่จะหลีกเลี่ยงความโกรธ แต่เฟิ่งหลิงอวิ๋นเพียงแค่เหลือบมองเขาแล้วออกแรงหนีบท้องม้าจากนั้นม้าก็ได้วิ่งออกไปด้วยความเร็ว!