“เฮ้ย เจ้าจะซื้อหรือเปล่า? อย่ายืนขวางทางของซื้อของขายการแลกเปลี่ยนของข้า” พ่อค้าออกปากไล่เขา พอเห็นโอลิเวอร์ยืนอ่านหนังสือ “หลักคณิตศาสตร์แห่งปรัชญาเวทมนตร์” กับ “แคลคูลัสพื้นฐาน” ตรงหน้าแผงหนังสือของเขาอย่างหลงใหล
“ฮะ?” โอลิเวอร์ตัวเป็นเจ้าเข้า หลังดึงสติกลับมาจากความรู้สึกมหัศจรรย์ราวกับหุบเขาวิมาน เขาโบกหนังสือเล่มนั้นแรงๆ “ซื้อสิ ข้าซื้อ! รู้ไหมว่าคนเขียนมาจากกลุ่มไหน?”
เขาอยากเจอนักเวทที่คิดค้นระบบคณิตศาสตร์อันยอดเยี่ยมและทฤษฎีที่น่าอัศจรรย์จนแทบทนไม่ไหว และตื่นเต้นจนออกนอกหน้า
แม้จะแค่เปิดอ่านหนังสือเพียงผ่านๆ เนื่องจากยังไม่มีความรู้เรื่องนี้ แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความงามของคณิตศาสตร์อันบริสุทธิ์ และแรงโน้มถ่วงซึ่งเกินกว่าอายุขัยของมัน
“ท่านดักลาสจากสภาเวทมนตร์ เป็นผู้เขียน ส่วนหนังสือ ‘แคลคูลัสพื้นฐาน’ มี ‘ท่านหญิงซิลเวอรี’ และท่านเฟอร์นันโดจากสภาเวทมนตร์เป็นผู้เขียนร่วม” พ่อค้ากล่าวถึงด้วยความเคารพที่เห็นได้ชัดเจนขณะเอ่ยชื่อพวกเขา
ด้วยอารามดีใจ โอลิเวอร์หยิบหินลายคลื่นคุณภาพต่ำก้อนหนึ่งจ่ายไป แล้วรวบรวมหนังสือกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่เขาเลือกไว้ เขาพึมพำกับตัวเอง “สภาเวทมนตร์! ทุกคนสังกัดสภาเวทมนตร์! ข้าจะเข้าสภาเวทมนตร์!”
หนังสือที่มีความรู้ระดับนี้สร้างแรงกระเพื่อมอันรุนแรงต่อนักเวทชั้นเริ่มต้น!
หลังจากพึมพำๆ อยู่พักหนึ่ง เขาก็เงยหน้าขึ้นจ้องไปที่พ่อค้า ตาเขาเป็นประกาย พ่อค้าผงะถอยหลังถอยอย่างหวาดกลัว และพูดเสียงเครือๆ “ข้า… ข้าไม่ขายของคุณภาพต่ำ”
“บอกข้าหน่อยเถอะข้าจะเข้าสภาเวทมนตร์ได้ที่ไหน” โอลิเวอร์ถามด้วยคความตื่นเต้น
พ่อค้าตอบอย่างหัวเสียและโล่งอก “ถ้ารู้ ข้าคงเข้าเองแล้ว!”
แล้วเขาก็ตอบอย่างจริงจัง “ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา ศาสนจักรบีบเราทุกทาง กลุ่มต่างๆ ต้องแอบพัฒนากันลับๆ แล้วเจ้าจะเข้ากลุ่มง่ายๆ ได้ยังไง”
“ข้ามั่นใจว่าจะหาคำตอบได้!” โอลิเวอร์ตัดสินใจ แม้สภาเวทมนตร์จะมีนักเวทไม่กี่คน แต่เขามุ่งมั่นจะร่วมกับสภาให้ได้!
เขาไล่ถามทุกคนในงานไม่หยุด แม้จะผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม เขาทุ่มเงินไปเยอะ
แต่พฤติกรรมของเขาทำให้นักเวทที่ดูแลงานมั่นใจว่าเขาไม่ใช่ผู้พิทักษ์ราตรีแน่ๆ
ในที่สุด เพื่อแลกกับ “หินวิญญาณ” นักเวทคนหนึ่งก็บอกใบ้เขา “ท่านเฟอร์นันโด แห่งสภาเวทมนตร์ จะมาที่นี่ เจ้าลองไปรอพบเขาดู”
เขาชี้ไปที่เส้นทางในป่า ออกนอกพื้นที่งานไป
“ท่านเฟอร์นันโด?” โอลิเวอร์รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง และรีบวิ่งไปตามเส้นทางเพื่อรอที่นั่น
เวรยามของที่นี่จับตามองเขาเป็นพิเศษ เผื่อว่าเขาจะข่าวกรองรั่วไหล
สิบกว่านาทีผ่านไป โอลิเวอร์ก็เห็นชายร่างกำยำคนหนึ่งในชุดคลุมสีแดง ลิช และชายร่างผอมกะหร่องกำลังเดินมาจากทางแยกตรงถนน
“ถึงเจ้าจะดูน่ากลัว แต่ ‘ทฤษฎีโครงสร้างร่างกายและการไหลเวียนโลหิต’ ของเจ้าก็ควรค่าแก่การอ่าน” เฟอร์นันโดเอ่ยปากชม ทั้งๆ ที่แทบไม่เคยชมใครเลย
วิเซนเต้พูดอย่างเย็นชาว่า “ถึงเจ้าจะโรคจิต แต่ก็มีความรู้เรื่องแคลคูลัสดีทีเดียว”
เขาไม่ยอมแพ้
เฟอร์นันโดทำจมูกฟุดฟิด สะกดอาการอยากคำรามด้วยความปรารถนาจะเผยแพร่อาร์คานา ภายในสภาเวทมนตร์ ทฤษฎีของวิเซนเต้ก็จัดเป็นอาร์คานา
เขาเองก็เข้าใจโครงสร้างร่างกายเป็นอย่างดี การหารือระหว่างเขากับวิเซนเต้และคอนกุสจึงเป็นไปได้ด้วยดี
โอลิเวอร์ยืนอยู่ไม่ไกล และฟังพวกเขาคุยกันถึงทฤษฎีต่างๆ ที่ไม่เข้าใจเลยสักนิด เขารู้สึกว่าเขาก้าวย่างเข้าสู่ประตูแห่งเวทมนตร์ และโลกทั้งใบข้างนอกนั้นกำลังรอให้เขาออกไปสำรวจ
“สักวัน ข้าจะร่วมวงสนทนาถึงโลกและร่างกายมนุษย์!” โอลิเวอร์กำหมัดแน่น ตั้งเป้าหมายชัดเจน
ตอนนั้นเอง โอลิเวอร์ค่อนข้างมั่นใจว่านักเวทร่างเล็กในชุดแดงนั่นคือท่านเฟอร์นันโด เขารออย่างใจจดใจจ่อ เมื่อทั้งสามเดินใกล้เขามา เขาก็ก้าวเข้ามาและโค้งคำนับตามมารยาทที่ดีของนักเวท ”ท่านเฟอร์นันโดผู้สูงส่ง ข้าเป็นศิษย์ที่ชื่นชมท่านดักลาสและท่านสำหรับความรู้มากมายของท่าน ข้าขอเข้าสภาเวทมนตร์ และรับการสั่งสอนจากท่านได้ไหมขอรับ”
แล้วเขาก็ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน เกรงว่าถูกปฏิเสธและพลาดโอกาสสำคัญนี้
หลังจากนิ่งอึ้งไปสักพัก เฟอร์นันโดก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “สภาเวทมนตร์ยินดีต้อนรับนักเวททุกคน แต่ต้องขอบอกก่อนเลยว่าทุกคนที่เข้าร่วมในสภาต้องยอมรับบรรยากาศของการอภิปรายแบบเปิดกว้าง และระเบียบการที่อาร์คานาจะเผยแพร่เอกสารให้นักเวททุกคน แน่นอนว่าผู้เขียนบทความจะได้รับรางวัลจากสภาเวทมนตร์และผู้อ่านทุกคน”
“อาร์คานา?” โอลิเวอร์ถามด้วยความสงสัย
เฟอร์นันโดอธิบายคำจำกัดความของอาร์คานาก่อนจะถามอีกครั้งว่า “เจ้าจะยอมรับไหม?”
โอลิเวอร์คิดอยู่ชั่วครู่ นอกเหนือจากต้นแบบเวทมนตร์และเคล็ดลับการร่ายเวท เขาก็ไม่มีทฤษฎีอาร์คานาที่ควรเก็บไว้เป็นความลับ เขาจึงพยักหน้าอย่างจริงจัง “ยอมรับขอรับ ท่านเฟอร์นันโด”
โอลิเวอร์ไม่คาดหวังว่าการเข้าร่วมสภาเวทมนตร์จะง่ายดายขนาดนี้ เขาปลื้มปริ่มมากจนรู้สึกว่าไม่จริง
เฟอร์นันโดพยักหน้า “แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น เจ้าต้องถูกพวกเขารตรวจสอบ เราไม่อาจปล่อยให้ผู้พิทักษ์ราตรีคนใดเล็ดลอดเข้ามา”
“ไม่ใช่ปัญหาขอรับ” ความรู้สึกว่าเกินจริงของโอลิเวอร์หายวับไปทันที และเขาก็กลับมาสู่หลักความเป็นจริง
เมื่อฟังการสนทนาระหว่างเฟอร์นันโดกับโอลิเวอร์ วิเซนเต้รู้สึกว่าที่นี่ไม่ได้ต้องการเขาแล้ว จึงหันหลังจากไป
……
ณ อาสนวิหารหิมะ…
เอกสารกองอยู่ตรงหน้า อะราเดลีนมองไปนักบวชแดงระดับเจ็ดซึ่งดูแลคณะไต่สวนด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ”ทำไมท่านไม่จับกุมพวกขุนนาง? พวกมันมีความผิดฐานสมคบคิดกับนักเวท!”
นักบวชแดงตอบด้วยความเคารพ แต่ไม่มีความเกรงกลัว “ท่านอะราเดลีน พวกเขาเป็นเพียงผู้ต้องสงสัย เราไม่มีหลักฐานยืนยัน พระเจ้าทรงสอนไม่ให้เราลงโทษใครมั่วซั่ว”
“หลักฐานยืนยัน? เราไม่มีหลักฐานอะไรเลยรึ?” อะราเดลีนโยนหนังสือเล่มหนึ่งใส่นักบวชแดง “เจ้าไม่เคยอ่าน ‘ค้อนลงทัณฑ์นักเวท’ หรือไม่?”
นักบวชแดงเหลือบมองปกหนังสือและตอบอย่างใจเย็น “เขาเลื่อนขั้นเป็นผู้ไต่สวนจากผู้พิทักษ์ราตรี หมาบ้ามีประสบการณ์มากมายแน่นอน ความคิดและวิธีการของเขาเหมาะสมกับที่ที่นักเวทเคลื่อนไหวอย่างอุกอาจ แต่ท่านอะราเดลีน แดนเหนือเป็นดินแดนที่เราพัฒนามาตั้งแต่ต้น เรามีศรัทธาอันบริสุทธิ์ ขุนนางพวกนี้ไว้ใจได้ พวกเขาไม่เหมือนพวกขุนนางในโฮล์ม”
อะราเดลีนจ้องนักบวชแดงตาเขม็ง จนเกือบจะกล่าวหาว่าเขาบกพร่องต่อหน้าที่และทรยศต่อพระเจ้า แต่เขาก็นึกถึงเหตุการณ์ทำนองนี้ที่เห็นในแดนเหนือ เขาก็ระงับความโกรธและพยักหน้า “ยังไงเราก็ต้องสอบปากคำก่อนตัดสินว่าใช่ผู้ต้องสงสัยหรือไม่”
หลังจากนักบวชแดงออกไป เขาก็หรี่ตาลงด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ที่แดนเหนือนี่มีอะไรบางอย่างผิดปกติ เขาต้องแอบสืบสวนลับๆ
……
อีกยี่สิบปีผ่านไป ช่วงสิ้นปี 424 ของปฏิทินนักบุญ
อะราเดลีนดูเคร่งขรึมเหมือนแต่ก่อนเมื่อเขาอ่านเอกสารกองโตตรงหน้า ปัญหาของแดนเหนือหนักกว่าที่เขาคิด นักบวชหลายคนสมคบคิดกับขุนนาง รับสินบน ลุ่มหลงมัวเมา และลืมไปว่านักเวทยังไม่สูญพันธุ์ และยังไม่ชนะสงครามเทือกเขาแห่งความมืด นอกจากนี้ ดูเหมือนว่านักบวชที่นี่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับหลักคำสอนแตกต่างกัน!
เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างถูกบงการจากใครสักคนที่มีอำนาจ เบาะแสทั้งหมดชี้ไปที่นักบวชแดงระดับเก้าสองสามคนในสังฆมณฑลนี้ ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลที่ดูแลโบสถ์สำคัญๆ เหมือนตัวเขา
ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา อะราเดลีนค่อยๆ กำจัดอุปสรรคและพบเบาะแสทีละเล็กทีละน้อย จนในที่สุด เขาก็เพิ่งเสร็จสิ้นการสืบสวนเบื้องต้น และตัดสินใจจะเปิดโปงแผนการนี้
ตามระเบียบการ เขาต้องรายงานเรื่องนี้ถึงนักบุญเฟลิกซ์ พระคาร์ดินัลหลวงของสังฆมณฑลนี้เสียก่อน
เขาไม่เคยถามถึงความภักดีของเฟลิกซ์ อันที่จริง ยังไม่เคยมีนักบวชคนไหนทรยศต่อศาสนจักรมาก่อน คำสั่ง “คว่ำบาตร” และการสถิตอยู่ของพระเจ้าช่วยไม่ให้เกิดการแปรพักตร์ขึ้น ฉะนั้น เขานิยามเหตุที่เกิดขึ้นที่นี่ว่าเป็นการลุ่มหลงมัวเมาและขาดความศรัทธา นักบุญคือผู้ที่ละกิเลสตัณหาพื้นฐาน ย่อมไม่ตกอยู่การยึดติดกับความมัวเมาแน่นอน มีศรัทธาอันแรงกล้า มิฉะนั้น พระเจ้าคงทรงไม่มอบพลังอันยิ่งใหญ่แก่เขา
อะราเดลีนหยิบเอกสารขึ้นมา เขาเดินทางทะลุมิติมาถึงอาสนวิหารของเฟลิกซ์ผ่านวงเวทส่งสัญญาณ เขารออยู่สิบนาทีกว่าเฟลิกซ์มาเจอเขา
“สถานการณ์ย่ำแย่มาก” เฟลิกซ์พลิกเอกสารอ่านอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะสรุปอย่างเคร่งขรึม
อะราเดลีนคิดเหมือนกันกับเขา “ขอรับ นักบุญเฟลิกซ์ เราต้องสั่งสอนพวกเขาโดยเร็ว”
เฟลิกซ์มองประตูที่ปิดอยู่และพูดกับอะราเดลีน “เจ้าไปร่างแผนมา แล้วค่อยมาคุยกัน”
“ขอรับ พระคุณเจ้า” อะราเดลีนโค้งคำนับและหันกลับมา
เดินมาเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็สัมผัสได้ถึงลำแสงศักดิ์สิทธิ์อันน่าสยดสยอง และสติของเขาก็ค่อยๆ ดับวูบลง
ก่อนที่จะจมดิ่งลงในความมืดชั่วนิรันดร์ เขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายหันกลับไปดู แล้วก็เห็นนักบุญเฟลิกซ์เพิ่งลดมือขวาลง พร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ยบนริมฝีปาก
วันที่ 21 ธันวาคม 424 อะราเดลีน บิชอปแห่งอาสนวิหารหิมะ แดนเหนือ จักรวรรดิชาชราน ถูกลอบสังหารจากนักเวทที่สมคบคิดกับปีศาจ และสิ้นชีพอย่างน่าสังเวช นครศักดิ์สิทธิ์ตกตะลึง
……
ในสถานที่คล้ายๆ กับโรงละคร ที่นั่งรอบๆ เวทีตรงกลางถูกจับจองหมดแล้ว
“ข้าไม่คิดว่าดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นธาตุ แต่ควรนับเป็นแรง…” โอลิเวอร์ทำท่าทางประกอบการปราศรัย และพูดกับผู้ฟังด้านล่างอย่างมั่นใจ
……………………………………………………………………………….