“เจ้าจะให้เงินเท่าไร”
หลินหันเยียนได้ยินดังนั้น ในใจก็พลันยินดี ทว่าใบหน้ามิได้แสดงอะไรออกมาแม้แต่น้อย และวางมาดถามอย่างระมัดระวัง “ท่านคิดว่าต้องการเท่าไรเจ้าคะ”
เถ้าแก่ได้บอกสถานะของหลินหันเยียนกับเขาแล้วว่านางค้าขายอยู่ภายในอาณาเขตของรัฐอู่ และดูจากการกระทำเมื่อครู่ ก็นับว่าไม่ได้เป็นกิจการที่เล็กน้อยเลย มิเช่นนั้นคงไม่จ่ายเงินสามก้อนในคราเดียวกันแบบนั้น คิดถึงจุดนี้ ผู้ชายก็ยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง แกว่งไปมาตรงหน้าหลินหันเยียน
หลินหันเยียนกลืนน้ำลาย ลองกล่าวถาม “ห้าสิบตำลึง”
ผู้ชายส่ายหน้า “ห้าร้อยตำลึง”
“อะไรนะ” หลินหันเยียนตกใจร้องและเบิกตาโพลงอย่างไม่เชื่อ “ห้า…ห้าร้อยตำลึงหรือเจ้าคะ”
ผู้ชายพยักหน้า “อืม น้อยกว่านี้ไม่ได้ขอรับ”
“เช่นนั้นก็ช่างเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่ไปดูแล้ว อย่างมากที่สุด ตอนที่ข้ากลับไป ก็แค่บอกท่านพ่อกับท่านแม่ข้าว่า ข้าไม่มีซึ่งหนทางเข้าไปในจวนขององค์ชายใหญ่ จึงไม่เจอหน้าหลานสาวของข้าคนนั้นเท่านั้นเอง” หลินหันเยียนพูดปฏิเสธเด็ดขาดโดยไร้ซึ่งความลังเล
ดวงตาของผู้ชายหรี่ลง จับจ้องท่าทางของนางราวกับกำลังวิเคราะห์ว่าคำพูดของนางเป็นความจริงหรือความเท็จ
หลินหันเยียนสู้กับสายตาเขาอย่างไม่เกรงกลัว
ผู้ชายละสายตาที่ประเมินลง แล้วถาม “พวกเจ้าคิดว่าจะให้เท่าไรล่ะขอรับ”
หลินหันเยียนกัดฟันเหมือนรู้สึกเจ็บปวด “ข้าจะขอพูดโดยไม่ปิดบังคุณชายนะเจ้าคะ ถ้ามิใช่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าอายุมากแล้ว และมักบ่นอยากจะให้ซื้อตัวหลานสาวของข้าคนนั้นกลับมาเพื่อจะได้มีเลือดเนื้อเชื้อสายเดียวกันกับพี่ชายข้าที่ตายไปนานแล้วโดยตลอด ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ถึงขั้นเสี่ยงมาที่เมืองขององค์ชายใหญ่เพื่อตามหานางหรอกเจ้าค่ะ แล้วยังทำให้ล่าช้าต่อกิจการของรัฐอู่ที่ข้ายังไม่ได้ถอนคืนกลับมาอีก ก็ไม่รู้ว่าต้องเสียหายเท่าไร ถ้าหากว่าท่านยินยอมช่วยเหลือ ข้าจะเพิ่มให้ท่านอีกห้าสิบตำลึงหลังจากที่ธุระสำเร็จลุล่วงแล้ว ถ้าหากไม่ได้ พวกเราทั้งครอบครัวก็จะออกเดินทางกลับบ้านโดยทันทีเจ้าค่ะ”
การที่ผู้ชายได้รับงานส่งผักให้แก่จวนขององค์ชายใหญ่ จึงย่อมเป็นคนที่คิดเป็นระดับหนึ่งอยู่แล้ว เมื่อครู่ที่บอกว่าต้องการห้าร้อยตำลึงก็เพื่อทดสอบหลินหันเยียนเท่านั้น ถ้าหากว่านางรับปากจริงๆ เขาก็จะสงสัยว่าหลินหันเยียนไปที่จวนองค์ใหญ่เพราะมีจุดประสงค์อย่างอื่น ตอนนี้น้ำเสียงปฏิเสธแข็งขันของหลินหันเยียน กลับคลายความเคลือบแคลงในใจเขา ใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วกล่าว “ห้าสิบตำลึงก็ห้าสิบตำลึงขอรับ วันนี้กลับถึงโรงเตี๊ยมแล้ว ท่านต้องรีบให้พวกเราทันทีล่ะ”
“แน่นอนเจ้าค่ะ แม้ว่าข้าจะไม่ใช่ผู้ชาย แต่ก็เข้าใจว่าคำพูดสำคัญเพียงไหน จะให้ห้าสิบตำลึงโดยไม่ขาดอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่แน่ว่าต่อไปพวกเรายังจะมาเยี่ยมอีก ถึงเวลานั้น ก็จำเป็นต้องรบกวนท่านอีกเจ้าค่ะ”
นางพูดอย่างมีเหตุมีผลและออกปากรับรองอย่างมั่นใจ ชายผู้นั้นจึงพยักหน้า “ในเมื่อตกลงตามนี้ ท่านก็รีบตามข้าไปเถิดขอรับ”
หลินหันเยียนชี้ไปที่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวที่อยู่ด้านบน และพูดกับชายคนนั้น “ท่านรอสักครู่นะเจ้าคะ ข้าขอขึ้นไปบอกพี่รองกับพี่สะใภ้รองสักหน่อยว่าให้พวกเขาอย่าได้ไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้า และรอข้าอยู่ในโรงเตี๊ยม”
ครานี้ก็ทำให้เขารู้สึกไว้วางใจอีกครั้ง จึงพยักหน้า “รีบหน่อยนะขอรับ ใกล้ถึงเวลาที่จะต้องไปส่งผักแล้ว”
หลินหันเยียนกลับขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว
สามคนกลับเข้าไปในห้อง
หลินหันเยียนบอกเรื่องที่จะไปที่จวนองค์ชายใหญ่กับทั้งคู่อย่างสั้นกระชับ
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกไม่สบายใจ แต่ว่าไม่มีทางอื่น พวกนางไม่สามารถพูดภาษารัฐอิงได้ ถ้าไปด้วยก็จะยิ่งเพิ่มปัญหา จึงกำชับหลินหันเยียนอย่างจริงจังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้นางระมัดระวังเสียหน่อย ทุกอย่างล้วนต้องปลอดภัยไว้ก่อน ครั้งนี้หาไม่เจอ พวกเขาค่อยคิดหาวิธีอื่น
หลินหันเยียนรับปาก แล้วลงไปข้างล่างอย่างรีบร้อน ตามผู้ชายมายังบ้านที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
ผักสดจำนวนหนึ่งคันรถวางอยู่ภายในเรือน ด้านข้างมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ ครั้นเห็นผู้ชายพาหลินหันเยียนเข้ามา ก็ตกใจจนตาเบิกโพลง ขณะที่กำลังจะซักถาม ผู้ชายก็เอ่ยปากขึ้นก่อน “เจ้าตามข้าเข้าไปในห้อง ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า”
ผู้หญิงจ้องหลินหันเยียนตาเขม็ง แล้วหันตัวตามผู้ชายเข้าไปในห้องอย่างไม่ยินยอม
ทั้งสองคนกระซิบกระซาบอยู่ภายในห้องเป็นเวลานาน ผู้หญิงก็เดินออกมาจากห้องก่อนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มชื่นบาน แล้วกวักมือเรียกหลินหันเยียน “ท่านตามข้าเข้ามาในห้องเถิด มาเปลี่ยนเป็นชุดที่ข้าใส่ในทุกวันเจ้าค่ะ”
เสื้อผ้าที่ทั้งสองคนสวมใส่เป็นชุดชาวบ้านธรรมดา แต่เสื้อผ้าของหลินหันเยียนนั้น พอเห็นก็รู้ทันทีว่ามาจากครอบครัวมีอันจะกิน จึงย่อมไม่เหมาะแก่การไปส่งผัก หลินหันเยียนเดินก้าวยาวเข้าไปด้านในโดยไม่ลังเล
ผู้ชายเดินตามออกมาจากในห้อง แล้วลากรถเตรียมเอาไว้ รอจนกระทั่งหลินหันเยียนออกมาก็ออกเดินทางทันที
รูปร่างของหลินหันเยียนกับหญิงผู้นั้นไม่แตกต่างกันมาก ชุดที่เปลี่ยนจึงใส่ได้พอเหมาะพอดี ผู้หญิงมองแล้วก็พยักหน้า “เสร็จเรียบร้อยเจ้าค่ะ ท่านตามไปได้แล้ว เสื้อผ้าของท่านวางไว้ตรงนี้นะเจ้าคะ รอให้กลับมาเมื่อไร ท่านค่อยเปลี่ยนกลับไป”
หลินหันเยียนกล่าวขอบคุณ เดินออกจากห้องมาช่วยผู้ชายเข็นรถเล็ก แล้วก็เดินทางจนแข้งขาอ่อนล้าอย่างมาก ถึงจะมาถึงประตูเล็กข้างจวนขององค์ชายใหญ่
ที่ประตูเล็กข้างจวนมีสาวใช้อายุน้อยสองคนและหญิงชราอายุห้าสิบกว่าปีหนึ่งคนเฝ้าอยู่ ครั้นเห็นผู้ชายมา ก็เงยหน้ามองแสงบนท้องฟ้า แล้วตำหนิถามอย่างไม่ค่อยพอใจ “ดูเหมือนว่าวันนี้จะมาสายไปหน่อยนะ”
ผู้ชายพยักหน้า โค้งตัวพร้อมหัวเราะอธิบาย “ตอนที่เพิ่งจะออกจากบ้านมา จู่ๆ ผู้หญิงของข้าคนนั้นก็ปวดท้อง จึงต้องเรียกน้องสาวบ้านข้ามาช่วยอย่างช่วยไม่ได้ ท่านยายโปรดเห็นใจด้วยขอรับ”
หญิงชราพินิจดูหลินหันเยียนอย่างละเอียด เห็นนางเอาแต่ก้มหน้าตลอดและสองมือจับไม้ค้ำรถเอาไว้ ไม่เหมือนกับหญิงสาวคนอื่นที่มาครั้งแรกก็จะมองไปมองมาทั่วด้วยความใคร่รู้อย่างอดไม่ได้ จึงรู้สึกพอใจ และโบกมือ “รีบไปเถิด พรุ่งนี้องค์ชายใหญ่จะออกรบ วันนี้พระชายาต้องการเลี้ยงส่งพระองค์ จึงทรงรับสั่งว่าต้องทำอาหารดีๆ ปริมาณมากหน่อย คนในห้องครัวก็ได้มาถามหลายรอบแล้ว”
ชายหนุ่มรับคำ ลากรถคันเล็กเข้าไปในประตู หลินหันเยียนก้มหน้าช่วยดันรถอยู่ด้านข้างตลอด
ตลอดทางมาถึงห้องครัว ทุกคนในห้องครัวล้วนทำงานของตัวเองอย่างเคร่งเครียด ในที่สุดก็เห็นชายผู้มาส่งผักแล้ว พ่อบ้านที่รออยู่ในห้องครัวก็ถอนหายใจโล่งอก พลางสั่งคนให้แกะห่อผักออก พลางตำหนิผู้ชาย
เขาขอโทษขอโพยยกใหญ่ และรับรองว่าต่อไปนี้จะไม่สายอีกแล้ว
ชายส่งผักให้ที่จวนหลายปี สีผักดูดี ราคาก็ย่อมเยาว์ และแทบไม่เคยมาส่งช้า ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่ว่ามีสถานการณ์พิเศษ พ่อบ้านก็จะไม่กดดันเขา หลังจากว่ากล่าวไม่กี่คำ ก็ปล่อยเขาไป พอชั่งผักทุกอย่างแล้ว ก็ส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้แก่เขา แล้วให้เขาไปคิดเงินที่ห้องบัญชีเหมือนอย่างเคย
ผู้ชายรับมา มองเป็นพิธีครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอาใส่ไว้ในชายเสื้อ แล้วพูดกับพ่อบ้านอย่างเอาใจ “ท่านพ่อบ้านท่าป๋า ออกมาคุยสักประเดี๋ยวได้ไหมขอรับ”
พ่อบ้านมองเขาอย่างประหลาดใจ แล้วตามเขามาที่มุมเงียบๆ
ไม่รู้ว่าผู้ชายพูดอะไร พ่อบ้านหันหน้าประเมินดูหลินหันเยียนหลายรอบ ทั้งขมวดคิ้ว และเผยสีหน้าลำบาก
ผู้ชายกวักมือ หลินหันเยียนจึงเดินเข้าไปหา
เห็นผู้ชายส่งสายตาให้นาง ก็รีบควักเงินของรัฐอิงเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกมาจากในชายเสื้อ แล้ววางไว้บนมือของพ่อบ้านอย่างรวดเร็ว
พ่อบ้านผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็ตวัดชายเสื้อขึ้นมาบังมือของตัวเองไว้ แล้วก็กระแอมเบาๆ ถาม “หลานสาวเจ้านามว่าอะไรเล่า ข้าสามารถช่วยเจ้าสืบมาได้”
หลินหันเยียนรีบตอบ “ตอนเด็กๆ ชื่อว่าเย่ว์เจ้าค่ะ พอโตก็ไม่รู้ว่าชื่ออะไรแล้ว พวกเราไม่ได้เจอกันหลายปี ตอนนี้มีหน้าตาเป็นอย่างไร ข้าก็จำไม่ได้แล้ว รู้แต่เพียงว่าเพิ่งจะเข้ามาในจวนเมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้าค่ะ”
เพิ่งจะเข้ามาในจวนเมื่อไม่กี่วันก่อน พ่อบ้านขมวดคิ้ว และหลุดปากพูดออกมา “นอกจากคนที่อยู่ที่เรือนซูซินย่วนย่วนนั่นแล้ว ช่วงนี้ก็ไม่ได้ยินว่ามีใครเข้ามาในจวนเลยนะ”
หลินหันเยียนเผยหน้ายินดี และพยักหน้าอย่างมั่นใจ “คนนั้นก็ต้องเป็นหลานสาวที่น่าสงสารนั่นของข้าแล้วล่ะเจ้าค่ะ นางทำงานที่เรือนซูซินย่วนย่วนใช่ไหมเจ้าคะ”
พ่อบ้านมองนางราวกับมองคนเขลาอย่างไรอย่างนั้น และพูด “ในเรือนซูซินย่วนย่วนคนนั้นเป็นเด็กหนุ่มนะ แล้วจะเป็นหลานสาวเจ้าได้อย่างไร”
หลินหันเยียนหน้าเสียโดยพลัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวังและกระวนกระวาย “แต่ข้าได้สืบมาแล้วว่า พ่อเลี้ยงของนางนั่นขายนางเข้าจวนนี้ไม่กี่วันก่อนนี่นา” พูดจบ ก็กดเสียงต่ำขอร้องพ่อบ้าน “ท่านสามารถช่วยได้หรือไม่เจ้าคะ ช่วยข้าไปสืบมาอย่างละเอียดอีกครั้ง ท่านแม่ที่ชราของข้าคิดถึงนางเหลือเกินเจ้าค่ะ”
ห้องครัวใหญ่ต้องจัดสรรอาหารให้ทุกคนในจวน แต่ถ้าทุกครั้งที่มีเพิ่มคนเข้ามา ด้านนี้ก็จะรู้ทั้งหมด พ่อบ้านหวนคิดทบทวนอยู่นาน ก็คิดไม่ออกว่าเรือนใดมีเพิ่มคนมา จึงส่ายหน้า “ไม่ต้องสืบหรอก ช่วงนี้ในจวนไม่ได้เพิ่มใครเข้ามาจริงๆ”
หลินหันเยียนราวกับไม่ยอมแพ้ ยังจะต้องการให้สืบอีก ชายผู้นั้นก็แทรกนางขึ้นมาก่อน พร้อมกล่าวขอบคุณพ่อบ้านอย่างเอาใจ “ขอบพระคุณพ่อบ้านอย่างมากขอรับ ในเมื่อไม่มี พวกเราก็จะกลับแล้ว”
พ่อบ้านพยักหน้า โบกมือ
ผู้ชายลากรถคันเล็กออกไปข้างนอก
หลินหันเยียนยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับด้วยท่าทางที่ไม่ยอมแพ้ ชายหนุ่มจ้องนางตาเขม็ง และใช้สายตาส่งสัญญาณให้นางตามมา
หลินหันเยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ตามออกไปอย่างจนปัญญา
ผู้ชายมาถึงห้องบัญชี ก็สั่งให้หลินหันเยียนรออยู่ด้านนอก ส่วนตัวเองไปคิดเงินด้านใน จากนั้นก็ลากรถเล็กที่อยู่ประตูเล็กข้างจวนออกมา
ออกมาจากจวนองค์ชายใหญ่แล้ว ผู้ชายก็ถอนหายใจ ขณะที่ลากรถเล็กไปด้านหน้า พลางตำหนิหลินหันเยียน “พ่อบ้านบอกว่าไม่มีคนเข้ามาก็ไม่มีคนเข้ามาสิขอรับ ท่านก็ยังไม่ยอมอีก ท่านรู้ไหมว่าท่านเกือบจะทำให้ข้าต้องเดือดร้อนอย่างมากแล้ว”
หลินหันเยียนตามอยู่ด้านหลังอย่างหดหู่ น้ำเสียงแสดงความรู้สึกผิดเล็กน้อย “ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ จึงรับไม่ได้กะทันหัน และรู้สึกร้อนใจขึ้นมา”
หันหน้ามองท่าทางที่ห่อเ**่ยวของนาง เขาก็เม้มริมฝีปาก ไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วก็เป็นเช่นนี้ตลอดทางจนกระทั่งใกล้จะถึงประตูทางเข้า หลินหันเยียนถึงเอ่ยปากร้องขอเบาๆ “คือว่า หลังจากนี้ต่อไป ขอให้ท่านช่วยข้าสืบเสียหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าจะมาที่หวงเฉิงทุกเดือน เดือนละครั้งอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นท่านก็สามารถบอกข้าได้”
แค่สืบนิดสืบหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องยาก ผู้ชายจึงรับคำ
กลับถึงบ้านแล้ว ผู้หญิงก็ต้อนรับอย่างยินดี และซักถาม “เจอหลานหรือไม่เจ้าคะ”
หลินหันเยียนส่ายหน้า บนใบหน้าปิดบังความผิดหวังไม่ได้
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของผู้หญิงคลายลง มองไปทางผู้ชาย พร้อมส่งสายตาถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ผู้ชายก็ทำมือสัญญาณสื่อว่า มีเรื่องอะไรไว้ค่อยคุยกัน
ผู้หญิงเข้าใจและปลอบเสียงเบาๆ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ครั้งนี้ไม่ได้เจอ ต่อไปก็ยังมีโอกาสเจ้าค่ะ”
หลินหันเยียนไม่ได้พูด เดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง
ผู้หญิงมองผู้ชายแวบหนึ่ง แล้วตามเข้าไป
เปลี่ยนกลับเป็นชุดของตัวเองแล้ว ก็เดินออกนอกประตูมา หลินหันเยียนควักตั๋วแลกเงินห้าสิบตำลึงออกมา ยื่นไปตรงหน้าผู้ชาย “แม้ว่าวันนี้จะไม่ได้เจอ แต่วันหลังยังต้องรบกวนท่านให้ช่วยสืบอีก เงินห้าสิบตำลึงนี้ก็ถือว่าเป็นเงินที่ข้าตอบแทนท่านในความลำบากนะเจ้าคะ”
ผู้ชายไม่รับ “วันนี้ไม่อาจช่วยเหลือท่านได้ เงินนี้ข้าก็ไม่ต้องการแล้วขอรับ รอให้ถึงวันที่ได้ข่าวว่าหลานสาวท่านอยู่แห่งใดแล้ว ก็ค่อยว่ากันอีกทีขอรับ”
หลินหันเยียนยืนกรานที่จะให้
ผู้หญิงกลอกลูกตา เดินเข้ามารับตั๋วแลกเงินอย่างยิ้มแย้ม และพูด “ได้เลยเจ้าค่ะ ได้เลย เรื่องนี้เชื่อใจพวกเราได้เลยเจ้าค่ะ หลังจากนี้ต่อไป ข้าจะช่วยท่านถามทุกวันเลยเจ้าค่ะ”