ตอนที่ 1841 สิบชามคะมำ

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

ณ เมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยาน มหาพิภพถงเทียน

ความเจริญของเมืองหลวงจักรพรรดินั้นมันแตกต่างอย่างที่ไม่อาจนำเมืองจักรพรรดิใดๆ มาเทียบเคียงได้

เมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานนั้นกินพื้นที่กว้างขวาง ยิ่งใหญ่กว่าเมืองจักรพรรดิทั่วๆ ไปหลายเท่าตัวนัก

เหล่านักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าที่หาได้ยากยิ่งในเมืองจักรพรรดินั้นมีให้เห็นทั่วไปในเมืองหลวงจักรพรรดิ

ต่อให้เป็นนักยุทธอาณาจักรนภาสวรรค์ก็ยังพบเจอได้ไม่ยากเย็นนัก

ในร้านสุราเล็กๆ แห่งหนึ่งมีเด็กชายอายุราวแปดถึงเก้าขวบอุ้มหมูสีชมพูอ่อนนั่งอยู่กับชายหนุ่มคนหนึ่ง

แน่นอนว่าพวกเขานั้นคือเย่หยวนและตงน้อยผู้ที่เพิ่งจะออกมาจากมิติอนัตตาก่อไผ่ได้ไม่นาน

“เด็กน้อย ทำไมเราจึงมุ่งหน้ามายังที่แห่งนี้กัน?” ตงน้อยถาม

พวกเขาทั้งหลายนั้นล่องลอยติดอยู่ในดวงใจมิตินานนับสิบปีกว่าจะออกมายังมหาพิภพถงเทียนได้

แต่เมื่อพวกเขาทั้งหลายออกมาได้ พวกเขากลับพบว่าตัวเองได้มาอยู่ในเทือกเขาใกล้ๆ กับเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยาน

เดิมทีเย่หยวนนั้นคิดที่จะมุ่งหน้าตรงกลับไปยังเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ทันทีแต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดหวู่เฉินกลับบอกให้เขาเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานก่อน

เย่หยวนเองก็ถามออกไปถึงเหตุผลแต่ตัวหวู่เฉินกลับบอกว่าไม่ทราบ และรู้แค่ว่าตัวเองรู้สึกได้ว่ากำลังมีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นใกล้ๆ เมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานนี้ ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับพวกเขาทั้งหลาย

เรื่องความรู้สึกเหนือธรรมชาติของหวู่เฉินนี้แม้เย่หยวนจะสงสัยแต่ก็ไม่ได้บ่นอะไรมากมาย

เพราะสัญชาตญาณของนักยุทธนั้นมักแม่นยำเสมอ

ตงน้อยถามคำถามที่เย่หยวนเองก็ไม่อาจตอบได้ออกมา เขาจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบไป “อย่าถามเลย ข้าก็ไม่รู้”

ตงน้อยไม่คิดตื่นตกใจใดๆ และแค่ถามขึ้นมาต่อ “เช่นนั้นเราจะเอาอย่างไรต่อกันดี?”

เย่หยวนหยุดคิดไปพักหนึ่ง “หาที่หลับนอนก่อนล่ะนะ ข้าว่าอีกไม่นานเรื่องใดๆ ก็คงได้รู้ผลกันแล้ว”

ร้านนี้มันไม่ได้ใหญ่โตมากมายแต่อาหารของพวกเขานั้นแสนอร่อย เย่หยวนและตงน้อยจึงรีบกัดกิมันด้วยท่าทางแสนเอร็ดอร่อย

เมื่อมาถึงระดับของเย่หยวนแล้วพวกเขาทั้งหลายนั้นไม่ต้องกินอาหารใดๆ อีก แต่มันก็ยังมีนักยุทธอีกมากมายที่ชอบดื่มสุราและกินเนื้อในร้านต่างๆ

หนึ่งคือสุราและเนื้ออาหารทั้งหลายนั้นมันมักไม่ใช่อาหารธรรมดาๆ แต่เป็นสิ่งของที่จะช่วยในการบ่มเพาะของพวกเขา

อย่างที่สองคือเพื่อคลายความเครียดจากการบ่มเพาะนานปี ตอบสนองความต้องการตั้งเดิม

ระหว่างที่คนทั้งสองกำลังกินกันไปอย่างเอร็ดอร่อยก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเย่หยวนด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายท่านนี้ ร้านนี้มันช่างมีกิจการดีเหลือเกิน ข้าขอนั่งโต๊ะร่วมกับท่านด้วยได้หรือไม่? อาหารและสุราของท่านนั้นข้าจะเป็นคนจ่ายให้เอง”

เย่หยวนเงยหน้าขึ้นมามองดูชายหนุ่มคนนี้และพบว่าใบหน้าของเขานั้นไม่มีท่าทางอวดดีอวดรวยใดๆ แตกต่างจากพวกคุณหนูบ้านคนรวยทั้งหลายที่เขาเคยเจอ

ตอนที่เขาบอกว่าจะเลี้ยง ใบหน้าของเขาก็เปี่ยมไปด้วยความจริงใจและไม่มีท่าทางจะโอ้อวดใดๆ ด้วย

เพราะฉะนั้นเย่หยวนจึงพยักหน้ารับและทำท่าเชิญ “เชิญนั่ง”

ชายหนุ่มรูปงามคนนั้นแสดงท่าทีดีอกดีใจออกมาก่อนจะรีบตะโกนสั่ง “ข้าขอชุดชามและตะเกียบพร้อมอาหารที่ดีที่สุดมาหนึ่งชุด”

พูดจบเขาก็หันมายิ้มให้เย่หยวน “ข้ามีนามว่าเล้งซู่ ท่านพี่ท่านนี้มีนามว่าใดหรือ?”

“เย่หยวน”

“ฮ่าๆ ที่แท้เป็นพี่เย่นี่เอง การพบพานของเรานี้คงเป็นเพราะชะตา! มา ดื่มกัน!”

เย่หยวนยิ้มออกมาเบาๆ ก่อนจะยกแก้วขึ้นชนกับอีกฝ่ายและดื่มลงจนหมดภายในอึกเดียว

“ฮ่าๆ เยี่ยม! พี่เย่สุราสิบชามคะมำของร้านนี้มันแรงไม่น้อย เรามาดื่มแข่งกันโดยไม่ใช้ปราณเทวะหน่อยไหม?”

คนที่มายังร้านแห่งนี้ย่อมมาเพื่อดื่มกินหาความสุข

หากมีผู้ใดใช้ปราณเทวะกลั่นหลอมสุรามันย่อมทำให้เรื่องราวทั้งหลายไร้ความหมายไปทันที

แต่หากอยากจะให้นภาสวรรค์ต้องเมาแล้วมันคงมิใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก

การที่จะทำให้ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ล้มคะมำได้ในสิบชาม มันย่อมบ่งบอกถึงความแรงของสุราชนิดนี้อย่างมาก

เย่หยวนยิ้มตอบ “เอาล่ะ ดื่ม!”

พูดจบคนทั้งสองก็ยกแก้วขึ้นอีกครั้งทันที

ในพริบตา สิบชามก็ลงไปอยู่ในทองของพวกเขาโดยที่ทั้งสองกลับไม่มีท่าทีมึนเมาใดๆ

เรื่องนี้ทำให้ลูกค้าที่นั่งกันอยู่เริ่มหันมามองให้ความสนใจเย่หยวนและเล้งซู่ที่กำลังยกสุราขึ้นดื่มอย่างไม่มีหยุดยั้งด้วยปากที่เปิดอ้าค้างด้วยความตกตะลึง

“เอ๋? นั่นมันนายน้อยตระกูลเล้งมิใช่หรือ? ไม่แปลกเลยที่จะดื่มได้ขนาดนี้ได้ยินว่าเขาเคยดื่มสุราสิบชามคะมำนี้ไปได้ถึงสี่สิบหกชาม! ตั้งแต่นั้นมาผู้คนต่างก็เรียกเขาว่าเป็นเทพแห่งสุรา!”

“แต่ว่าเจ้าหนุ่มที่นั่งข้างเขาเองนั้นก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ถึงขั้นสามารถยืนสู้กับนายน้อยเล้งได้ขนาดนี้!”

“หึ ไม่มีทางล่ะ! นามของสุราสิบชามคะมำนั้นไม่ได้ตั้งมาเล่นๆ หลังผ่านชามที่สิบไปได้ฤทธิ์ของสุรามันก็จะยิ่งเพิ่มทวีคูณ ข้าว่าอย่างมากเขาก็อยู่ได้แต่ยี่สิบชามแหละ”

ร้านสุรานี้มันตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล คนที่มายังร้านนี้ล้วนแล้วแต่เป็นลูกค้าหน้าเก่าขาประจำที่รู้จักเจ้าสุราสิบชามคะมำนี้อย่างดี

มันไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีใครดื่มได้เกินสิบชามมาก่อน แต่คนเหล่านั้นก็ไม่ได้มีจำนวนมากนัก

ไม่ว่าจะเป็นนภาสวรรค์ที่เก่งกาจแค่ไหน พวกเขาก็ไม่อาจดื่มได้เกินยี่สิบห้าชาม

แต่น่าเสียดายที่เย่หยวนกลับทำให้คำคาดเดานั้นผิดพลาดไปจนหมด

“เยี่ยม ชนอีก!”

“ไม่นึกเลยว่าเย่หยวนท่านเองก็เป็นคนสายเดียวกัน! ฮ่าๆ เยี่ยม สุดยอดเลย!”

เล้งซู่ดื่มเร็วขึ้นและเร็วขึ้นจนหัวเราะลั่นออกมา แต่เมื่อเย่หยวนเห็นท่าทางยิ้มและหัวเราะของเขาเย่หยวนกลับพบว่ามันแฝงปนมาด้วยความโศกเศร้าไม่สบายใจ

คนผู้นี้มาเพื่อเมา!

เย่หยวนนั้นสงสัยไม่น้อยว่าเรื่องราวใดมันถึงทำให้ชายหนุ่มท่าทางร่าเริงคนนี้กลับมีสีหน้าแบบนั้นออกมา?

แต่ท่าทางของเล้งซู่ต่อเขานั้นไม่ได้เลวร้ายใดๆ เขาจึงตัดสินใจที่จะเป็นเพื่อนดื่มของเล้งซู่ไปอีกชาม

ไม่นานก่อนหน้านี้กายทองคำเก้าหัตถ์ของเย่หยวนนั้นได้บรรลุขึ้นสู่ระดับห้า

ร่างกายที่แข็งแกร่งเช่นนี้ย่อมมีภูมิต้านทานพิษสุราอย่างมากมายมาแต่แรกแล้ว

ที่สำคัญเย่หยวนยังนักหลอมโอสถ ที่สำคัญกว่านั้นเขายังเป็นนักหลอมโอสถที่ศึกษาเรื่องสุรามาไม่น้อย ไม่ว่าสุรานั้นจะรุนแรงเพียงใดมันก็แทบไม่ได้ต่างจากน้ำเปล่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หยวน

หรืออย่างน้อยๆ เจ้าสุราสิบชามคะมำนี้มันก็ไม่ได้รุนแรงมากมาย

“หกสิบห้าชาม!”

“เจ็ดสิบสามชาม!”

“เก้าสิบชาม!”

ตอนนี้ทุกคนในร้านต่างหยุดดื่มกินเองกันสิ้นและหันมาตั้งหน้าตั้งตานับสุราที่เย่หยวนและเล้งซู่ดื่มกัน

การแข่งดื่มในครั้งนี้มันทำให้ผู้คนได้แต่ทองดูอย่างมึนงง

จนที่สุดเมื่อมาถึงชามที่ร้อยสาม เล้งซู่ก็ล้มพับลงกับโต๊ะ

“สุราดี! พี่เย่… มาๆ ชนแก้ว!”

ชายคนนี้ทั้งๆ ที่เมาจนหน้าคว่ำกับโต๊ะไปแล้วก็ยังจะพูดเพ้อชนแก้วกับเย่หยวน

ที่ด้านข้าง เรื่องราวนี้มันทำให้ทุกผู้คนตกตะลึง

“พระเจ้าช่วย เขาสามารถล้มเทพแห่งสุราได้! ชายหนุ่มคนนี้เป็นเทพเทวามาจากที่ใดกัน?”

“เจ้าหมอนี่ไม่ได้ใช้ปราณเทวะแม้แต่น้อยเลย มันทำได้อย่างไร?”

ตอนนี้รอบๆ ต่างมีเสียงร้องแสดงความตื่นตะลึงออกมาอย่างไม่มีขาดสาย

เพราะพวกเขาทั้งหลายนั้นไม่มีใครจะเคยกล้าดื่มจนถึงสิบชามมาก่อน

แต่วันนี้เจ้าหนุ่มแปลกหน้าคนนี้กลับกล้าดื่มลงไปได้ถึงร้อยสามชาม เรื่องนี้มันทำให้ผู้คนแตกตื่นตกตะลึงอย่างไม่อาจต้านทานได้

แต่จริงๆ เมื่อดื่มไปถึงร้อยสามชามแล้วสติของเย่หยวนก็เริ่มสั่นคลอนไปไม่น้อย

สุรานับสิบชามคะมำนี้มันรุนแรงได้สมชื่อจริงๆ

สุรานั้นเป็นสุราดี ตัวสุรานั้นไม่ได้ทำให้เมา คนที่ทำให้ตัวเองเมานั้นคือคนที่นำสุราเข้าปากต่างหาก

เย่หยวนค่อยๆ เดินปราณเทวะและขับไล่ความมึนเมาทิ้งไป

เขาหันมาถามผู้คนรอบๆ “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาพักอยู่ที่ใด?”

เมื่อทุกคนได้ยินพวกเขาก็เข้าใจในทันที ชายหนุ่มคนนี้คิดจะแบกเล้งซู่กลับไปส่งบ้านนั่นเอง

ในหมู่คนมีชายคนหนึ่งบอกขึ้น “นี่ เจ้าหนุ่ม เจ้านั้นดื่มสุราได้เก่งกาจ! แต่เรื่องนี้เจ้าไม่ควรเข้าไปยุ่งเสียจะดีกว่า ตอนนี้ตระกูลเล้งมันไม่ค่อยจะสงบสักเท่าใด”

เย่หยวนมึนงงในทันทีที่ได้ยินก่อนจะยิ้มตอบกลับไป “แค่ส่งเขากลับบ้านมันจะมีปัญหาได้อย่างไร”

คนคนนั้นพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่คิดฟังคำคนเฒ่าคนแก่แล้วเจ้าจะได้เจ็บตัว! หากเจ้าเป็นคนคิดที่หาเรื่องใส่ตัวเอง ผู้อื่นก็ย่อมไม่อาจห้ามปรามได้ ตระกูลเล้งนั้นเป็นตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงจักรพรรดิเรา เจ้าออกไปเลี้ยวขวา หลังเดินผ่านไปได้สามถนนก็ให้เลี้ยวซ้ายอีกครั้ง ผ่านตรอกไปแล้วจะเจอกับที่หมาย”

เย่หยวนพยักหน้ารับและหยิบเงินออกมาจ่าย ก่อนจะหันไปบอกตงน้อย “ไปกันเถอะ”

แต่หลังจากเย่หยวนเดินออกร้านไป ชายคนนั้นกลับแสดงรอยยิ้มอันแสนแปลกประหลาดออกมา

…………………………..