บทที่ 955 ข้าก็แซ่หวัง!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

เมื่อเอ่ยคำนี้ออกไป รอยพลังปราณที่ส่งผ่านมาจากส่วนลึกในอวกาศ และดูเหมือนมิได้เป็นของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นด้วย ก็มาลงมาถึงท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครม มันทะลุผ่านความว่างเปล่า ทะลุผ่านอวกาศ ตรงเข้ามายังสุสานดาวตก พุ่งเข้ามาในทะเลกระดาษสีดำ แล้วมาอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ กลายเป็นวงน้ำวนที่มิได้ใหญ่โตอันใด!

วงน้ำวนนี้…มีขนาดเพียงสามฉื่อเท่านั้น สีของมันเจิดจรัสเป็นที่สุด คล้ายว่าเป็นสีสันที่ส่องสว่างที่สุดในโลก ยามมันเพิ่งปรากฏขึ้นมา ก็ทำให้ทั่วท้องทะเลกระดาษสีดำไปจนถึงสุสานดาวตกพลันสว่างขาวโพลนไปด้วยในพริบตา!

แม้มันไม่ได้มีขนาดใหญ่ แต่กลับประหนึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแสง เมื่อมันปรากฏขึ้นมา ก็สามารถทำให้ทั้งพิภพปราศจากความมืดมน และในเวลาเดียวกัน ณ ก้นบึ้งของวงน้ำวนนี้คล้ายจะเชื่อมโยงกับอีกพิภพนึ่ง หากมองดูให้ละเอียด ก็จะมองเห็นได้รางๆ ว่าโลกที่อยู่ภายในวงแสงน้ำวนนั้นเต็มไปด้วยสีสันสดใสหลายหลาก!

ทั้งยังมีปราณรุนแรงที่ไม่ใช่ของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นแผ่ซ่านออกมาจากภายในวงน้ำวนไม่ยอมหยุด  ทำให้สรรพสิ่ง สรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ภายในสุสานดวงดาราเกิดเสียงเวิงวังขึ้นภายในหัวและกลายเป็นความว่างเปลาในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับใดก็ล้วนเป็นดังนี้ทั้งนั้น แม้จะเป็นกระดาษรูปมนุษย์แสนประหลาดที่อยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อก็ยังไม่อาจต้านทานได้ และต้องสูญเสียสติรับรู้ไปในพริบตานั้นเช่นกัน

ใช่ว่าเขาไม่คิดต้านทาน แต่สองฝ่ายแตกต่างกันเหลือเกิน ต่างกันราวฟ้ากับดิน จนถึงขั้นว่ากระดาษรูปมนุษย์ยังไม่ทันเกิดความคิดจะต้านทานเลย แต่สติของเขาก็กลับหยุดลงในชั่วพริบตานั้นแล้ว

ทางกระดาษรูปมนุษย์ซึ่งมีรอยแดงตรงหว่างคิ้วที่ต้องการมาเข้ามาตรวจดูที่นี่ เวลานี้อยู่บนผิวหน้าทะเลกระดาษสีดำ ซึ่งจากประสาทสัมผัสของหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ คล้ายว่ากระดาษรูปมนุษย์ตนนี้จะอยู่ในระดับเดียวกับศิษย์พี่และปรมาจารย์แห่งไฟทีเดียว แต่เห็นชัดว่ายังด้อยกว่ากระดาษรูปมนุษย์ตนที่สอง ทว่าเวลานี้ร่างของเขากำลังสั่นอย่างรุนแรง ภายใต้พลังปราณที่ไม่อาจต้านทานได้ สติของเขาจึงเหมือนกับถูกกดทับเอาไว้และหยุดชะงัก ทำให้เขายืนนิ่งอยู่บนผิวหน้าของทะเลกระดาษสีดำไปทันใด

พวกเขายังเป็นกันดังนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเหล่ากระดาษรูปมนุษย์ตนอื่นที่อยู่บนผิวหน้าทะเล ในพริบตานั้นสติของพวกเขาราวถูกสั่งให้หยุดลง เป็นดังนี้ไปทั่วทุกหัวระแหงในสุสานดวงดารา มีเพียง…หวังเป่าเล่อคนเดียวที่ยังมีสติรับรู้อยู่!

เพียงแต่…แม้สติรับรู้ของเขายังไม่หยุดชะงักลง แต่สำหรับหวังเป่าเล่อในชั่ววินาที ความว้าวุ่นที่ถาโถมอยู่ในใจเขาก็พุ่งทะยานขึ้นกลบฟ้าแล้ว เพราะเขาพบว่าตนเองไม่อาจเคลื่อนไหวร่างกายได้ และประโยคสุดท้ายที่เอ่ยออกจากปาก เขาก็ไม่ได้ก็เป็นคนพูด!

หากจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ถึงมันจะออกมาจากปากเขา แต่เสียงนั้น…ไม่ใช่เสียงของเขา!

เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อใจตื่นเนื้อเต้น ร้องลั่นอยู่ในใจว่าไม่เข้าทีแล้ว!

“จบเห่ๆ…ตื่นสิ…”

หากเป็นเวลาอื่น หวังเป่าเล่อก็จะต้องร้องคร่ำครวญ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทำให้เขาไม่มีเวลาไปห่วงเรื่องพวกนี้อีกแล้ว นั่นเพราะ…สิ่งเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งยังดำรงอยู่อย่างอมนุษย์ ซึ่งกำลังพาเอาความดุร้ายและบ้าคลั่ง ทั้งเสียงคำรามร้องและความเดือดดาลพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ มันก็คือใบหน้าผีที่ก่อร่างขึ้นจากปราณมืด

เวลานี้ใบหน้าผีพุ่งเข้ามาใกล้หวังเป่าเล่อด้วยความดุร้ายสาหัส ด้วยความบ้าคลั่ง คล้ายจะกลืนกินเขาลงไปในคำเดียว ทว่าในวินาทีที่ในจวนเจียนจะถึง พร้อมๆ กับการปรากฏตัวขึ้นของวงน้ำวนเบื้องหน้าของหวังเป่าเล่อ และสติรับรู้ของทุกสรรพสิ่งทั่วทั้งสุสานดวงดาราพลันหยุดชะงักไป คล้ายมีเสียง ‘หึ’ แสนเย็นชาดังออกมาจากข้างในวงน้ำวนนั้น!

เสียงหึแสนเย็นชานั้นประหนึ่งเป็นโสตแห่งเต๋า เพราะในวินาทีที่มันถึงส่งออกมาก็เกิดเสียงดังสนั่นในสุสานดาวตกในทันใด ส่วนภายในหัวของหวังเป่าเล่อก็มีแต่เสียงดังเวิ้งว้าง และเมื่อใบหน้าผีพุ่งถึงตัวเขาก็ถูกเสียงที่ไร้รูปนี้ซัดเข้าใส่ มันส่งเสียงร้องโหยหวนจนร่างระเบิดออก กลายเป็นไอปราณมืดจำนวนมหาศาลที่คล้ายว่ากำลังจะหายวับไปตรงหน้าของหวังเป่าเล่อ

แต่ในเวลานั้นเอง…ตราผนึกบนหน้ากระจกที่เบื้องล่างก็เปล่งแสงจ้า ทั้งมีเสียงคำรามดังออกมาจากรอยร้าว ปราณมืดจำนวนมากกว่าเดิมกลับปะทุออกมาจากในรอยร้าว จนเมื่อมองไปสามารถเห็นได้ว่าหน้ากระจกกำลังขยับเขยื้อน ภายในตราผนึกบนหน้ากระจกกลับมีภาพใบหน้าขนาดยักษ์นูนตัวขึ้นมาจากข้างล่าง!!

หน้ากระจกเป็นดังแผ่นกั้นชั้นหนึ่ง ใบหน้าที่นูนขึ้นมาเสมือนตัวแทนของความชั่วร้ายมหาศาลที่พยายามจะพุ่งออกมาจากตราผนึกนั้น มันคอยส่งเสียงคำรามอยู่ไม่หยุด เมื่อรอยร้าวยิ่งลุกลามออกไป ปราณมืดก็ยิ่งพวยพุ่งออกมามากเท่านั้น จนทำให้ปราณมืดที่กระจายตัวออกมารอบทิศต่างก็หมุนม้วนกลับมา ประหนึ่งเป็นการโจมตีจากทั้งภายนอกและภายใน หวังอาศัยวิกฤตคราวนี้ทำให้มันแตกออกให้จนได้

แต่เห็นชัดว่าเจ้าสิ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใดนี้ ไม่มีโอกาสเช่นนั้นแล้ว เพราะในวินาทีที่ใบหน้าของมันพุ่งนูนขึ้นพร้อมเสียงคำรามที่สะท้อนไปมา เกลียวคลื่นน้ำวนขนาดสามฉื่อตรงหน้าหวังเป่าเล่อก็ยื่น…นิ้วมือนิ้วหนึ่งที่ก่อร่างขึ้นจากแสงดาวออกมา!

นิ้วมือที่ยื่นออกมาจากวงน้ำวนนี้ คล้ายมาจากนอกจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น โดยอาศัยวงน้ำวนเป็นสื่อกลาง หลังจากมันปรากฏตัวขึ้นก็มุ่งตรงไปยังตราผนึกข้างล่างทันที!

 มันลงมาถึงอย่างอึกทึกครึกโครม เป็นขุมพลังที่ยากจะอธิบาย มหาศาลจนแทบจะแทนที่ลิขิตสวรรค์ได้ ทำให้เสียงคำรามข้างใต้ผลึกเปลี่ยนเป็นเสียงครวญครางโหยหวน ปราณมืดทั้งหมดก็สั่นสะท้านราวกับกำลังจะระเบิดไป สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้คล้ายว่ายืดยาว แต่ความจริงแล้วกลับเกิดขึ้นเพียงชั่วประกายไฟจากหินจุดไฟเท่านั้น พริบตาต่อมา…นิ้วแสงดาวก็ลงมากดบนหว่างคิ้วของใบหน้าที่นูนขึ้นมาจากผนึก ใบหน้านั้นก็เหือดแห้งเหมือนกำลังเหี่ยวเฉาลงในทันใด เสียงคร่ำครวญยิ่งโหยหวนขึ้น เหมือนมันกำลังดิ้นรน แต่เมื่อนิ้วนั้นประทับลงมา ที่มันดิ้นรนไปก็ล้วนเปล่าประโยชน์!

มันพยายามอยู่อีกสามอึดใจ ใบหน้าที่นูนขึ้นมาก็ระเบิดหายไปพร้อมกับเสียงดังสนั่น ในเวลาที่ตราผนึกแบนราบลง รอยแตกบนนั้นก็คล้ายว่ามีเวลาประสานตัว เห็นได้ว่ามันผสานรอยร้าวได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนนิ้วมือที่ยื่นออกมาจากวงน้ำวนนั้นก็ค่อยๆ สลายตัวออก กลายเป็นแสงดาวที่ไหลเข้าไปภายในวงน้ำวน คล้ายว่าทุกๆ สิ่งจะยุติลงแล้ว ทว่า…ในพริบตาที่ทุกสิ่งกำลังจะสงบลง ทันใดนั้น…ตราผนึกที่รอยร้าวผสานตัวได้มากกว่าครึ่งแล้วก็ขยับเขยื้อนอีกครั้ง

มันขยับตัวเหมือนน้ำกระเพื่อม กระเพื่อมตัวอย่างรวดเร็วจากจุดศูนย์กลางทำให้ตราผนึกบนหน้ากระจกโปร่งใสขึ้นมา เผยให้เห็นว่า…ข้างล่างเป็นหนทางลึกมืดดำที่ไม่รู้ว่าเป็นลงไปถึงที่แห่งใดและ…มีร่างร่างหนึ่งที่กำลังก้าวย่างมาจากภายในทางลึกมืดดำนั้น!

เมื่อร่างนี้เพิ่งปรากฏออกมา แสงดาวจากวงน้ำวนที่กำลังจะสลายไปก็หยุดลงทันใด ก่อนจะรวมร่างกันกลายมาเป็นดวงตาที่สงบนิ่งคู่หนึ่ง จดจ้องไปยังร่างที่อยู่ข้างใต้ตราผนึก

“หยุดเสีย!” น้ำเสียงราบเรียบดังออกจากภายในวงน้ำวนและแผ่ไปทุกทิศทางรวมถึงเข้ามาในหูของหวังเป่าเล่อด้วย พลันทำให้ตัวเขาสะดุ้ง

ในขณะเสียงนั้นสะท้อนไปมา ร่างที่อยู่ข้างใต้ตราผนึกก็เดินมาจนถึงขอบตราผนึกและหยุดลง แล้วแหงนหน้าขึ้นมองโลกภายนอกผ่านตราผนึกใส

สายตาเขากวาดไปที่หวังเป่าเล่อเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงมองไปยังวงน้ำวนเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ และดวงตาที่ก่อร่างขึ้นจากแสงดาวในวงแสงน้ำวน ก็คล้ายกำลังสบตากับมัน

ทั้งที่ร่างนี้อยู่ในที่ลึกล้ำดำมืด แต่ยามหวังเป่าเล่อมองไป กลับมองเห็นร่างนั้นปรากฏขึ้นมาอย่างแจ่มชัด เรือนผมสีม่วง ร่างสูงยาว สวมเสื้อตัวยาวที่เป็นสีม่วงเช่นกัน และ…มีโคมไฟที่ส่องแสงไฟสีดำเก้าดวงซึ่งหมุนอยู่รอบกายเขา

รวมทั้งความเย็นชาและความดุร้ายที่ดูเหมือนไม่อาจสะกดเอาไว้ซึ่งแผ่ออกมาจากตัวเขา ความดุร้ายรุนแรงชนิดนี้ หวังเป่าเล่อเคยพบเห็นมาไม่กี่ครั้งในชีวิต แม้แต่ศิษย์พี่เฉินชิงก็ยังห่างไกลกว่านี้มากนัก!

นอกจากนี้…มือขวาของเขาคล้ายว่ากำลังจับชายชราคนหนึ่งเอาไว้อย่างสบายใจ ชายชราผู้นี้กำลังสั่นเทิ้มไปทั้งตัว แต่ดูจากหน้าตาของเขาแล้ว คล้ายว่าเป็นใบหน้าที่นูนขึ้นมาจากข้างใต้ตราผนึกเมื่อครู่นี้!

“น่าสนใจ ข้าไล่สังหารเต๋อหลัวจื่อมาสามเดือน ทำลายร่างอวตารไปแสนร่าง แต่กลับไม่เคยคิดว่าร่างจริงของมันกลับอยู่ที่นี่ ในเส้นทางที่สามารถทะลุผ่านไปยังดินแดนภายนอก และไม่รู้ว่าเส้นทางนี้มีมาตั้งแต่เมื่อใด!”

“ที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือ ในที่แห่งนี้… ข้ากลับได้พบกับสหายเต๋าผู้หนึ่ง ที่ทำให้ข้าสัมผัสได้ว่าเขาเป็นคนชนิดเดียวกันกับข้า!”

คำพูดนี้ไม่ใช่ภาษาใดภาษาหนึ่ง หากแต่เป็นกระแสจิตที่ส่งผ่านออกมา หวังเป่าเล่อจึงรับรู้ได้อย่างชัดแจ้ง และร่างของเขาก็กำลังสั่นสะท้าน เพราะเขามีลางสังหรณ์ที่รุนแรงว่าบางที…ตราผนึกอาจกักกันเต๋อหลัวจื่อที่คนผู้นี้เอ่ยถึงไม่ให้ก้าวออกมาได้ แต่สำหรับคนผู้นี้แล้ว ไม่แน่ว่าในก้าวต่อมาเขาอาจจะก้าวผ่านตราผนึกออกมาก็เป็นได้

ยังดีที่เด็กหนุ่มผมม่วงผู้นี้ไม่ได้ก้าวออกมา เขาเพียงจดจ้องไปยังดวงตาภายในวงน้ำวนคราวหนึ่ง ก่อนจะหันหลัง ดึงตัวชายชราในมือ แล้วค่อยๆ เดินจากไปไกล แต่ก็ยังมีเสียงบางเบาลอยมาจากแผ่นหลังของเขา

“ข้าแซ่สวี่”

“ข้าแซ่หวัง” เสียงที่ตอบกลับเขาก็คือเสียงเรียบเฉยที่ดังออกมาจากวงน้ำวน

หลังจากเสียงก้องสะท้อนของคนทั้งสอง ร่างของคนผมสีม่วงก็ค่อยๆ หายไป หน้ากระจกตราผนึกก็กลับมาเป็นดังเดิม รอยร้าวบนผิวหน้าผสานกันจนสนิทแล้วในเวลานี้ พร้อมๆ กับรอยร้าวผสานสนิท คล้ายว่าทั้งสุสานดวงดาราที่อยู่ในภาวะชะงักงันก่อนหน้านี้ ก็ค่อยๆ เริ่มกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

และในพริบตานั้น วงน้ำวนเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อก็ค่อยหดเล็กลง และหายวับไปจนหมด ไม่มีคำพูดใดๆ ดังลอดออกมาอีก แต่ในชั่วอึดใจที่มันกำลังหายวับไปนั้นเอง ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็กลับมาขยับเขยื้อนได้อีกครั้ง ชายหนุ่มก็เกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นมาว่าก่อนที่สิ่งที่บอกว่าตนเองแซ่หวังนี้จะหายไป คล้ายว่ามันจะมองมาที่ตนคราวหนึ่ง

“ข้าก็แซ่หวัง…” สายตานี้ทำให้หวังเป่าเล่อสั่นสะท้านอยู่ในใจ จึงโพล่งคำไปตามสัญชาตญาณ

………………………….