ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือนั่งหารือกันโดยมีเหล่าอสูรมายารวมตัวอยู่รอบ ๆ
“นายหญิง เจ้าเทพธิดาอะไรนั่น…ท่านจะทำอย่างไรต่อไป ?”
เสี่ยวม่านอดเอ่ยถามออกมาไม่ได้ อารมณ์ความรู้สึกของมันเรียบง่ายและไม่ซับซ้อนเลยสักนิด ทันทีที่สัมผัสได้ถึงความมุ่งร้ายจากฮวาเหยียนอวี่ มันก็ไม่พอใจสตรีผู้นั้นอย่างที่สุด
“เทพธิดานั่นตีสองหน้าชัด ๆ ข้าไม่ชอบหน้านางเลย”
หยกขาวพันปีและไป๋ฉี่กล่าวพร้อมกัน ทั้งสองมีลักษณะนิสัยที่ค่อนข้างเป็นเด็กและแสดงความชอบหรือไม่ชอบอย่างชัดเจน เพียงมองแวบแรก ทั้งสองก็ไม่ชอบหน้าแม่นางฮวาเหยียนอวี่ผู้นั้น แม้กลิ่นอายจากร่างของนางจะเต็มไปด้วยความสูงส่งและความศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง แต่พวกมันก็ไม่ชอบหน้านางเลยสักนิด
“ซิว เจ้าคิดอย่างไร ?”
ฉินอวี้โม่หันไปมองซิวที่ยังคงนิ่งเงียบและต้องการทราบความเห็นของมัน
“หึ นางเพียงใช้วิธีการพิเศษบางอย่างเพื่อปกปิดพลังความมืดที่นางฝึกฝนบ่มเพาะมา จากนั้นก็แปลงมันให้กลายเป็นกลิ่นอายที่ดูศักดิ์สิทธิ์สูงส่ง ด้วยความสามารถของเจ้าชายแก่ตายยากนั่น การกระทำเช่นนี้มิใช่เรื่องยากเลย”
ซิวหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามและยืนยันตัวตนของฮวาเหยียนอวี่ได้ในทันที
“โม่เอ๋อร์ เจ้ายังจำวิชาควบคุมจิตใจได้รึไม่ ?”
หานโม่ฉือจับมือฉินอวี้โม่และเอ่ยถามพร้อมขมวดคิ้วมุ่น
“เจ้าหมายถึง…ศาสตร์วิชาที่แปลกพิลึกที่สุดของเผ่าอู่ซินซึ่งเป็นเผ่าในตำนานที่หายสาบสูญไปนั่นรึ ?”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมีความเข้าใจที่ตรงกันราวกับเชื่อมโยงกันทางจิตใจ แน่นอนว่านางเข้าใจความหมายของเขาในทันที
เมื่อพันปีก่อนมีชนเผ่าลึกลับแห่งหนึ่งซึ่งสมาชิกของเผ่านั้นไม่ได้ถือว่าแข็งแกร่งนัก ทว่าพวกเขาก็ฝึกวิชาประหลาดที่เรียกว่า ‘วิชาควบคุมจิตใจ’
พวกเขาสามารถเปลี่ยนความคิดหรือแม้กระทั่งควบคุมความรู้สึกนึกคิดของใครสักคนได้ตามต้องการโดยที่ไม่ต้องใช้พลังวิญญาณใด ๆ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นศาสตร์ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม ทักษะวิชาดังกล่าวก็ฝึกฝนได้ยากอย่างยิ่งและในชนเผ่านั้นก็มีสมาชิกเพียงไม่มากเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพันปีก่อน พวกเขาก็ได้สูญพันธุ์ไปในสงครามระหว่างฝ่ายมารและดินแดนเทพมายา
“หากว่าในความจริงพวกเขาไม่ได้สูญพันธุ์ไปตั้งแต่ตอนนั้นล่ะ ? และในทางกลับกัน พวกเขาก็เลือกที่จะยอมจำนนต่อฝ่ายมารไปตั้งแต่ตอนนั้น…”
ทั้งสองมองหน้ากันอย่างเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่เกิดขึ้น เกรงว่าเมื่อพันปีก่อนชนเผ่าอู่ซินอาจจะร่วมมือกับฝ่ายมารไปแล้ว และครานั้นพวกเขาก็ไม่ได้สูญพันธุ์ไปจริง ๆ เพียงแต่ดำรงอยู่ในรูปแบบที่แตกต่างออกไปเท่านั้น
“หากข้าเดาไม่ผิด เกรงว่าพวกเขาใช้โอสถบางอย่างและวิธีการพิเศษเพื่อทำให้คนในเมืองลั่วอวี่เชื่อมั่นในตัวฮวาเหยียนอวี่อย่างไร้ข้อแม้ ต่อให้เราพบเรื่องชั่วร้ายของนางและเปิดโปงมันในตอนนี้ เกรงว่าคงมีคนเพียงไม่มากที่จะเชื่อเรา”
หากกล่าวว่าเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชนเผ่าอู่ซิน ทุกอย่างก็สมเหตุสมผลขึ้นมา ตอนนี้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพอจะคาดเดาแผนการของฝ่ายมารได้บ้างแล้ว
รอบบริเวณทะเลไร้จุดจบมีเมืองเพียงไม่มากนัก หากเมืองเหล่านี้ทั้งหมดตกอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายมาร มันจะไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ชนเผ่าอู่ซินก็เป็นขุมกำลังที่ประหลาดยิ่งนัก ตราบใดที่พวกเขายังคงดำรงอยู่ พวกเขาก็จะเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ซึ่งไม่อาจมองข้ามได้เลย พวกนางจะต้องหาทางทำลายแผนการสมคบคิดของฝ่ายมารให้ได้และคิดไตร่ตรองวิธีในการประจันหน้ากับฝ่ายมาร
“ดูจากลักษณะท่าทางของฮวาเหยียนอวี่ ผู้คนทั้งหมดในเมืองลั่วอวี่น่าจะยังไม่ตกอยู่ในเงื้อมมือของนาง นั่นหมายความว่าเรายังพอมีโอกาส”
หานโม่ฉือเขย่ามือบางของฉินอวี้โม่เบา ๆ การสะสางปัญหาของดินแดนเทพมายามิใช่เรื่องง่ายเลย หากฝ่ายมารเป็นขุมกำลังที่สามารถกำจัดให้สิ้นซากได้ง่าย ๆ พวกเขาก็คงจะไม่ดำรงอยู่มาได้นานนับพันปี…
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือใช้เวลาอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวพักใหญ่ก่อนเตรียมความพร้อมบางอย่างและปรากฏตัวข้างนอกอีกครา
ณ จวนเจ้าเมืองลั่วอวี่ซึ่งเป็นที่พักชั่วคราวของฮวาเหยียนอวี่
“ท่านเทพธิดา ข้ายังไม่สามารถตามหาตำแหน่งของทั้งสองคนได้เลย”
ฉื่อซ่างเฟย—เจ้าเมืองลั่วอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อม ร่างของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยพลังความมืดและเห็นได้ชัดว่าเขาจำนนต่อฝ่ายมารอย่างสมบูรณ์แล้ว
“ฉินอวี้โม่มีมิติที่สองอยู่ ตราบใดที่นางตั้งใจจะหลบซ่อนตัว เจ้าก็ไม่มีทางตามหานางได้”
ในตอนนี้ ฮวาเหยียนอวี่ไม่สวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้าอีกต่อไปและเผยให้เห็นความงามชวนมอง นางแตกต่างจากฉินอวี้โม่ตรงที่ความงามของนางดูห่างไกลเกินเอื้อมทว่ากลับมีเสน่ห์อย่างที่ไม่อาจพรรณนาได้ ไม่ว่าบุรุษใดที่พบเห็นก็ต้องตื่นตาตั้งแต่แวบแรกและมิอาจละสายตาได้เลย
ร่างของนางยังคงเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์สูงส่งราวกับเป็นนางฟ้านางสวรรค์ รอยยิ้มบางที่ประดับมุมปากของนางก็ดูน่ามองจนทำให้ทุกคนอยากเข้าใกล้ด้วยความหลงใหล ยิ่งไปกว่านั้น แววตาที่ใสชัดของนางก็ดูใสซื่อและอ่อนโยนราวกับเป็นดรุณีน้อยที่อยู่ในโลกที่บริสุทธิ์ผุดผ่องมาโดยตลอด
“ไปเตรียมอาหารค่ำเถอะ ข้าต้องการต้อนรับแขกคนสำคัญเป็นอย่างดี !”
ฮวาเหยียนอวี่ยกยิ้มมุมปากและร่องรอยความพึงพอใจบางอย่างปรากฏในแววตาแวบหนึ่งราวกับทุกอย่างดำเนินไปตามแผนที่คิดไว้
ในขณะที่ล่องหนอยู่ วาจาของฮวาเหยียนอวี่ก็ดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน
“นางรู้ว่าเราอยู่ที่นี่ !”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ แม่นางฮวาเหยียนอวี่ผู้นี้เตรียมการล่วงหน้าไว้มากมายและกล่าวได้ว่านางรู้จักตนดีพอสมควร
ทั้งสองไม่รอช้าและพุ่งตรงไปปรากฏตัวตรงหน้าฮวาเหยียนอวี่อย่างรวดเร็ว
“คิก ๆ ๆ ข้ารอท่านทั้งสองมานานทีเดียว”
ฮวาเหยียนอวี่หัวเราะคิกคักทว่าสายตาของนางจับจ้องไปที่หานโม่ฉืออย่างไม่ละสายตา
ในเวลานี้ทั้งหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ไม่สวมหน้ากากหรือผ้าคลุมใดปิดบังใบหน้าอีกต่อไปและเปิดเผยให้เห็นถึงใบหน้าที่แท้จริงของตนเอง ฮวาเหยียนอวี่ได้สืบข้อมูลเกี่ยวกับคนทั้งสองมาก่อนแล้วและไม่ประหลาดใจกับความงามชวนหลงใหลของฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม หานโม่ฉือตรงหน้าทำให้เทพธิดาอย่างนางตกตะลึงไปไม่น้อยเลยทีเดียว
นางเคยคิดว่าตนได้พบบุรุษรูปงามและโดดเด่นมากมายจากฝ่ายมาร ทว่าหากเทียบกับบุรุษตรงหน้าในเวลานี้ คนเหล่านั้นก็เทียบไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ
ฮวาเหยียนอวี่ไม่เคยเชื่อมาก่อนว่าจะมีบุรุษที่สมบูรณ์แบบอยู่บนดินแดนนี้จริง ๆ ทว่าตอนนี้เมื่อได้เห็นหานโม่ฉือตัวเป็น ๆ นางกลับคิดว่าคำว่า ‘สมบูรณ์แบบ’ ก็ไม่เพียงพอที่จะบรรยายถึงบุรุษผู้นี้ด้วยซ้ำ
เขาทั้งรูปงามดุจเทพปั้นและชวนหลงใหลยิ่งกว่าบุรุษใดในตำนาน อีกทั้งยังมีพลังอันน่าเกรงขามที่น่าตกตะลึง
อย่างไรก็ตาม หานโม่ฉือเมินเฉยต่อสายตาของฮวาเหยียนอวี่อย่างสิ้นเชิงขณะจับมือบางของคนรักไว้แน่นพร้อมกับมีสีหน้าที่เรียบเฉยเช่นเดิม
“จอมยุทธ์หานโม่ฉือช่างน่าทึ่งยิ่งกว่าคำร่ำลือเสียอีก !”
แม้เห็นแล้วว่าหานโม่ฉือเพิกเฉยต่อตน ฮวาเหยียนอวี่ก็ไม่โกรธเคืองใด ๆ ทว่ากล่าวชื่นชมเขาพร้อมรอยยิ้มจริงใจ จู่ ๆ นางก็เกิดความคิดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน…มีเพียงบุรุษเช่นนี้เท่านั้นที่จะคู่ควรกับข้าจริง ๆ
นางไม่เคยพบบุรุษใดที่คู่ควรกับตนมาก่อนและฮวาเหยียนอวี่เคยคิดอยู่เสมอว่าตนจะต้องใช้ชีวิตอย่างลำพังไปจนตาย ทว่าในที่สุดนางก็เจอกับบุรุษที่ทำให้เปลี่ยนแปลงความคิดเหล่านั้นได้ แน่นอนว่านางไม่มีทางปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไป
“ขอบคุณสำหรับคำชม แน่นอนว่าสามีของข้ายอดเยี่ยมกว่าผู้ใดในใต้หล้า”
ฉินอวี้โม่กัดมุมปากเบา ๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงความปรารถนาที่อีกฝ่ายมีต่อหานโม่ฉือ สามีของนางมักจะมีสตรีมากหน้าหลายตามาหมายปองไม่หยุดหย่อน การที่ฮวาเหยียนอวี่จะคิดหลงใหลและต้องการครอบครองเขาก็มิใช่สิ่งที่แปลกใหม่แต่อย่างใด
ฮวาเหยียนอวี่มองดูความใกล้ชิดของทั้งสองและแววตาฉายแววความริษยาออกมา ทว่ามันก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว
“ในเมื่อท่านทั้งสองมาถึงที่นี่แล้ว พักในจวนเจ้าเมืองสักสองสามวันเถอะ ข้าจะได้ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีและให้การต้อนรับอย่างเต็มที่”
นางกล่าวขึ้นเบา ๆ อย่างไม่แสดงถึงความเป็นปรปักษ์
“ข้าสงสัยยิ่งนักว่าฝ่ายมารเสนอผลประโยชน์อะไรให้กับชนเผ่าอู่ซินของท่าน ท่านจึงเลือกยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเขาตั้งแต่เมื่อพันปีก่อน ?!”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ ก่อนเปิดเผยตัวตนของฮวาเหยียนอวี่ออกมาโดยตรง
ฮวาเหยียนอวี่นิ่งเฉยและไม่ตอบสิ่งใด ทว่าเพียงเท่านี้ก็ถือเป็นคำตอบได้ว่านางยอมรับตัวตนในฐานะคนของชนเผ่าอู่ซินจริง ๆ
ไม่นานนัก ฉื่อซ่างเฟยก็กลับมาในห้องโถงและตามด้วยเด็กรับใช้หลายคนที่เตรียมอาหารเข้ามา
“พวกเจ้าออกไปก่อน”
ฮวาเหยียนอวี่ส่งสัญญาณบอกคนเหล่านั้นให้ออกไปก่อนและนั่งลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะ
“ต่อให้เป็นศัตรูกัน ข้าก็อยากจะดื่มกับท่านทั้งสองสักหน่อย”
นางเอ่ยปากพร้อมหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ น้ำเสียงของนางฟังดูยั่วยุราวกับต้องการทำให้ฉินอวี้โม่หงุดหงิดใจ
“อย่าพยายามยั่วยุข้าเลย ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ข้าจะไม่กลับไปมือเปล่าแน่”
ฉินอวี้โม่จับมือหานโม่ฉือและนั่งลงก่อนเริ่มรับประทานอาหารอย่างสบาย ๆ
ในเมื่อระบุตัวศัตรูได้แล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใด แม้ฮวาเหยียนอวี่จะไม่ธรรมดาและยากเกินหยั่งถึง ทว่าพวกนางก็ไม่หวาดหวั่นใด ๆ ในทางกลับกัน ฉินอวี้โม่สงสัยใคร่รู้นักว่าผู้ที่กล่าวว่าเป็นเทพธิดาต้องการทำอย่างไรต่อไป…
“ฉินอวี้โม่ ไม่กลัวรึว่าท่านผู้นำของเราจะมาที่นี่ ?”
ฮวาเหยียนอวี่รินไวน์ลงแก้วให้กับแขกทั้งสองและแสร้งเอ่ยถามด้วยท่าทางสงสัย
“หึ แกล้งถามทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วงั้นรึ ? ต่อให้สมาชิกทั้งหมดของฝ่ายมารมาที่นี่ พวกเราก็สามารถล่าถอยกลับไปได้”
ฉินอวี้โม่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
“นั่นสินะ”
ฮวาเหยียนอวี่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล่าววาจาได้อย่างมั่นใจเช่นนี้ ทว่ามันก็เป็นไปไม่ได้จริง ๆ ที่พวกตนจะกักขังหรือควบคุมฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไว้ที่นี่
“ฉินอวี้โม่ ท่านอยากรู้หรือไม่ว่าพวกเราคิดจะทำอะไรต่อไป ?”
นางหยิบแก้วไวน์ของตนและยืนขึ้นอย่างช้า ๆ ทว่าสายตายังคงจับจ้องไปที่หานโม่ฉือเช่นเดิม
“แน่นอน แต่ข้าอยากรู้มากกว่าว่าชนเผ่าอู่ซินของพวกท่านใช้วิชาประหลาดนั่นอย่างไร ?”
ฉินอวี้โม่หยิบแก้วไวน์ของตนและดื่มโดยไม่ลังเลว่าอีกฝ่ายจะใส่ยาพิษหรือสิ่งแปลกปลอมลงไปหรือไม่ แท้ที่จริงนางก็แอบหวังว่าฮวาเหยียนอวี่จะใส่บางอย่างลงไป ทว่าน่าเสียดายที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่ต้องห่วง พวกท่านจะได้รู้แน่ !”
ฮวาเหยียนอวี่เลิกคิ้วอย่างท้าทายเล็กน้อยก่อนกระดกแก้วไวน์ของตนภายในรวดเดียว
หากไม่ทราบความเป็นมาที่แท้จริง ผู้คนที่พบเห็นก็อาจคิดได้ว่าฉินอวี้โม่และฮวาเหยียนอวี่เป็นสหายที่นั่งดื่มไวน์เพื่อความสบายใจด้วยกัน
“สั่งคนเตรียมที่พักให้พวกเราเถอะก่อน”
หลังจากดื่มไวน์และรับประทานอาหารเสร็จสิ้น ฉินอวี้โม่ก็กล่าวอย่างสบาย ๆ
ฮวาเหยียนอวี่สั่งให้ฉื่อซ่างเฟยเตรียมที่พักให้แขกทั้งสองในขณะที่ตนกลับไปยังลานที่พักเช่นกัน
จวนเจ้าเมืองลั่วอวี่มีขนาดใหญ่และกว้างขวางพอสมควร และลานที่พักที่ฉื่อซ่างเฟยเตรียมให้คนทั้งสองก็อยู่ไม่ไกลจากที่พักส่วนตัวของฮวาเหยียนอวี่มากนัก
หลังจากที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพูดคุยกันพักหนึ่ง ทั้งสองก็นอนหลับพักผ่อนอย่างไร้กังวล
เวลาสามวันผ่านไปอย่างสงบสุขและไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติใดเกิดขึ้น
ภายในพื้นที่บริเวณรอบ ๆ ทะเลไร้จุดจบ ในเวลานี้โรคประหลาดที่เกิดขึ้นได้รับการรักษาแล้วและไม่มีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นอีก ชื่อเสียงอันเลื่องลือของเทพธิดาก็ยังคงแผ่ออกไป กล่าวได้เลยว่าหากนางต้องการสร้างขุมกำลังของตนเองจริง ๆ จอมยุทธ์ในเมืองนี้กว่าสองในสามส่วนก็พร้อมที่จะเลือกติดตามนาง
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพักผ่อนอยู่ในจวนเจ้าเมืองในขณะที่ฮวาเหยียนอวี่กระจายข่าวออกไปว่าทั้งสองคือสหายเก่าแก่ของตนและต้องการให้ทุกคนในเมืองลั่วอวี่ปฏิบัติต่อพวกนางด้วยความเคารพ
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือปล่อยให้ฮวาเหยียนอวี่จัดการทุกสิ่งทุกอย่างตามต้องการในขณะที่ตนเก็บตัวอยู่ในที่พักและไม่ออกไปที่ใด บางครั้งบางครา ทั้งสองก็เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อหลอมอุปกรณ์และใช้เวลาด้วยกันอย่างมีความสุข
อย่างไรก็ตาม ในวันที่สี่ ฮวาเหยียนอวี่ก็เดินมาที่ลานส่วนที่พักของฉินอวี้โม่ด้วยตัวเอง
“ท่านทั้งสองอยู่ที่นี่หลายวันแล้วและยังไม่เคยออกไปเที่ยวชมรอบ ๆ เมืองเลยใช่รึไม่ ? หากวันนี้พวกท่านไม่มีสิ่งใดต้องทำ ข้าจะพาพวกท่านไปเที่ยวชมรอบเมืองเอง พวกท่านจะรังเกียจรึไม่ ?”
นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่ดูไม่มีเจตนาชั่วร้าย
“เข้าใจแล้ว”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็สบตากันเล็กน้อยและทราบดีว่าฮวาเหยียนอวี่จะต้องมีแผนการบางอย่างแน่ เพียงแต่ทั้งสองก็ยังไม่ทราบว่านางต้องการทำสิ่งใด ?
ตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา ฉินอวี้โม่ก็ค้นพบความแข็งแกร่งของฮวาเหยียนอวี่ซึ่งถือว่าทรงพลังมากและอย่างน้อยก็อยู่ในขอบเขตนภาเซียนขั้นกลาง ทว่าเมื่อรวมกับวิชาควบคุมจิตใจที่ประหลาดเกินคาดเดา นางก็ถือว่าเป็นศัตรูที่รับมือได้ยากจริง ๆ
ฮวาเหยียนอวี่มีความคิดที่ลึกล้ำเกินหยั่งถึงและนางต้องมีไพ่ตายซ่อนไว้อย่างแน่นอน กล่าวได้เลยว่านางอาจเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ฉินอวี้โม่เคยพานพบมาจนกระทั่งตอนนี้
ทว่าทันทีที่ทั้งสามออกจากจวนเจ้าเมือง พวกนางก็ถูกล้อมรอบโดยคนกลุ่มใหญ่
พวกเขาเหล่านั้นต่างก็มองตรงมาที่ฉินอวี้โม่ด้วยดวงตาเขม็งและความเกลียดชังฉายชัดในแววตา
.