บทที่ 1802 การสนับสนุนของตระกูลฟาง

Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน

บทที่ 1802 การสนับสนุนของตระกูลฟาง

 

ฐานทัพใหญ่ตระกูลหว่าน

 

“ท่านพ่อ! ท่านตายอย่างน่าสมเพช!” เสียงร้องไห้ดังขึ้นในห้องโถงใหญ่ท่ามกลางกลุ่มผู้อมตะ 

 

ชายหนุ่มในชุดไว้ทุกข์กําลังร้องไห้

 

คนผู้นี้คือหว่านซุ้ยชิง เขาเป็นผู้อมตะระดับหกและเป็นบุตรของหว่านเหลียงฮัน

 

หว่านซุ้ยชิงคุกเข่าอยู่บนพื้นและกรีดร้อง ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดเขา

 

ผู้อมตะตระกูลหว่านที่อยู่ในห้องโถงขมวดคิ้ว พวกเขาเงียบและแสดงออกด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

 

ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของตระกูลหว่านถอนหายใจ “มันกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? เราส่งผู้อมตะระดับเจ็ดสามคนออกไป แต่พวกเขากลับพ่ายแพ้!”

 

ผู้อมตะตระกูลหว่างต่างรู้สึกเช่นเดียวกัน

 

หากไม่ใช่เพราะฟางหยวนเปิดเผยการต่อสู้ในสวรรค์สีเหลือง ผู้อมตะตระกูลหว่านอาจยอมรับผลลัพธ์หลังจากลังเลอยู่บ้าง

 

ในความเป็นจริงหว่านเหลียงฮันออกเดินทางหลังจากได้รับการอนุมัติจากผู้อมตะตระกูลหว่านส่วนใหญ่

 

สามผู้อมตะระดับเจ็ดและเขตแดนอมตะ สถานการณ์ควรจะอยู่ในการควบคุมของพวก เขา แต่ผู้ใดจะคิดว่าพวกเขากําลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง

 

ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่งเปิดปากกล่าวในที่สุด “ซวนปู้จินสังหารผู้อมตะของตระกูลหว่าน เราไม่สามารถให้อภัยเขา หว่านซุ้ยชิง พ่อของเจ้าทิ้งมรดกไว้หรือไม่?”

 

หว่านซุ้ยชิงหยุดร้องไห้ก่อนตอบคําถาม “ท่านพ่อสอนข้าทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นท่าไม้ตายหรือเคล็ดลับการหลอมรวม แต่ไม่มีวิญญาณอมตะ”

 

การแสดงออกของกลุ่มผู้อาวุโสกลายเป็นมืดครื้ม

 

ซวนปู้จินและหว่านเหลียงฮันเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดเช่นเดียวกัน แต่ซวนปู้จินกลับสามารถสังหารหว่านเหลียงฮันโดยที่ฝ่ายหลังไม่แม้แต่จะสามารถตอบโต้

 

โดยปกติการต่อสู้แห่งชีวิตและความตายของผู้อมตะระดับเดียวกันมักจะติดอยู่ในสภาวะชะงักงัน หากฝ่ายตรงข้ามไม่ติดอยู่ในเขตแดนอมตะและต้องการจากไป อีกฝ่ายจะไม่สามารถทําสิ่ง

 

คุณค่าของเขตแดนอมตะหรือค่ายกลวิญญาณอมตะคือการกักขังศัตรู

 

ตระกูลหว่านใช้เขตแดนอมตะเพื่อทําให้แน่ใจว่าซวนปู้จินจะไม่สามารถหลบหนี แต่พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าซวนปู้จินจะไม่พยายามหลบหนี ตรงข้าม เขาใช้ประโยชน์จากมันเพื่อสังหารหว่านเหลียงฮันและต่อสู้กับผู้อมตะตระกูลหว่านอีกสองคน

 

นี่เป็นผลลัพธ์ที่น่าขันสําหรับตระกูลหว่าน

 

ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่งของตระกูลหว่านรู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้

 

หากเขารู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เขาจะนําคฤหาสน์วิญญาณอมตะออกไป

 

แต่พวกเขามีปัญหาของตนเอง

 

ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่งของตระกูลหว่านเป็นเพียงผู้อมตะระดับเจ็ด เขาไม่เหมือนผู้นําของกองกําลังอื่นที่เป็นผู้อมตะระดับแปด ดังนั้นเขาจึงต้องใช้มันปกป้องฐานทัพใหญ่ของตระกูล

 

ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่งของตระกูลหว่านถอนหายใจและกล่าวกับหว่านซุ้ยชิง “ความตายของหว่านเหลียงฮันเป็นความผิดพลาดของเรา หว่านเหลียงฮันจะได้รับเกียรติสูงสุดจากตระกูล เราจะมอบทรัพยากรอมตะให้เจ้าเป็นการชดเชย ข้าเพียงหวังว่าคนเหล่านั้นจะถูกทําลาย!”

 

“ขอบคุณผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่ง! ขอบคุณผู้อาวุโสทุกท่าน!” หว่านซุ้ยชิงโค้งคํานับกลุ่มผู้อาวุโสสูงสุดที่อยู่ในห้องโถงซ้ําๆ

 

นี่คือสิ่งที่เขาคาดหวังจากการร้องไห้และแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ่งก่อนหน้านี้ ตอนนี้แผนการของเขาสําเร็จแล้ว

 

ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่งกล่าวต่อ “ซวนปู้จินเป็นสมาชิกตระกูลฟาง เราจะกดดันตระกูลฟางให้ส่งมอบตัวเขา จากการต่อสู้ครั้งนี้ เราสามารถกล่าวได้ว่าชวนจินคือทายาทของหลี่เฉิน เขาคือปีศาจที่ชั่วร้าย! หนี้เลือดของเราต้องได้รับการชําระ!”

 

ดวงตาของกลุ่มผู้อมตะตระกูลหว่านส่องประกายขึ้น

 

พวกเขาทําได้เพียงเท่านี้

 

ย้อนกลับไปหลี่เฉินเคยมอบความเจ็บปวดให้กับกองกําลังฝ่ายธรรมะของทะเลทรายตะวันตก ดังนั้นพวกเขาจึงใช้การเชื่อมโยงระหว่างหลี่เฉินกับฟางหยวนเป็นข้ออ้างในการต่อต้านตระกูลฟาง

 

ก่อนหน้านี้พวกเขาต้องการจับตัวชวนปู่จินมาสอบสวนและโยนความผิดให้เขา แต่แผนการของตระกูลหว่านล้มเหลว อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่งของตระกูลหว่านยังคงยืนกรานที่จะทําให้เรื่องนี้เป็นความจริง

 

ขาดหลักฐาน?

 

หากขาหลักฐาน ข้าก็จะสร้างมันขึ้นมาด้วยตนเอง!

 

แม้มันจะไร้ยางอาย แต่กองกําลังใหญ่ทั้งหมดของฝ่ายธรรมะต้องการจัดการตระกูลฟาง ดังนั้นพวกเขาสามารถใช้แผนนี้ได้อย่างไร้กังวล

 

มันเป็นเพียงว่าโอกาสประสบความสําเร็จของแผนนี้ไม่สูงเท่ากับแผนการก่อนหน้า

 

ผู้อมตะตระกูลหว่านเสียชีวิตในการต่อสู้และกระทั่งถูกเปิดเผยออกไป แล้วพวกเขาจะนิ่งเฉยได้อย่างไร?

 

ตระกูลหว่านไม่มีทางเลือกนอกจากต้องแก้ตัวต่อไป!

 

ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของตระกูลหว่านถอนหายใจ “สถานการณ์ยังไม่เลวร้ายขนาดนั้น ตระกูลฟางอาจตัดสินใจยุติความสัมพันธ์กับซวนปู้จินไปแล้ว”

 

“ฮืม แม้พวกเขาจะยอมแพ้ ตระกูลฟางก็ไม่สามารถหลบหนีจากอาชญากรรมที่พวกเขาปกป้องปีศาจ!”

 

อย่างไรก็ตามในวันรุ่งขึ้นข่าวร้ายก็มาถึงตระกูลหว่าน

 

ตระกูลฟางประกาศจุดยืน พวกเขาจะปกป้องชวนรู้จินและพิสูจน์ว่าต้นกําเนิดของซวนปู้จินเกี่ยวข้องกับเจิ้งจิงเฉิน ไม่ใช่หลี่เฉิน

 

ตระกูลหว่านคัดค้านและขอหลักฐานทันที

 

ฟางตี้เฉิงโยนหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้ออกไป

 

แน่นอนว่ามันเป็นหลักฐานปลอม อีกฝ่ายทําได้ เหตุใดพวกเขาจะทําไม่ได้

 

สองกองกําลังใหญ่ของทะเลทรายตะวันตกโต้เถียงกันอย่างหนักว่าชวนจินเป็นทายาทของเจิ้งจิงเฉินหรือหลี่เฉิน

 

ฝ่ายหนึ่งบอกว่าตนเองมีหลักฐาน อีกฝ่ายก็บอกว่าพวกเขามีหลักฐานที่เชื่อถือได้มากกว่า

 

ฝ่ายหนึ่งโยนหลักฐานชิ้นหนึ่งออกมา อีกฝ่ายก็โยนหลักฐานออกมาสองชิ้น

 

แต่บุคคลที่เป็นจุดศูนย์กลางของการต่อสู้ทางการเมืองครั้งนี้กําลังปราบปรามอสูรวิญญาณอยู่ในทะเลทรายผีเขียวอย่างสบายอารมณ์

 

เขาให้ความสนใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและรู้สึกว่ามันน่าขัน

 

ฟางหยวนไม่กังวลแม้แต่น้อย เขาไม่ได้นําหลักฐานใดๆออกมาเพื่อพิสูจน์ตนเอง มีเพียงตระกูลฟางและตระกูลหว่างที่ร้อนรนนําหลักฐานมากมายออกมาพิสูจน์ตัวตนของเขา

 

มหาอํานาจทั้งสองแข่งขันกันเพื่อเป็นพยานและต่อต้านปีศาจ พวกเขาแสดงความมั่นใจในความคิดของตนออกมาอย่างสุดโต่ง

 

หากพวกเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของชวนจิน ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาจะแสดงออกอย่างไร

 

ตระกูลฟางอาจรู้สึกเหมือนตกลงไปในธารน้ําแข็ง แต่ตระกูลหว่านก็จะตกอยู่ในความหวาดกลัวเช่นกัน

 

นี่คือปีศาจฟางหยวน!

 

กระทั่งวังสวรรค์และกองกําลังฝ่ายธรรมะของภาคใต้ก็ไม่สามารถทําสิ่งใดกับเขา!

 

ในช่วงเวลานี้นอกจากปราบปรามอสูรวิญญาณ ฟางหยวนยังดูดซับมรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งปัญญาของหว่านเหลียงฮัน

 

หว่านเหลียงฮันถูกสังหารอย่างกะทันหัน เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะทําลายวิญญาณอมตะของตนเอง

 

ฟางหยวนได้รับวิญญาณอมตะสามดวงจากเขา สองดวงเป็นวิญญาณอมตะระดับหก อีกหนึ่งเป็นวิญญาณอมตะระดับเจ็ด

 

วิญญาณอมตะระดับเจ็ดมีชื่อว่าสิ่งกีดขวางทางปัญญา ฟางหยวนเคยเห็นพลังอํานาจของวิญญาณอมตะดวงนี้มาแล้ว มันสามารถสร้างสิ่งกีดขวางบนเส้นทางแห่งปัญญาขึ้นรอบตัวเป้าหมาย

 

นอกจากนี้ยังมีท่าไม้ตายอมตะมากมายที่ใช้วิญญาณอมตะสิ่งกีดขวางทางปัญญาเป็นแกนกลาง

 

หนึ่งในท่าไม้ตายอมตะของหว่านเหลียงฮันทําให้ฟางหยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

 

มันเป็นท่าไม้ตายอมตะที่จะสร้างสิ่งกีดขวางขึ้นในใจของศัตรูโดยตรง ความคิดในใจของศัตรูจะพบอุปสรรคและไม่สามารถพุ่งชนกัน

 

ตามตรรกะ หากท่าไม้ตายนี้ประสบความสําเร็จ ศัตรูจะกลายเป็นคนโง่ทันที พวกเขาจะรู้สึกเหมือนมีก้อนหินอยู่ในใจและไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ

 

ท่าไม้ตายนี้โดดเด่นมาก แต่มันต้องทะลวงผ่านการป้องกันของฝ่ายตรงข้ามเพื่อโจมตีสมองของพวกเขา

 

น่าเสียดายที่ฟางหยวนเป็นผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งปัญญา เขามีวิธีการมากมายที่สามารถปกป้องจิตใจของตน ท่าไม้ตายอมตะของหว่านเหลียงฮันแทบไม่มีความหวังที่จะทะลวงผ่านการป้องกันของเขา

 

ยิ่งไปกว่านั้นหว่านเหลียงฮันยังเป็นฝ่ายถูกรบกวนจิตใจโดยฟางหยวน เขามีท่าไม้ตายที่ดีแต่ไม่สามารถใช้ได้

 

เมื่อคิดถึงการต่อสู้ที่ผ่านมา ฟางหยวนรู้สึกพอใจมาก

 

เขาทดสอบท่าไม้ตายอมตะสองท่าในการต่อสู้จริงและได้รับผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม

 

หนึ่งคือท่าไม้ตายอมตะรบกวนความคิด มันเป็นท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาที่มีหนึ่งในแกนกลางเป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ ด้วยเหตุนี้ฟางหยวนจึงสามารถปกปิดกลิ่นอายของมันโดยพึ่งพาอสูรวิญญาณแรกกําเนิดทั้งสี่

 

อีกหนึ่งคือท่าไม้ตายอมตะมือปีศาจขโมยชีวิต มันเป็นท่าไม้ตายอมตะที่ฟางหยวนอ้างอิงมาจากท่าไม้ตายอมตะมือปีศาจปล้นวิญญาณและมรดกที่แท้จริงขโมยชีวิต

 

มือปีศาจปล้นวิญญาณสามารถขโมยวิญญาณขณะที่มือปีศาจขโมยชีวิตสามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามทันที

 

นี่เป็นท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ด มันไม่สามารถสังหารผู้อมตะระดับแปด แต่มันเพียงพอที่จะสังหารหว่านเหลียงฮัน

 

ในการต่อสู้เพื่อวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์ ฟางหยวนใช้มือปีศาจปล้นวิญญาณขโมยวิญญาณอมตะจากชิงโจวต่อหน้าฟางกงและฟางตี้เฉิง

 

วิธีการที่ซวนปู้จินแสดงออกมาไม่ได้ทําให้ตระกูลฟางประหลาดใจแต่พวกเขายิ่งเห็นคุณค่าของเขา

 

ในเวลาเดียวกันฟางหยวนยังเปิดเผยจุดอ่อนออกมาอย่างชาญฉลาด นั่นทําให้ตระกูลฟางตัดสินใจปกป้องเขา

 

ภายนอกอาจดูเหมือนการต่อสู้ครั้งนี้เป็นเพียงการต่อสู้ระหว่างซวนปู้จินกับสามผู้อมตะ ตระกูลหว่าน แต่ในความเป็นจริงฟางหยวนกําลังวางแผนควบคุมสถานการณ์ของโลกผู้อมตะแห่งทะเลทรายตะวันตกทั้งหมด

 

เป้าหมายที่แท้จริงของฟางหยวนคือผลประโยชน์ในอนาคต วิญญาณอมตะสิ่งกีดขวางทางปัญญาเป็นเพียงการเรียกน้ําย่อยก่อนงานเลี้ยงที่แท้จริง

 

โดยไม่ได้ตั้งใจ ณ จุดนี้ฟางหยวนไม่ได้ให้ความสําคัญกับกําไรหรือขาดทุนเล็กๆน้อยๆอีกต่อไป 

 

เขาสามารถอาละวาดไปทุกที่โดยปราศจากอุปสรรค

 

จิตใจของเขาพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

‘โดยไม่รู้ตัว ข้ามาถึงระดับนี้แล้ว’

 

ท่ามกลางทะเลทรายผีเขียวที่หม่นหมองและยิ่งมืดมิดมากขึ้นในเวลากลางคืน ฟางหยวนนั่งอยู่บนศีรษะอสูรวิญญาณแรกกําเนิดที่ดุร้ายโดยมีกองทัพอสูรวิญญาณจํานวนมากติดตามอยู่ด้านหลัง

 

ภายใต้การควบคุมของฟางหยวน กองทัพขนาดใหญ่เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างเงียบงันท่ามกลางความมืดมิดอันไร้ขอบเขต