ณ นครศักดิ์สิทธิ์ หอประชุมพิสุทธิ์เป็นสถานที่สำคัญที่สุด ส่วนหอคัมภีร์โถงคัมภีร์ของเซมินารีนักบุญบิโซเป็นสถานที่สำคัญอันดับสอง
อาคารหลังนี้ดูเหมือนสนามกีฬาในอาณาจักรแซงก์ ตรงกลางเป็นพื้นที่โล่งกว้างที่มีแท่นเวทีอันวิจิตรอลังการตั้งอยู่ ไม่มีหลังคา ที่นั่งโดยรอบวนขึ้นเป็นชั้นๆ สูงหลายสิบเมตร
ใครก็ตามที่ยืนอยู่ตรงกลางจะเห็นเพียงผู้ฟังจำนวนนับไม่ถ้วนในหอประชุมกำลังจ้องมองมาที่ตน เป็นบรรยากาศที่มีแรงกดดันมหาศาล ดวงอาทิตย์บนฟากฟ้าส่งแสงสีทองอร่าม ราวกับพระเจ้าทรงเฝ้าดูที่ที่อยู่ ยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรอบมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น
เมื่อพระอาทิตย์ตก แสงตะวันที่เหลือก็ส่องเข้ามาในหอประชุมและทาทับทุกอย่างให้เป็นสีทองเจิดจ้า
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางแสงสีทองระยิบระยับ ทั่วทั้งหอประชุมกลับนิ่งเงียบด้วยความอึมครึม ราวกับมีบางอย่างที่น่ากลัวกำลังตะเกียกตะกายเตรียมจะระเบิดออกมา
“เจ้าเป็นร่างอวตารของเจ้าแห่งนรกและจอมปีศาจ เจ้ากล้าขโมยพลังของพระผู้เป็นเจ้าบนโลกขณะที่พระองค์บรรทม!”
คำพูดของเขายังาสะท้อนอยู่ในหอประชุมและหัวใจของทุกคน แสบแก้วหูจนทุกคนรู้สึกเหมือนกำลังฝัน
นับตั้งแต่ก่อตั้งศาสนจักร เคยมีใครกล้าตั้งคำถามกับโป๊บต่อหน้าธารกำนัลหรือไม่?
นับตั้งแต่ก่อตั้งศาสนจักร เคยมีใครแสดงความไม่เคารพโป๊บหรือไม่?
นับตั้งแต่ก่อตั้งศาสนจักร เคยมีใครกล่าวหาว่าโป๊ปเป็นร่างอวตารปีศาจหรือไม่?
แล้วปีศาจเรียกใช้ “พลังพระเจ้าเสด็จ” และนำทัพปราบพวกนักเวท พวกโลกมืด และลัทธินอกรีตหรือไม่?
นักบวชทุกคนต่างตกตะลึง และรู้สึกว่าไร้สาระและน่าขัน พวกเขามองที่โป๊บผู้เคร่งขรึมบนแท่นเวที และนักบุญอีวานตางด้านล่าง ซึ่งดูรัศมีเปล่งปลั่งเหมือนเสื้อคลุมสีทอง!
เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมนักบุญที่แข็งแกร่งและเคร่งศาสนาที่สุดจึงประกาศต่อต้านโป๊บ?
เขาไม่กลัว “คำสั่งคว่ำบาตร” หรือไง?
ตอนั้นเอง ก็มีเสียงคนตะโกนออกมา “ตามหลักพระวินัย พระเจ้าทรงสอนไม่ให้สรรเสริญหรือบูชาใคร เราจึงสร้างไม้กางเขนขึ้นมา แต่ท่านกลับประกาศว่าท่านเป็นร่างอวตารงพระเจ้าและกระบอกเสียงของพระองค์ในโลก ท่านสั่งให้เราสรรเสริญและเชื่อฟัง ไม่ต่างอะไรกับการกระทำของปีศาจ!”
มีเสียงอีกคน… อีกคนหนึ่งกล่าวหาว่าพระคุณเจ้าของพวกเขาเป็นร่างอวตารของเจ้าแห่งนรก!
นักบวชในหอประชุมตกตะลึง แล้วก็เห็นนักบุญเฟลิกซ์เดินเข้าไปหานักบุญอีวานทางด้านหลัง แล้วอเล็กซีย์และยูรีเอล นักบุญอีกสองคน ก็ผละออกจากฝูงชน ตามหลังด้วยพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญอีกเจ็ดคน!
เหล่านักบุญและบุคคลระดับสูงต่างหนุนหลังนักบุญอีวาน?
ท่าน… พระคุณเจ้าเป็นจอมปีศาจจริงๆ เหรอ?
“ไร้สาระสิ้นดี! พระคุณเจ้าเพิ่งใช้พลังพระเจ้าเสด็จเล่นงานเจ้าแห่งนรกจนเจ็บหนักและขับไล่เขากลับสู่นรก!” นักบุญเกว็นท์กล่าวโจมตีผู้ทรยศด้วยความโกรธเกรี้ยว
“เพราะแบบนี้เขาถึงหลอกคนอื่นได้ยังไงล่ะ?” อีวานประกาศอย่างเด็ดเดี่ยว
โป๊บเกรกอรียกมือซ้ายห้ามนักบุญคนอื่นๆ ไม่ให้การโต้เถียงอีวาน เขายกคทาทองคำขาวขึ้นและพูดอย่างเคร่งขรึม “ผู้ใดทรยศพระเจ้าจะไม่เหลือเกียรติยศและจะถูกขังในขุมนรกตลอดกาล!”
คำพูดไม่มีประโยชน์ พระคุณของพระเจ้าจะพิสูจน์ทุกอย่าง
แสงสีทองก็พลันเปลี่ยนเป็นสีขาวงาช้างอันสูงค่าและศักดิ์สิทธิ์ แสงศักดิ์สิทธิ์บนร่างอีวาน เฟลิกซ์ และคนอื่นๆ ต่างก็บินไปคนละทิศคนละทาง
“คำสั่งคว่ำบาตร?”
“คำสั่งคว่ำบาตร!”
นักบวชทุกคนตัวสั่น นั่นเป็นบทพิสูจน์ของโป๊บที่ดีที่สุด ถ้าเขาไม่ใช่ผู้รับคำสั่งจากพระเจ้าบนโลก ทำไมเขาจึงสามารถลบล้างพรของพระเจ้าในตัวนักบวชคนอื่นๆ?
นักบุญอีวานคงถูกหลอกมา!
แต่พวกเขาก็หวังจริงๆ ว่าโป๊บจะลงโทษเฉพาะตัวแกนนำเท่านั้น เพราะนักบุญแห่งสัจธรรมจะเสียหายใหญ่หลวง ถ้าต้องมาเสียนักบุญและพระคาร์ดินัลนักบุญชั้นนักบุญไปอีก
ทันใดนั้น อีวานก็กางแขนออกราวกับว่ากำลังโอบกอดผู้คนและโลก
ทูตสวรรค์ตัวน้อยจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏรอบตัวเขา ขับกล่อมบทเพลงสรรเสริญด้วยเพลงสวดศักดิ์สิทธิ์
แล้วประตูมิติขนาดยักษ์ก็เปิดออกตรงเหนือศีรษะ ภาพหุบเขาวิมานก็ปรากฏขึ้น จุดแสงศักดิ์สิทธิ์ลอยออกมารวมกันเป็นปีกอันศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลานุภาพ!
“คำสั่งคว่ำบาตร” ถูกลบล้าง อีวานแผ่พลังออกมา จนทำให้พวกนักบวชรู้สึกถึงระดับที่เหมือนกับโป๊บ
“เจ้าปีศาจ! จงเปิดตาของเจ้า นี่เป็นพรจากพระเจ้า!” อีวานประกาศ “พลังศักดิ์สิทธิ์ของเรามาจากพระเจ้า นอกจากพระเจ้า ก็ไม่มีใครเอากลับไปได้ มีเพียงปีศาจจอมเสแสร้งเท่านั้นที่ลบล้างพลังของเราได้ นี่เป็นหลักฐานว่าเขาขโมยพลังพระเจ้ามา!”
แม้จะไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง แต่นักบวชก็แยกแยะไม่ออกแล้วในตอนนี้ แม้แต่ฝ่ายสนับสนุนโป๊บก็ยังประหลาดใจ คำสั่งคว่ำบาตรไม่ได้ผล! อีวานมีพลังใกล้เคียงกับมนุษย์ครึ่งเทพ!
หรืออาจเป็นไปได้…
พวกเขาไม่ปรารถนาและไม่กล้าที่จะคิดต่อ!
“พลังของเจ้าต่างหากที่มาจากปีศาจ มีเพียงปีศาจเท่านั้นที่ต้านทานคำสั่งคว่ำบาตรได้!” เกรกอรีพูดก่อนจะยกคทาทองคำขาวขึ้น
ทุกๆ คนตื่นตระหนก จะใช้พลังพระเจ้าเสด็จอีกเหรอ?
ในเสี้ยววินาทีนั้น ดวงอาทิตย์กำลังเลือนหายไป แล้วดวงจันทร์สีเงินกลับขึ้นกลางท้องฟ้า!
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เกรกอรีก็ใช้พลัง “แสงพิพากษา”
อีวานไม่ได้ปรารถนาจะปะทะกับโป๊บท่ามกลางนักบุญและพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญจำนวนมาก ปีกที่ก่อตัวจากแสงศักดิ์สิทธิ์บนหลังของเขากระพือพึ่บพั่บ สกัดพลัง “แสงพิพากษา” ไว้ได้ กลุ่มกบฏก็เรียกใช้อุปกรณ์ชั้นตำนานที่เตรียมการไว้ แล้วก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตา
เขื่อนยักษ์ที่คอยกักเก็บการกล่าวหายั่วยุโป๊บมานานแตกออกแล้ว และพวกเขาจะยิ่งยั่วยุมากขึ้นในอนาคต พวกเขาต้องลองเสี่ยง!
เกรกอรีไม่คิดว่าพวกเขาจะหนีไปเฉยๆ เขาช้าไปก้าวหนึ่ง เขาออกคำสั่งด้วยสีหน้าน่ากลัว “อีวาน เฟลิกซ์… ถูกปีศาจครอบงำและทรยศต่อพระเจ้า พระคาร์ดินัลหลวงทั้งหมด ยกเว้นผู้ดูแลสังฆมณฑล ตามข้าไปเก็บกวาดแดนเหนือ!”
ใน อาสนวิหารเซราฟ ณ เมืองโอเล็นเบิร์ก มืองหลวงของจักรวรรดิชาชราน…
อัศวินสีหน้าไร้ความรู้สึกบุกเข้าไปในโบสถ์ ด้วยการนำของนักบวช พวกเขาเริ่มจับกุมพวกที่เรียกว่า “นอกรีต”
หลังจากไปถึงอาสนวิหารแห่งนี้ด้วยวงเวทส่งสัญญาณ อีวาน เฟลิกซ์ และผู้ติดตามคนอื่นๆ ได้เปลี่ยนโครงสร้างวงเวททันที ป้องกันไม่ให้โป๊บไล่ตามมา
“ทุกอย่างเป็นไปตามแผน?” ภายในอาสนวิหาร ชายผู้สวมมงกุฎถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ร่างกายเขากำยำเหมือนหมีและมีจมูกที่ดูตลก
“พะยะค่ะ ฝ่าบาท” เฟลิกซ์ตอบแทนอีวาน
ชายคนนั้นคือรอสตอฟที่สอง อัศวินชั้นตำนานระดับสาม และจักรพรรดิองค์ปัจจุบันแห่งจักรวรรดิชาชราน
เขายิ้มและโค้งคำนับอีวานด้วยความเคารพ “โปรดรับตำแหน่งสังฆราชด้วยเถอะ ท่านนักบุญอีวาน!”
“โปรดรับตำแหน่งสังฆราชด้วยเถอะ ท่านนักบุญอีวาน!” เฟลิกซ์และคนอื่นๆ ต่างก็แสดงความเคารพ
สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลง อีวานยกมือขวาขึ้นพูดด้วยความเคร่งขรึม “ข้าต้องกำจัดพวกนอกรีตและฟื้นฟูพระสิริของพระเจ้า พร้อมกับผู้ศรัทธาอันเปี่ยมล้น!”
ณ ปี 425 ของปฏิทินนักบุญ ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำศาสนจักร พระคาร์ดินัลหลวง ซึ่งรวมถึงอีวานก่อการกบฏ ส่งผลให้เกิดความแตกแยกของศาสนจักร
……
ณ เทือกเขาแห่งความมืด ผู้พิทักษ์ราตรีคนหนึ่งตรวจดูเวลา หลังยืนยันเวลาว่าการประชุมสุดยอดผู้นำศาสนจักรควรน่าจะสิ้นสุดแล้ว เขาเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปยังศูนย์บัญชาการของสภาแห่งความมืดที่เพิ่งก่อตั้ง
“ข้าเป็นทูตจากนักบุญแห่งสัจธรรมองค์ใหม่ ข้าขอเข้าพบดานิซอสกับแดรกคูลา”
……
ขณะที่มีการประชุมสุดยอดผู้นำศาสนจักร ดักลาสซึ่งรู้สึกอะไรบางอย่างได้เชิญกลุ่ม “ตระกูลนักเวท” “มหาวิญญาณ” “กระท่อมแห่งพาลเมย์รา” “เจตจำนงแห่ธาตุ” “ผู้ขับขานเงา” และกลุ่มอื่นๆ ประชุมเช่นกัน
ภายนอกหอเวทมนตร์ นักเวทที่มีพลังต่ำกว่าระดับผู้วิเศษจะสนทนา หารือแลกเปลี่ยนอุปกรณ์กัน ส่วนภายในหอคอยเวทมนตร์ นักเวทชั้นตำนานและผู้วิเศษกำลังถกกันถึงสถานการณ์ปัจจุบัน
แล้วจู่ๆ ดักลาสก็หน้าถอดสี มิติพิเศษของเขาปรากฏขึ้นด้านหลังและสั่นโงนเงน
“ตามข่าวกรองจากนรก นักบุญอีวานกล่าวหาว่าสันตะปาปาเป็นร่างอวตารของจอมปีศาจระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำศาสนจักร และก่อตั้งนิกายนักบุญสัจธรรมองค์ใหม่ในจักรวรรดิชาชาชราน เขาได้รับการสนับสนุนจากนักบุญสามคน พระคาร์ดินัลชั้นนักบุญเจ็ดคน พระคาร์ดินัลหลวงทั้งหมดในตอนเหนือ และอัศวินชั้นตำนานทั้งหมดในอาณาจักรทางตอนเหนือ” ไม่นานดักลาสก็สงบสติลงและแจ้งข่าวกับทุกคน
“อะไรนะ?” ข่าวนี้น่าเหลือเชื่อจนนักเวทหลายคนต้องนำลูกแก้วออกมาตรวจยืนยัน
เนื่องจากไม่มีปิดบังเรื่องนี้ พวกเขาจึงได้บทสรุป และแหงนหน้ามองดักลาสด้วยความตื่นเต้น
ดักลาสลุกขึ้นยืน “แฮททาเวย์ ไปคุยกับกษัตริย์ฮอฟเฟนเบิร์ก และขอให้พระองค์ทรงรักษาสัญญา ส่วนเราจะยืนอยู่อย่างสง่าผ่าเผย แสดงให้พวกเขาเห็นว่าพวกเขาไม่ได้จับมือกับหนูขี้ขลาดที่แฝงตัวอยู่ในความมืด”
“กาโลญา ท่านรับผิดชอบชายฝั่งตอนเหนือ ตั้งอยู่ในที่มั่นของเรา ไม่จำเป็นต้องบุกโจมตีอาสนวิหารที่นั่น” ดักลาสมองไปที่เจ้าแห่งความเยือกเย็น
“ตกลง” เจ้าแห่งความเยือกเย็นไม่ทุกข์ร้อนที่ดักลาสออกคำสั่ง ก็เพราะความสามารถ พรสวรรค์ และความสำเร็จในอาร์คานาของชายคนนี้ทำให้เขาเชื่อมั่นในตัวเขา
“เราจะรับผิดชอบเมืองโคเล็ตต์” คอนกุสออกตัวขันอาสา
เนตรคำสาปไม่ได้นิ่งเฉย “ข้ากับเอริก้าจะไปราชรัฐคาเลส์”
“ข้าต้องไปโคคัส” วิเซนเต้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ดักลาสรู้เรื่องในอดีตของเขาดี ก็พยักหน้ายินยอม “ถ้างั้น สลับหน้าที่กับเอริก้าก็ได้”
แล้ว เขาก็มองอะมานาต้า เจ้าแห่งเงา “ท่านอยากไปบริแอนน์ไหม?”
อะมานาต้าพยักหน้าเป็นรับทราบ
“สภาจะปักหลักดูแลโฮล์ม” ดักลาสกระชับคอเสื้อแน่น “ตอนนี้ เราต้องระดมกำลังทุกคน”
เป้ง!
เสียงระฆังจากหอคอยเวทมนตร์เรียกรวมตัวนักเวททั้งหมด พวกนักเวทเห็นชั้นตำนานหลายคนเดินออกมาท่ามกลางกลุ่มผู้วิเศษ
ดักลาสยืนบนบันได ประกาศข่าวให้รู้โดยทั่วกัน นักเวทข้างล่างต่างตื่นเต้นจนไม่อยากเชื่อ
“โอกาสของเรามาถึงแล้ว และเราต้องไม่พลาด ถ้าปล่อยให้ศาสนจักรควบคุมสถานการณ์ได้ เราอาจไม่มีโอกาสดีๆ แบบนี้อีกเลย” ดักลาสพูดอย่างตรงไปตรงมา ”แต่สมมติเราทำสำเร็จในครั้งนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะปลอดภัยทันที”
“ตรงกันข้าม เพื่อการสนับสนุนจากขุนนาง เราลุกขึ้นสู้กับศาสนจักรอย่างเปิดเผย ความสำเร็จครั้งนี้จะเป็นเพียงก้าวแรกในการหล่อหลอมความรุ่งโรจน์ของนักเวท ทุกย่างก้าวในอนาคตจะมาพร้อมอันตรายยิ่งขึ้น พวกท่านหลายคนไม่มีชีวิตอยู่ถึงยุคการฟื้นฟูความรุ่งเรืองของเรา”
นักเวททุกคนต่างนิ่งเงียบ
ดักลาสกล่าวต่อ “แต่หากเราไม่ยืนหยัดสู้ เราจะเป็นหนูติดจั่นในความมืด และค่อยๆ ถูกกลืนไป ลูกๆ ของเรา ศิษย์ของเรา และคนรุ่นต่อไปจะไม่มีวันใช้ชีวิตอย่างอิสระและสงบสุข คนรุ่นหลังจะไม่มีโอกาสศึกษาอาร์คานาและเวทมนตร์โดยไม่ถูกกดขี่จากภายนอก”
พวกนักเวทต่างรู้สึกเหมือนกัน หลายต่อหลายคนไม่เคยสัมผัสกับความงดงามของจักรวรรดิเวทมนตร์ เพราะตั้งแต่เกิดมา ก็ต้องซ่อนตัวเหมือนหนูในท่อระบายน้ำ ทุกคนต่างไม่อยากให้ลูกหลานมีชีวิตเช่นนี้อีก
ดักลาสสูดหายใจเข้าลึกๆ ยกมือขึ้นทำท่าทีประกอบด้วยความหนักแน่น “เส้นทางสู่ความรุ่งโรจน์ถูกกำหนดให้เป็นเส้นทางที่ปูด้วยกระดูกและเลือดของเรา แต่เราไม่มีทางเลือก!”
“แม้ว่าเราจะต่อสู้จากความมืด แต่อย่าลืมว่าเรากำลังไล่ล่าแสงสว่าง!”
…………………………………………………………………………………….