ตอนที่ 489 เป็นบุรุษของข้า ข้าจะเลี้ยงดูท่าน

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

สตรีผู้นั้น มีสิ่งใดดึงดูดเขากัน?

 

 

รูปโฉมหรือ? อุปนิสัย? หรือว่าใบหน้าที่รู้จักแสดงนั่น?

 

 

เดิมทีนางนึกว่าเขาเพียงแต่ชื่นชอบสตรีที่เป็นราชินีจอเงิน ….. ดังนั้นนางถึงพยายามอย่างยิ่งเพื่อจะกลายเป็นราชินีจอเงิน แต่ปรากฏว่าเขากลับไม่เหลือบแลนางแม้แต่น้อย

 

 

ไม่เพียงแต่ไม่มองดูนาง แต่กลับไม่ยอมให้นางเข้าไปในเรือนของเขาเสียด้วยซ้ำ

 

 

ในสมองของซ่งชิงไต้ผุดภาพใบหน้าของตู๋กูซิงหลันขึ้นมาเรื่อยๆ สตรีผู้นั้นไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น แต่กลับเป็นเสมือนดวงตาดวงใจของเขา….อุทิศตนทำทุกสิ่งให้กับนางโดยไม่มีข้อแม้

 

 

ในขณะที่นางยินยอมมอบตนให้จนหมดสิ้น เขากลับไม่เหลือบแลแม้แต่น้อย

 

 

นางยกมือที่มีแต่เลือดขึ้นมากำหมัดจนแนบแน่น

 

 

……………………..

 

 

หุบเขาปีศาจ ในสวนกุหลาบ

 

 

เสินฟางมาเคาะประตูอยู่ที่หน้าห้องของตู๋กูซิงหลันเป็นครั้งที่สามแล้ว

 

 

แต่ว่าน่าเสียดายที่ข้างในไม่มีเสียงเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น

 

 

ขณะที่เยี่ยซิงหลันนำฮ่องเต้ชาวมนุษย์ผู้นั้นกลับมา สีหน้าก็ย่ำแย่อย่างที่สุด

 

 

ส่วนฮ่องเต้ผู้นั้นก็ดูใกล้จะขาดใจตายอยู่รอมร่อ

 

 

ก็แค่ไปทดสอบบทละครไม่ใช่หรือ ทำไมถึงได้ถึงขั้นเอาชีวิตกัน?

 

 

ครั้งนี้ ในห้องก็ยังคงเงียบงัน ไร้การตอบรับ

 

 

เสินฟางยืนรอรับใช้อยู่ที่หน้าประตู เมื่อเป็นทาสรับใช้ของตู๋กูซิงหลัน เขาก็ควรจะแสดงออกถึงความห่วงใยและใส่ใจสุขภาพร่างกายของนางอยู่บ้าง

 

 

ภายในห้อง จีเฉวียนถูกตู๋กูซิงหลันพามานอนบนเตียง

 

 

ร่างกายของเขาเย็นเฉียบราวกับถูกขุดออกมาจากชั้นน้ำแข็ง กระทั่งหัวคิ้วที่ขมวดติดกันก็ยังมีละลองน้ำแข็งจับค้าง

 

 

ทั้งๆที่เป็นยามดึกกลางฤดูร้อน ตู๋กูซิงหลันกลับเปิดแอร์ให้อุ่นจนถึงสามสิบองศา เอาผ้าห่มที่อยู่ในตู้ทั้งหมดออกมาห่มให้กับเขา สภาพของจีเฉวียนถึงได้พอจะดีขึ้นมาบ้าง

 

 

จนผ่านไปอีกเกือบชั่วโมง ริมฝีปากที่เย็นจัดจนกลายเป็นสีเขียวของเขาค่อยมีสีเลือดขึ้นมาบ้าง

 

 

ตู๋กูซิงหลันนั่งลงที่ข้างเตียง จับมือของเขาเอาไว้อย่างแนบแน่น

 

 

จีเฉวียนเหมือนกับประติมากรรมน้ำแข็ง นางเฝ้ารอให้เขามีไออุ่นขึ้นมาบ้างสักเล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันก็กังวลว่าพออุ่นขึ้นมาเขาก็จะละลายหายไป

 

 

นางกลัว…..กลัวว่าเขาจะตาย

 

 

ในที่สุดก็รอคอยจนละอองน้ำแข็งบนขนคิ้วและขนตาของเขาละลายออกไป สองมือที่ถูกนางกอบกุมเอาไว้จนแนบแน่นคู่นั้นก็มิได้เย็นจัดจนแข็งค้างแล้ว

 

 

แววตาในดวงตาหงส์คู่นั้น มีประกายสว่างขึ้นมาบ้าง

 

 

ในแววตาสะท้อนภาพใบหน้าของนาง

 

 

และอารมณ์ความรู้สึกเช่นเดียวกันกับนาง

 

 

เขานอนอยู่ นางนั่งอยู่ข้างๆ ดวงตาทั้งสี่ของคนทั้งสองสบกัน

 

 

ก็ไม่รู้เพราะเหตุใด แต่ในชั่วขณะนั้น…..ดวงตาของตู๋กูซิงหลันพลันมีหมอกหนาขึ้นมาปิดบัง ดวงตาดอกท้อของนางเปล่งประกายจากหยาดน้ำตา

 

 

“ซิงซิง” จีเฉวียนเอ่ยพระโอษฐ์ขึ้น ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เขายกแขนขึ้นอย่างลำบากกินแรง ฝ่ามือใหญ่ข้างนั้นสัมผัสกับข้างแก้มของนาง ดวงเนตรหงส์มองลึกลงไปในดวงตาของนาง

 

 

“อย่าได้ร้องไห้” ปลายดัชนีของพระองค์สัมผัสเบาๆที่หางตาของนาง

 

 

พระเนตรของพระองค์เงยขึ้น สายพระเนตรจับจ้องไปยังภาพที่แขวนอยู่บนกำแพง

 

 

ซื่อมั่วสวมใส่เสื้อผ้าสีม่วงแบบตะวันตก ในอ้อมอกอุ้มทารกตัวน้อยผู้หนึ่ง ทารกเองก็ยิ้มอย่างอ่อนหวาน

 

 

เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของซื่อมั่ว ย่อมให้ความรู้สึกที่อบอุ่นปลอดภัย

 

 

คนผู้นี้เอง….ที่เลี้ยงดูนางมากับมือตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ คนที่ให้ทุกสิ่งแก่นาง

 

 

คนที่ผ่านประสบการณ์ทั้งหลายที่พระองค์ไม่เคยล่วงรู้…..มากับนาง

 

 

พระองค์อิจฉา และริษยา ขณะเดียวกันก็ปลาบปลื้มยินดี

 

 

ยินดีที่ซิงซิงได้เติบโตขึ้นมาท่ามกล่างความรักใคร่ทะนุถนอม ….ยินดีที่ท่ามกลางความมืดมิด นางยังได้รับแสงสว่างในชีวิต

 

 

………………….

 

 

 

 

จากนั้นพระองค์ก็หันสายพระเนตรกลับมา ปิดดวงเนตรลง

 

 

สิ่งที่สมควรได้ฟัง…..ไม่สมควรได้ฟัง พระองค์ล้วนได้ทรงสดับฟังอย่างชัดเจนหมดแล้ว

 

 

พระองค์มาจากซื่อมั่วผู้นั้น

 

 

พระองค์ที่เป็นโอรสสวรรค์แห่งต้าโจว ผู้สูญเสียพระมารดาแต่งเยาว์วัย ถูกพระบิดาชิงชังจนส่งไปเป็นตัวประกันที่แคว้นเหยียนนานถึงแปดปี ต้องรับรู้รสชาติของการพลัดพรากจากผู้เป็นที่รักตั้งแต่เยาว์วัย ตกอยู่ในความทุกข์ทรมานท่ามกลางความสิ้นหวังที่มืดมิด

 

 

ตั้งแต่ยามพระเยาว์พระองค์ก็ต้องเติบโตท่ามกลางแผนการปองร้ายและการเข่นฆ่าของผู้อื่น หล่อหลอมพระอุปนิสัยให้พระองค์กลายเป็นผู้ที่เคร่งขรึม ไม่รู้จักยินดียินร้ายใดๆ

 

 

แม้ว่าสถานการณ์แวดล้อมจะทำให้พระองค์ตกอยู่ในความมืดมิด แต่ว่าพระทัยก็ยังตั้งมั่นสู่แสงสว่าง

 

 

พระองค์ตั้งพระทัยจะเป็นผู้ปกครองใต้หล้า จึงทรงคิดว่าทุกสิ่งที่พระองค์ต้องประสบพบพานนั้น ล้วนเป็นการทดสอบจากสรวงสวรรค์

 

 

แต่ว่าสุดท้ายแล้ว พระองค์กลับเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้อื่น

 

 

ร่างแบ่งของเทพผู้ครอบครองจิตใจส่วนลึกของนาง….ผู้ที่ส่งพระองค์มารับความทนทุกข์ทรมานในโลกมนุษย์

 

 

จีเฉวียนทรงรู้สึกไม่ยินยอม……

 

 

พระองค์คือโอรสสวรรค์แห่งแคว้นโจว คือจีเฉวียน พระองค์เชื่อมั่นในพระทัยว่าพระองค์คือมนุษย์ที่สมบูรณ์ผู้หนึ่ง

 

 

พระองค์กับซื่อมั่วนั้น….แตกต่างกัน

 

 

แต่พอได้ยินคำพูดของซิงซิงที่บอกกับซื่อมั่ว……

 

 

พระทัยของจีเฉวียนก็ต้องว้าวุ่นอย่างที่สุด

 

 

นางบอกว่า นางชอบพระองค์ ชอบอย่างที่สุด

 

 

นางยินยอมให้ตนเองต้องตาย แต่ไม่ต้องการให้พระองค์สาบสูญไป

 

 

พระองค์วาดหวังให้ในใจของนางมีที่ว่างให้พระองค์มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ทรงคาดไม่ถึงว่านางจะห่วงใยในพระองค์มากกว่าที่ทรงคิดเอาไว้มากมายนัก

 

 

จีเฉวียนยากจะอธิบายความรู้สึก ยินดี ซาบซึ้ง สับสนและขัดแย้งในพระทัย

 

 

อารมณ์ทุกอย่างประดังประเดเข้ามา แต่พอได้สบพระเนตรเข้ากับสองตาที่มีน้ำตาเอ่อล้นของนาง ความรู้สึกที่เอ่อล้นทั้งหมดก็สงบลง

 

 

“อย่าได้ร้องไห้ เราปวดใจนัก” พระองค์ปาดเช็ดดวงหน้าของนาง “เรา…..”

 

 

เราไม่เคยหวาดกลัวความตายมาก่อน เพียงแต่ไม่อาจปล่อยวางเจ้า

 

 

เดิมทีในแผ่นดินโบราณนั้น พระองค์ก็ทรงถ่ายทอดราชสมบัติทั้งหมดให้กับนางแล้ว

 

 

ก่อนหน้านั้น พระองค์ยังได้กำราบแคว้นฉินลง……ให้แคว้นฉินศิโรราบต่อนาง

 

 

เดิมทีพระองค์ทรงคิดว่าทุกสิ่งที่ได้ทำลงไปคงจะเพียงพอให้นางสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุข

 

 

ไปได้ตลอดกาลแล้ว คิดไม่ถึงว่า พระองค์จะต้องติดตามนางมาถึงโลกปัจจุบันใบนี้

 

 

ที่นี่ พระองค์ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น

 

 

ทั้งยังต้องให้นางกลายเป็นฝ่ายปกป้อง

 

 

จีเฉวียนขยับพระโอษฐ์ ในพระทัยมีถ้อยคำเป็นพันเป็นหมื่นที่อยากจะบอกกับนาง

 

 

สิ่งที่พระองค์อยากจะบอกมากที่สุดก็คือ….

 

 

“ซิงซิง….” ทันทีที่ชื่อของนางออกจากพระโอษฐ์ ริมฝีปากก็สัมผัสได้กับความอบอุ่น

 

 

ทั้งยังมีกลิ่นหอมของดอกฮว๋ายจากตัวนางที่ไม่เหมือนกับที่ใดทั้งสิ้น

 

 

นางยันตัวเอาไว้ ริมฝีปากแดงประกบเข้ากับพระโอษฐ์ที่เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง ยามที่ถอนออกไป ยังขบพระองค์เบาๆครั้งหนึ่ง

 

 

ความเจ็บปวดเล็กๆที่ริมพระโอษฐ์ทำให้จีเฉวียนทรงได้พระสติขึ้นมา

 

 

นาง…..เป็นฝ่ายจูบพระองค์ก่อน?

 

 

จีเฉวียนตกตะลึงไปแล้ว ทรงรู้สึกว่าพระองค์กำลังฝันไป

 

 

แต่ในตอนนั้นเอง สองมือของตู๋กูซิงหลันก็กอบอยู่ที่ข้างพระกรรณ ดวงตาดอกท้อคู่นั้นจับจ้องพระองค์อย่างจริงจัง

 

 

“จีเฉวียน ข้าประทับตราของข้าแล้ว อยู่ก็เป็นคนของข้า ตายก็ต้องเป็นคนของข้า”

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่ใช่คนพิรี้พิไร แต่เพราะก่อนหน้านี้นางถูกใครบางคนสาปให้ไม่อาจมีความรัก จึงได้พยายามผลักไสจีเฉวียนออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 

แต่ก่อนที่จะมายังโลกปัจจุบันนี้ นางกระอักเลือดออกมามากมาย จึงทำให้คำสาปนั้นถูกทำลายลงไป

 

 

ในเมื่อนางชอบจีเฉวียน

 

 

จากนี้ไปจะไม่ปฏิเสธอีก

 

 

ในเมื่อชอบ ก็จะยอมรับอย่างเปิดเผย และอยู่ด้วยกัน

 

 

“เป็นแฟนของข้า ข้าจะเลี้ยงดูท่านเอง” ตู๋กูซิงหลันมองดูเขา ดวงตาดอกท้อเปล่งประกายสดใส

 

 

น้ำเสียงที่นางบอกว่าจะ ‘เลี้ยงดู’ หนักแน่นเกินธรรมดา

 

 

จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูนาง ดวงพระทัยแทบจะระเบิดออกมาจากทรวงอก ความหมายของนางก็คือ…..ในที่สุดจากนี้ไปนางก็ยอมรับพระองค์แล้ว?

 

 

นางจะ…อยู่กับพระองค์?

 

 

ความฝันที่ทรงใฝ่ฝันมานับครั้งไม่ถ้วนในที่สุดก็เป็นจริง จีเฉวียนดีพระทัยอย่างที่สุด ถึงแม้ว่าตอนนี้สีพระพักตร์จะย่ำแย่จนน่าตกใจก็ตาม

 

 

จีเฉวียนทรงแน่พระทัยเลยว่า….พระองค์ในตอนนี้อาจจะตายได้ทุกเมื่อ

 

 

แต่หากพระองค์ทรงสิ้นไปในตอนนี้ ซิงซิงก็จะต้องกลายเป็นม่ายที่โดดเดี่ยว

 

 

ดังนั้น…..พระองค์ไม่อาจตาย!

 

 

ต่อให้พระองค์จะต้องเห็นแก่ตัวเพียงไร….พระองค์ก็ไม่อาจตาย!

 

 

……………………..